เฟิงจิ่งเหยามองแก้มกู้ฉางฉิงที่แดงเล็กน้อย จึงถามว่า : “อีกสักครู่คุณคิดว่าจะกลับอย่างไร? ต้องการให้ฉันจัดคนไปส่งคุณไหม?”
มู่เฉาเกอมองไปที่เฟิงจิ่งเหยาด้วยท่าทางมึนเมาเล็กน้อย
อันที่จริงเธอยังไม่เมา เพียงแต่เพื่อเรื่องของคืนนี้ เธอเลยต้องเสแสร้ง
“ไปเป็นเพื่อนชั้นตากลมที่ดาดฟ้าหน่อย”
ดูเหมือนว่าจู่ๆเธอก็เสนอความปรารถนานี้ออกมา ทำให้เฟิงจิ่งเหยาตกตะลึง
“โอเค”
เขากระพริบตาแล้วตอบรับไป
มู่เฉาเกอได้รับคำตอบก็อมยิ้มแล้วเดินไปที่ลิฟท์
จากนั้นทั้งสองคนก็ขึ้นลิฟต์ไปชั้นบนสุด
อาคารนี้เป็นอาคารใหญ่ที่โดดเด่นที่สุดในเมืองหลวง มีทั้งหมดแปดสิบแปดชั้น การยืนอยู่บนชั้นสูงสุดก็ราวกับยื่นมือออกไปคว้าดวงจันทร์ได้
มู่เฉาเกอก็ทำเช่นนี้
“จิ่งเหยา คุณว่าวิวที่นี่สวยไหม?”
เธอพูดจบ ก็หันไปมองเฟิงจิ่งเหยา
สายลมชั้นดาดฟ้าพัดอ่อนๆทำให้ผมดำๆของเธอปลิวสยาย คนก็สดชื่นไม่น้อย
เฟิงจิ่งเหยามองอย่างเงียบๆ
เดิมทีที่นี่น่าจะเป็นพื้นที่ชมวิวกึ่งเปิดโล่ง เมื่อยืนอยู่ที่นี่สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ครึ่งหนึ่งของเมืองหลวง ปกติผู้คนจำนวนมากมาที่นี่เพื่อชมวิว
เพียงแต่ไม่รู้ว่าทำไม คืนนี้ที่นี่ไม่มีคนสักคน
มู่เฉาเกอดูเหมือนจะค้นพบเช่นกัน พูดอย่างประหลาดใจว่า : “ทำไมคืนนี้ถึงไม่มีคนสักคนเลย?”
เฟิงจิ่งเหยามองไปรอบๆ จ้องมองกู้ฉางฉิงเหมือนจะยิ้มไม่ยิ้ม
“ใช่ แปลกมาก”
มู่เฉาเกอได้ฟังคำพูดที่แฝงความหมายนี้ ก็หวาดหวั่นอย่างบอกไม่ถูก
เธอแกล้งทำเป็นหันไปมองวิวด้านนอก ยังไม่ลืมที่จะเรียกเฟิงจิ่งเหยา
“คุณดู นั่นคือเฟิงซื่อกรุ๊ปของคุณ มู่ซื่อกรุ๊ปเราอยู่ด้านหลังพวกคุณ”
เธอชี้ไปที่จึกสำนักงานสองสามหลังที่อยู่ไม่ไกล ด้วยแววตาเป็นประกาย
“จิ่งเหยา คุณรู้ไหม? แต่ไหนแต่ไรมา ฉันมีความฝันว่า อยากให้บริษัทมู่บริษัทเฟิงของเราทั้งสองร่วมมือกัน จนกลายเป็นผู้นำอุตสาหกรรมแห่งชาติ!”
