เฟิงจิ่งเหยาฟังคำพูดของชวี่ยี่จบ ในแววตาก็เต็มไปด้วยความเย็นชา
“มีการเคลื่อนไหวก็ดี คุณจัดกำลังพลไว้ ฉันไม่ต้องการทำพลาดใดๆอีก แล้วก็แจ้งทางโรงพยาบาลไว้ด้วย ให้บอกพวกเขาว่าตอนกลางคืนหากได้ยินการเคลื่อนไหวอะไรก็อย่าออกมา”
“ครับ!”
ชวี่ยี่ตอบกลับ ทันทีก็ดูเหมือนว่าคิดอะไรออก ถามอย่างสงสัยว่า
“ท่านประธาน ทางด้านคุณนายรองต้องแจ้งให้ทราบไหม?”
เฟิงจิ่งเหยาตกตะลึงเล็กน้อย : “ไม่ต้อง เรื่องนี้ฉันไม่อยากให้ฉางซินเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย”
กำลังพูดจบ คาดไม่ถึงว่าประตูของห้องผู้ป่วยก็ถูกเปิดออก
“อะไรคือไม่อยากให้ฉันเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย?”
กู้ฉางฉิงได้ฟังแค่ประโยคหลัง มองเฟิงจิ่งเหยาขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นก็กวาดสายตาไปทางชวี่ยี่
“นี่พวกคุณกำลังคุยความลับอะไรกันอยู่?”
ชวี่ยี่ไม่รู้จะทำอย่างไร เลยมองไปทางเฟิงจิ่งเหยาขอความช่วยเหลือ
เฟิงจิ่งเหยาหัวเราะเบาๆ กวักมือเรียกกู้ฉางฉิง
กู้ฉางฉิงถือโอกาสเดินเข้าไป
“ทั้งหมดเป็นความลับ แน่นอนว่าไม่สามารถพูดออกมาได้”
เขาพูดจบ ก็โบกมือให้ชวี่ยี่
ชวี่ยี่รู้ว่าท่านประธานช่วยขัตตาทัพให้เขาอยู่ ก็พยักหน้าแล้วออกไป
กู้ฉางฉิงเห็นเขาออกไป แล้วมองไปที่เฟิงจิ่งเหยาที่ยิ้มราวกับสุนัขจิ้งจอก
ก็รู้ว่าผู้ชายคนนี้จะไม่บอกเธอ ก็ไม่ได้รบเร้าต่อ
“ได้ ฉันจะไม่ไปยุ่งเรื่องอะไรของพวกคุณ แต่ฉันจะให้คุณจำไว้ว่า ร่างกาย ความปลอดภัย จะไม่สามารถทำให้ตนเองตกอยู่ในอันตรายอย่างเด็ดขาด!”
เฟิงจิ่งเหยาได้ฟังคำพูดของกู้ฉางฉิง ก็ไม่ได้หงุดหงิด แต่กลับพึงพอใจ
“ฉันรู้แล้ว จะไม่ทำให้คุณเป็นห่วง”
เขาจับกู้ฉางฉิงมากอดไว้แน่น มองคนในอ้อมกอด
ก็ไม่รู้ว่าแสงอาทิตย์นอกหน้าต่างสว่างเกินไปหรือเปล่า พอดีกับบรรยากาศในห้องผู้ป่วยเลย
ทั้งสองคนที่กอดกันก็ค่อยๆเข้าหากัน หายใจกระชั้นผสมผสานกัน จากนั้นริมฝีปากก็มาสัมผัสกัน
ไม่นาน เสียงจูบก็ดังขึ้นในห้องผู้ป่วยทำให้คนใจเต้นหน้าแดง
ก็ไม่รู้ว่านานแค่ไหน เสียงนี้จึงสงบลง
กู้ฉางฉิงนอนไร้เรี่ยวแรงอยู่บนเฟิงจิ่งเหยา เดิมทีแก้มที่อมชมพู เวลานี้ก็แดงเหมือนแอปเปิ้ลสุก ทำให้คนอดไม่ได้ที่อยากจะกัดสักคำ
ปากแดงๆเผยอเล็กน้อย พ่นกลิ่นหอมออกมา อีกทั้งยังบวมนิดๆ มีเสน่ห์น่าดึงดูด
เฟิงจิ่งเหยาสูดหายใจเข้าแรงๆ ไม่ให้มีแรงกระตุ้นที่จะทำอะไรที่โรงพยาบาล
“ฉางซิน สองสามวันมานี้ลำบากคุณแล้ว คืนนี้ไม่ต้องให้คุณมาเฝ้าหรอก กลับไปพักผ่อน ดีไหม?”
