หลังจากมู่เฉาเกอออกไป ไม่ได้ขับรถออกไปทันที
เธอนั่งอยู่บนรถ จ้องมองกู้ฉางฉิงอย่างดุดัน
โดยเฉพาะเมื่อเห็นว่าทั้งสองคนไม่รู้คุยอะไรกัน จึงได้ยิ้มอย่างมีความสุข ในใจก็ไม่ปกปิดความริษยาไว้ ใบหน้าที่ดูดีก็ดุร้ายจนหน้ากลัว
เวลานี้ โทรศัพท์ข้างเธอก็ดังขึ้นมา
เธอรับโดยไม่มอง ด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยดีนัก
“ใคร?”
“ทำไม ไม่ติดต่อกันหลายวัน ,คุณมู่ลืมเพื่อนร่วมงานอย่างฉันไปแล้วหรอ?”
ในสาย น้ำเสียงเคร่งขรึมของเย่าซือก็ดังขึ้น
มู่เฉาเกอได้ยินคำพูดนี้ ความโกรธในใจจึงลงลงไปเล็กน้อย ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เธอยังคงไม่อยากเจอเย่าซือ
“ที่คุณโทรมาไม่ใช่ว่าจะพูดเรื่องไร้สาระเช่นนี้กับฉันใช่ไหม?”
เย่าซือได้ยิน สีหน้าก็จริงจังขึ้น พูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า : “แน่นอน คุณมู่ไม่รู้สึกหรอว่าการดำเนินแผนการของคุณในหลายวันมานี้จะล่าช้าเกินไป?”
มู่เฉาเกอเดาออกว่าทำไมเขาถึงโทรมา ได้ฟังเสียงที่ถามเชิงตำหนิของเขา ก็หัวเราะ : “คุณคิดว่าทุกคนเป็นคนโง่หรอ ต้องรู้ว่าความสัมพันธ์ของฉันกับกู้ฉางฉิงก่อนหน้าไม่ค่อยดี จู่ๆจะให้ไปมีไมตรีจิตกับเธอ คนอื่นจะไม่สงสัยหรอว่าเจตนารมณ์ของฉันจะไม่บริสุทธิ์ใจ”
สิ่งเหล่านี้เป็นธรรมดาที่เย่าซือจะเข้าใจ
แต่ตอนนี้เขาไม่มีเวลาพอแล้ว
ไม่ต้องพูดถึงข่าวลือก่อนหน้านี้ว่าเฟิงจิ่งเหยาต้องการแลกเปลี่ยนแฟลชไดร์ฟกับคนอื่น เมื่อคืน ต่อสายสองครั้งติด เขากังวลมากกลัวแฟลชไดร์ฟจะตกไปอยู่ในมือของคนอื่น
“ฉันไม่สนใจว่าเหตุผลของคุณคืออะไร อย่างไรก็ตามคุณต้องให้สิ่งที่ฉันต้องการโดยเร็วที่สุด”
เขากำชับเสียงเฉียบขาด หลังจากพูดจบ แล้วก็วางสายโดยไม่ให้มู่เฉาเกอได้มีโอกาสได้โต้แย้ง
หลังจากวางสายไป มู่เฉาเกอก็โกรธจนหายใจแปรปรวน
เติบโตมาขนาดนี้ เธอไม่เคยถูกปฏิบัติด้วยน้ำเสียงเช่นนี้
“น่ารังเกียจ!”