แต่ไม่รู้ว่าเฟิงจิ่งเหยาเดิมทีไม่ได้ฟังคำพูดของเธอเลย แต่กลับความคิดล่องลอยมองวิวยามค่ำคืนตรงหน้า
ดูเหมือนว่าเขายังไม่ได้พากู้ฉางซินมาที่นี่
เขาอยากยืนอยู่ที่นี่แล้วมองไปยังเมืองหลวงทั้งหมด มันน่าจะทำให้ผู้หญิงคนนั้นรู้สึกมีแรงบันดาลใจ
คิดเสร็จ บนใบหน้าของเขาก็แสดงออกอย่างอ่อนโยน
มู่เฉาเกอเห็นว่าตนเองพูดนานแล้วก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับ จึงหันไปมองอย่างสงสัย ก็เห็นสีหน้าที่อ่อนโยนของเฟิงจิ่งเหยา
การแสดงออกเช่นนี้ เธอมองออกว่าเฟิงจิ่งเหยานึกถึงกู้ฉางซิน
ชัดเจน เดิมทีเฟิงจิ่งเหยามาได้ฟังเธอเลย แต่กลับคิดถึงกู้ฉางซิน บางทีอาจคิดว่าครั้งหน้าจะพาผู้หญิงคนนั้นมา
เธอคิดถึงตรงนี้ อดไม่ได้ที่จะเกิดความริษยาในใจ
เธอจับกระเป๋าถือแน่น แต่ยังคงกดแรงกระตุ้นในใจไว้
“จิ่งเหยา คุณคิดอะไรอยู่?”
เธอพูดอย่างยิ้มๆ
เฟิงจิ่งเหยาสติกลับมา ก็ไม่ได้เต็มใจที่จะพูดความจริง พูดจากหนักเป็นเบา : “ไม่ได้คิดอะไร”
เป็นธรรมดาที่มู่เฉาเกอจะไม่เชื่อ แต่ฉันไม่อยากยึดมั่นกับคำพูดเหล่านี้
เธอเดินไปที่เฟิงจิ่งเหยา มองไปที่ตึกสูงใหญ่ไกลๆ แล้วถอนหายใจพูดว่า : “ดูเหมือนนานแล้วที่ไม่ได้ออกจากบ้านมาผ่อนคลายกับคุณเช่นนี้”
เฟิงจิ่งเหยาได้ฟัง ก็หันไปมองมู่เฉาเกอด้วยแววตาเคร่งขรึม ทว่าไม่ได้พูดอะไร
มู่เฉาเกอเหมือนไม่พบเห็น พูดต่อว่า : “ความรู้สึกนี้น่าจะเกิดขึ้นหลังจากที่คุณแต่งงาน รู้สึกว่าหลังจากที่คุณแต่งงาน ก็เปลี่ยนไปมาก อยากจะมาหาคุณก็ยากมาก”
เฟิงจิ่งเหยาหัวเราะเบาๆ พูดอย่างไม่เชิงเห็นด้วยหรือคัดค้าน : “แต่งงานแล้ว เป็นธรรมดาที่จะต้องเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย”
เขาพูดจบ ก็นึกถึงกู้ฉางฉิง นึกถึงเรื่องราววันเหตุการณ์เหล่านี้ อารมณ์บนใบหน้าก็อบอุ่นอีกครั้ง
มู่เฉาเกอเห็น กระเป๋าถือราคาแพงในมือก็ถูกเธอจิกจนขาด
“คุณกำลังคิดถึงกู้ฉางซินหรอ?”
เธอพูดถึงความคิดของเฟิงจิ่งเหยาอย่างตรงไปตรงมา
เฟิงจิ่งเหยาถูกเธอมองออกก็ไม่ได้ปิดบัง อมยิ้มแล้วพยักหน้า: “ก็คือ……ฉันเหมือนกับยังไม่เคยพาเธอมาสถานที่นี้ ครั้งต่อไป…….”