เขาพูดเย้ายวนข้างๆหูกู้ฉางฉิงด้วยน้ำเสียงแหบพร่า
กู้ฉางฉิงสติยังไม่กลับมาจากเรื่องเมื่อกี้นี้ เวลานี้ไม่ค่อยได้ฟังสิ่งที่เขาพูด ได้แต่ตอบกลับไปโดยจิตใต้สำนึก : “ดี!”
รอเธอสติกลับมา จึงรู้ว่าตนเองตอบรับอะไรไป
“ตอนกลางคืนไม่อยู่ที่นี่ ฉันไม่ไว้ใจ”
เธอขมวดคิ้วเปลี่ยนใจ
เฟิงจิ่งเหยาคาดการณ์ไว้แล้วว่าเธอจะพูดแบบนี้ ยิ้มแล้วพูดว่า : “จะไม่มีอะไร อีกทั้งฉันให้ชวี่ยี่มาในตอนกลางคืนแล้ว หลายวันมานี้คุณทำอะไรด้วยตัวเองแทนเขาตั้งหลายเรื่อง เมื่อกี้ชวี่ยี่ยังถามฉันว่า ตำแหน่งผู้ช่วยพิเศษของเขาจะต้องตกงานแล้วใช่ไหม”
กู้ฉางฉิงได้ฟังคำพูดหยอกล้อนี้ ก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
“ผู้ช่วยพิเศษชวี่จะไม่สามารถพูดบ่นเช่นนี้”
เธอยิ้มจ้องมองเฟิงจิ่งเหยา
เฟิงจิ่งเหยาก็ไม่ได้โต้แย้ง : “จริงๆ เขาไม่พูดเช่นนี้หรอก แต่ความหมายคล้ายๆกัน แน่นอน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือฉันไม่ต้องการให้คุณต้องเหน็ดเหนื่อย สัญญากับฉันนะ ว่าคืนนี้คุณจะกลับไปพักผ่อน ถึงอย่างไรฉันยังต้องอยู่โรงพยาบาลอีกสองสามวัน ฉันไม่อยากให้รอฉันออกจากโรงพยาบาล คุณจะล้มป่วยไปอีกคน”
กู้ฉางฉิงเห็นความจริงใจจากในแววตาของเขา ท้ายที่สุดก็ไม่ได้ยืนกรานต่อ
เธอดูแลให้เฟิงจิ่งเหยารับประทานอาหารเสร็จแล้ว รอจนชวี่ยี่มา กำชับอีกสองสามคำแล้วจึงออกไป
“ส่งคนไปแล้วหรอ?”
เฟิงจิ่งเหยาเห็นชวี่ยี่กลับมาอีกครั้ง จึงกล่าวถาม
“ส่งคนขึ้นรถแล้ว พอคนเดินทางไปถึงอย่างปลอดภัย คนขับรถจะโทรมารายงานครับ”
เฟิงจิ่งเหยาพยักหน้า กล่าวถามต่อว่า: “การจัดการทางด้านโรงพยาบาลเป็นยังไงบ้าง?”
“ห้องผู้ป่วยชั้นบนชั้นล่างสองชั้นฉันได้ให้คนย้ายออกไปแล้ว เปลี่ยนเป็นคนของเราที่แสร้งเป็นคนไข้ ด้านนอกก็มีคนเฝ้ารักษาความปลอดภัยอยู่ คุ้นกันให้พวกเขาเข้ามาแล้วออกไม่ได้”
เฟิงจิ่งเหยาได้ยิน ก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ
“ดีมาก สั่งต่อไป ควรจะทำอะไรก็ทำอย่างนั้น อย่าให้คนมองออกถึงความผิดปกติแม่แต่น้อย คุณก็เช่นกัน”
ชวี่ยี่พยักหน้า หันเดินไปจัดการ
และฉากการจากไปของเขานี้ บังเอิญได้รับการจับตามองจากคนในตึกสูงที่อยู่ไม่ไกล
“เจ้านาย พระเจ้ากำลังช่วยพวกเราจริงๆ คืนนี้ทางด้านเฟิงจิ่งเหยาไม่มีคนเฝ้ายาม”
คนสนิทยิ้มมุมปาก นำภาพที่เห็นเมื่อกี้พูดออกมา
เจียวหนูพิงโซฟาฟังคำพูดที่ดี เลิกคิ้วเบาๆ: “บังเอิญขนาดนี้เลยหรอ?”
ก็ไม่ได้ตำหนิเธอที่พูดแบบนี้
ทางด้านของเธอตัดสินใจลงมือ ทางด้านเฟิงจิ่งเหยาก็ไม่มีคนเฝ้ารักษาความปลอดภัย นี่ไม่เหมือนการเสนอโอกาสให้กับพวกเขาไปหน่อยหรอ
คันโซก็คิดถึงจุดนี้
“นี่เป็นไปได้ไหมที่จะเป็นแผนการร้าย หรือว่าผู้ชายคนนั้นจะเดาได้ว่าพวกเราจะลงมือ?”