เธอโกรธเดือดดาลจนทุบไปที่รถ คาดไม่ถึงว่าจะชนเข้ากับแตรรถ กดจนเสียงแสบแก้วหู ทำให้เธอตกใจ ในเวลาเดียวกันก็สงบลงมา
เธอมองไปที่ตระกูลเฟิงอย่างใจฝ่อ ไม่พบคนด้านในตกใจ จึงรีบสตาร์ทรถขับออกไป
หลายวันต่อมา วันเวลาก็กลับมาเหมือนเมื่อก่อน
ตอนกลางวัน เฟิงจิ่งเหยาไปจัดการงานที่บริษัท กู้ฉางฉิงร่างแบบอยู่ที่บ้าน ไปเปิดประชุมที่บริษัทเป็นครั้งคราว
ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนเริ่มก้าวหน้าขึ้น แต่ทำให้คุณนายที่แอบติดตามอยู่โกรธมาก
เช่นนี้ต่อไป หากในอนาคตเธออยากจะไล่นังหญิงชั่วกู้ฉางซินออกไป ก็เกรงว่าจะยากแล้ว
ไม่ได้ เธอจำเป็นต้องคิดวิธีจัดการ
กู้ฉางฉิงไม่รู้สิ่งเหล่านี้ หลายวันมานี้เธออยู่ร่วมกันกับเฟิงจิ่งเหยา ในใจเธอก็เต็มไปด้วยความหวานชื่น
ส่วนเรื่องที่ไม่มีความสุขเหล่านั้น ให้เธอปิดกั้นไปชั่วคราว
ตอนนี้เธอแค่อยากใช้เวลาดีๆกับเฟิงจิ่งเหยาในทุกวัน
ทิ้งความทรงจำไว้ให้เพียงพอสำหรับอนาคต
เพราะความคิดเช่นนี้ เธอจึงเป็นฝ่ายที่แสดงความใกล้ชิด ก็ทำให้เฟิงจิ่งเหยารู้สึกดีในหลายวันมานี้
ต่อให้ทางด้านชวี่ยี่นั้นไม่มีความคืบหน้าใดๆ ก็ไม่กระทบกับอารมณ์ของเขาเลย
แน่นอน ชวี่ยี่ก็ค้นพบสถานการณ์นี้เช่นกัน ในใจก็เปลี่ยนตำแหน่งของกู้ฉางฉิงด้วย
เกรงว่าจะต้องปฏิบัติต่อคุณนายรองคนนี้อย่างเคารพในฐานะประธานในอนาคต
เขาพลางคิดเสร็จ ก็รายงานข่าวล่าสุดไปด้วย
“ท่านประธาน คนของเราไล่ไปตรวจสอบทั่วแล้ว ยังไม่พบเงาของเจียวหนูเลย”
เฟิงจิ่งเหยาฟังจบ สีหน้าก็อดไม่ได้ที่จะจริงจังขึ้นมา
“ลูกน้องของเธอบอกไหม?”
ชวี่ยี่ส่ายหัว : “คนเหล่านี้กัดไม่ปล่อย เราเอาลายนิ้วมือของพวกเขามา ตรวจสอบในเว็บไซต์สถิติระหว่างประเทศ คนเหล่านี้มีประวัติอาชญากรรม นี่คือข้อมูลของพวกเขา”
เขาพูดจบ ก็ส่งเอกสารข้อมูลให้
เฟิงจิ่งเหยารับมาแล้วชำเลืองมองเล็กน้อยแล้ววางไว้ข้างๆ
“ในเมื่อนักโทษที่นานาชาติประกาศจับ คุณก็ติดต่อตํารวจอาชญากรรมระหว่างประเทศ แล้วนำพวกเขาส่งไป”
ชวี่ยี่พยักหน้า หลังจากนั้นก็กล่าวอย่างลังเลใจว่า: “แล้วผู้หญิงคนนั้นล่ะครับ?”
เฟิงจิ่งเหยาหรี่ตา วางนิ้วมือลงบนโต๊ะแล้วเคาะๆเล็กน้อย
กฌไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน เขาจึงดึงสติกลับมาจากในความครุ่นคิด
“ในเมื่อพวกคุณหาคนไม่พบ ฉันคิดว่าเธอน่าจะไม่ได้อยู่ในเขตเมืองแล้ว”
ชวี่ยี่ฟังถึงคำพูดนี้ ก็แปลกใจอย่างมาก
“เป็นไปได้ยังไง? คนของพวกเราสืบค้นทุกทางออกของเขตเมือง เธอจะหนีออกไปได้ยังไงกัน”
เฟิงจิ่งเหยารู้ว่าเขาไม่เชื่อ ชำเลืองมองเขาอย่างเย็นชา ยิ้มเบาๆแล้วกล่าวว่า: “ทำไมจะไม่ได้ล่ะ อย่าลืมสิว่า ฝ่ายตรงข้ามเข้ามาใกล้เปลือกตาของพวกเราได้ยังไง”
ชวี่ยี่ได้ยิน สีหน้าก็ไม่น่าดูขึ้นมา
“งั้นตอนนี้พวกเราจะตรวจสอบยังไง?”
ในสายตาของเฟิงจิ่งเหยาเป็นประกาย ยิ้มมุมปากอย่างเย็นชา: “ขณะนี้มีเพียงเส้นทางเดียวสำหรับผู้หญิงคนนั้น คุณส่งคนไปท่าเรือ ยิ่งเรือที่ลักลอบค้าของเถื่อนด้วยแล้ว จับตาดูให้ฉันให้ดี!”