เจียวหนูฟังถึงคำพูดนี้ ใบหน้าที่คิดใคร่ครวญก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นมา
ถึงอย่างไรการคาดการณ์นี้ก็ไม่ใช่จะเป็นไปไม่ได้
คนสนิทคนอื่นๆก็แปลกใจกับเรื่องนี้ด้วยจิตสำนึก
“ไม่อย่างนั้นพวกเราก็ต้องสังเกตการณ์ต่อไป?”
คนสนิทกล่าวเสนอแนะ
คันโซเห็นด้วย แต่ข้อสรุปในที่สุดก็ยังต้องดูเจียวหนู
เขามองไปยังเจียวหนู กล่าวถามอย่างเงียบๆ
เจียวหนูไม่ได้ตอบกลับในทันที
เธอหลบตาลง คล้ายกับกำลังครุ่นคิด
ก็ไม่รู้ว่าเธอคิดถึงอะไร ผ่านไปนานมาก เธอก็เห็นด้วยกับที่คนสนิทพูด
“ทำต่อไป ไม่ต้องรีบลงมือ สังเกตการณ์ต่อไป”
เธอพูดจบ ก็กวัมือให้คันโซมารินเหล้าให้เธอ ไม่นานก็ค่อยๆลิ้มรส ทุกการกระทำการเคลื่อนไหวงดงาม ลูกน้องทั้งหมดเห็นแล้วก็ใจสั่นอย่างมาก
เช่นนี้ ทั้งสองฝ่ายต่างฝ่ายก็ต่างไม่เคลื่อนไหว เวลาผ่านไปแต่ละนาทีแต่ละวินาที
เห็นว่าดึกแล้ว ด้านนอกโรงพยาบาลยังคงไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ในใจชวี่ยี่ก็สงสัยขึ้นมา
“ท่านประธาน คืนนี้พวกเขาไม่มาหรือเปล่า?”
เขานำความงุนงงภายในใจพูดออกมา
เฟิงจิ่งเหยามองเขา แล้วก็กวาดสายตามองไปยังความมืดตึ๊ดตื๋อในยามคำคืนนอกหน้าต่าง ยิ้มเยาะแล้วกล่าวว่า: “เป็นไปไม่ได้ พวกเขาจะต้องมาแน่”
ชวี่ยี่ไม่เชื่อเล็กน้อย “แต่นานขนาดนี้แล้วก็ไม่มีความเคลื่อนไหว ก็รู้สึกผิดปกติ”
“ที่แท้คุณก็มองออกแล้วว่าผิดปกติ ยังคิดว่าคุณถูกเอกสารของบริษัททำให้สมองติดขัดซะแล้ว”
เฟิงจิ่งเหยามองไปยังชวี่ยี่อย่างเย้ยหยัน ทำให้ชวี่ยี่อับอายจนเหงื่อตก แต่ไม่ได้โต้แย้ง
ถึงอย่างไรเขาก็เข้าใจความหมายของท่านประธาน
เวลานี้พวกเขาอดทนอดกลั้นมากกว่าใครๆ
แต่ชัดเจนว่า คนของฝ่ายตรงข้ามเก็บอาการไม่อยู่
ขณะที่เวลาของโรงพยาบาลข้ามมาถึงเที่ยงคืน เดิมทีโรงพยาบาลที่เงียบสงัดก็ปรากฎเสียงการเคลื่อนไหวและการค้นหาที่ผิดปกติอยู่ไม่น้อย
ที่แท้ความหมายของมั่วหลีก็คือต้องการแอบเข้าไปตัดแหล่งพลังงานไฟฟ้าของโรงพยาบาลทั้งหมด ใครจะคาดคิด ทางด้านแหล่งไฟฟ้ามีคนป้องกันอยู่ พวกเขาไม่สามารถตีหญ้าให้งูตื่นได้ ทำได้เพียงละทิ้งส่วนนี้
สุดท้าย เขาก็แบ่งกองกำลังเป็นสามทาง เข้าทางเข้าที่ไม่เหมือนกันของโรงพยาบาล
พวกเขาแอบแทรกซึมเข้าไป พยาบาลที่ปฏิบัติหน้าที่ตรงระเบียงทางเดิน ตอนที่กำลังเดินฉันต้องตกใจเมื่อถูกคนปิดปากและย้ายไปยังทางเดินที่ปลอดภัย ไม่นานก็มี ‘พยาบาล’ ที่เสื้อผ้าไม่ได้สัดส่วนเดินออกมาจากด้านใน