ชวี่ยี่เข้าใจความหมายของท่านประธานในทันที พยักหน้าแล้วหันตัวไปจัดการ
ในความเป็นจริง ก็เป็นอย่างที่เฟิงจิ่งเหยาพูดจริงๆ เจียวหนูที่หายสาบสูญมาโดยตลอด ความเป็นจริงซ่อนตัวอยู่ในท่าเรือจริงๆ
เธอได้เจรจากับบางคนไว้แล้ว เมื่อตอนกลางคืนเดินเรือ เธอก็จะลักลอบออกไป
“กำหนดออกไปคืนนี้”
เธอเดินไปถึงห้องโดยสารเรือ หาคนเดินเรือแล้วกล่าวถาม
ไม่ใช่เธอไม่ไว้ใจคน แต่เธอถูกผิดนัดมารอบหนึ่งแล้ว
เธอควรจะออกไปเมื่อสองวันก่อน แต่มันล่าช้าเพราะเรื่องส่วนตัวของบุคคลนี้
รู้ว่าตอนนี้เธอยังถูกประกาศจับ อยู่หลายวัน อันตรายก็มีมากขึ้น
“วางใจได้ คนสวย คืนนี้พอสินค้ามาถึง พวกเราก็จะออกไป”
คนเดินเรือพูดพลาง ก็โอบกอดเจียวหนูอย่างหลงใหล
เจียวหนูมองท่าทางที่น่ารังเกียจนั้นของเขา ในใจก็ไม่พอใจอย่างมาก แต่ตอนนี้ยังต้องร่วมมือกันกับเขา
“โอ๊ย คู่รักคู่แค้น ทำอะไรรีบร้อนขนาดนี้?”
เธอตำหนิอย่างเสียงอ่อนโยน แต่ในสายตากลับเยือกเย็น จ้องไปที่ศีรษะของคนเดินเรือเหมือนจะเอาชีวิต
พอเธอออกไปจากที่นี่ จะไม่ให้คนๆนี้มีชีวิตที่ดีขึ้นเป็นแน่ ส่วนเฟิงจิ่งเหยา เธอก็ไม่ปล่อยไปอย่างเด็ดขาด!
แต่ไม่รู้ว่า เมื่อเธอกำลังคิดที่จะแก้แค้น ทางด้านเฟิงจิ่งเหยาก็ได้รับข่าวแล้ว
“ท่านประธาน คนของพวกเราตรวจสอบได้ว่าผู้หญิงคนนั้นอยู่ที่ท่าเรือครับ”
เฟิงจิ่งเหยาได้ยิน ก็รู้สึกโล่งใจกับความกังวลที่เก็บไว้ภายในใจมาโดยตลอด
หาคนพบแล้วก็ดี หาคนเจอแล้ว ก็ไม่ต้องกังวลการลงมือลับๆของเธอ
“คุณพาคนเข้าไปทันที ให้คนทางด้านนั้นอย่าทำให้แตกตื่น รอพวกคุณไปถึงแล้วค่อยลงมือ”
ชวี่ยี่เข้าใจ หันเดินไปจัดการ
เฟิงจิ่งเหยาระงับเขาที่หันหลังไป ไม่รู้ว่าทำไม ยังไม่ค่อยวางใจ จึงเรียกคนให้หยุด
“เดี๋ยวก่อน ฉันจะไปด้วยกันกับพวกคุณ”
ชวี่ยี่นิ่งอึ้งไป ตอบสนองกลับมาอยากที่จะพูดว่าอันตรายอย่างมาก แต่เห็นสีหน้าที่แน่วแน่ของเฟิงจิ่งเหยาแล้ว คำพูดโน้มน้าวในปากก็ถูกเขากลืนลงคอไป
ในคืนวันนั้น ที่ท่าเรือ
ตรงข้ามกับความเงียบสงัดในเขตเมือง ที่นี่ก็มีเสียงตะโกนโหวกเหวกโวยวายไปทุกหนทุกแห่ง
ลูกหาบจำนวนไม่น้อยกำลังปฏิบัติหน้าที่ ขนย้ายของไปยังบนเรือ
ทุกอย่างคล้ายกับว่าเป็นปกติอย่างมาก และก็เหมือนไม่ปกติ
ถึงอย่างไรก็ไม่มีบริษัทขนส่งไหนที่ดำเนินการในตอนกลางคืน เห็นได้ชัดว่า ของที่ลำเลียงเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งของที่ถูกต้องตามกฎหมาย เรียกกันโดยทั่วไปว่าลักลอบค้าของเถื่อน
“ชวี่ยี่ แจ้งตำรวจ”