ขณะที่กำลังคิดที่จะพูดว่าครั้งต่อไปจะพากู้ฉางฉิงมา ในที่สุดมู่เฉาเกอก็ทนฟังต่อไปไม่ไหว จึงตัดบทอย่างเสียมารยาท
“จิ่งเหยา ท้องฉันปวดขึ้นมาอย่างกะทันหัน คุณรอฉันอยู่ตรงนี้แปปนึงนะ ฉันจะไปห้องน้ำ”
เธอพูดจบ ก็ไม่สนใจว่าเฟิงจิ่งเหยาจะรับปากไหม ก็หันตัวเดินออกไป
เฟิงจิ่งเหยามองภาพด้นหลังของเธอหายไปในทางเดิน ในสายตาก็ปรากฎอะไรวับหนึ่ง เพียงแต่รวดเร็วเกินไป ทำให้คนคว้าไว้ไม่ได้
ทันทีหลังจากนั้น เขาก็ดึงสายตากลับ หันตัวกลับแล้วหยิบมือถือออกมา
เวลานี้ ทางเดินที่มู่เฉาเกอออกไปก็มีความเคลื่อนไหวปรากฎออกมา
พอเฟิงจิ่งเหบาเงยหน้า กลุ่มชายรูปร่างสูงใหญ่กลุ่มหนึ่งก็ออกมาล้อมเขาไว้
เขามองไปรอบๆ หรี่ตาอย่างอันตราย ยังไม่รอให้เขาได้เอ่ยปากกล่าวถาม ประตูทางเข้าก็มีเสียงฝีเท้าหนึ่งดังขึ้น
หลังจากนั้นก็เห็นเย่าซือเดินออกมาอย่างเกียจคร้าน ชุดสูทที่ดีบนร่างกายไม่ว่าอย่างไรก็ถูกเขาใส่ความชั่วร้ายออกมาเล็กน้อย
“ไม่เจอกันนานเลยจริงๆ ประธานเฟิง”
เฟิงจิ่งเหยามองเขา ในสายตาก็ปรากฎแสงเป็นประกาย เก็บมือถือแล้วยิ้มจางๆ
“ในที่สุดก็โผล่หัวออกมา”
เย่าซือเลิกคิ้ว ไม่นานก็คล้ายกับเข้าใจอะไร กล่าวอย่างเยาะเย้ยว่า: “สมที่เป็นคนอันดับหนึ่งของเมืองหลวง เฉียบแหลมขนาดนี้”
เฟิงจิ่งเหยาไม่พูดจา รอข้อความต่อไปของเขาอย่างสงบเสงี่ยม
แต่เย่าซือไม่ร้อนใจ เดินไปยังเฟิงจิ่งเหยาทีละก้าวๆ ในสายตาเต็มไปด้วยความเพลิดเพลิน
“ประธานเฟิงเกินความคาดหมายของฉันจริงๆ ทั้งๆที่รู้ว่าเป็นกับดัก ยังกล้าหย่อนตัวเองลงกับดักอีก”
เฟิงจิ่งเหยามองเขา มุมริมฝีปากยกเล็กน้อย “ไม่เข้าถ้ำเสือไหนเลยจะจับเสือได้?”
เย่าซืองุนงงเล็กน้อย คล้ายกับฟังประโยคนี้ของเฟิงจิ่งเหยาไม่เข้าใจ
แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ เขาก็ไม่แสดงออกมา
“ในเมื่อตกอยู่ในมือของฉันแล้ว ก็รบกวนประธานเฟิงตามฉันไปด้วย”
เขาพูดจบ ก็ส่งสายตาไปให้ลูกน้องที่อยู่ข้างๆ
แน่นอนว่าเฟิงจิ่งเหยาเห็นแล้ว ร่างกายขึงตึงขึ้นมาด้วยจิตสำนึก
ให้เขาตามคนเหล่านั้นไป เขาไม่ยินยอมแน่นอน เพียงแต่……
“ให้ฉันตามคุณไป ก็ไม่ใช่เป็นไปไม่ได้ แต่ฉันมีเรื่องสงสัยสองสามอย่าง ยังต้องการให้คุณมาอธิบาย”
เขากล่าวด้วยสายตาที่เป็นนัย อันที่จริงก็คืออยากจะแน่ใจเรื่องหนึ่ง
เขาอยากรู้ว่าทำไมมู่เฉาเกอถึงร่วมมือกับผู้ชายคนนี้
แต่ความสงสัยของเขาเย่าซือไม่ได้รับรู้ แต่กลับเข้าใจผิด คิดว่านี่คือเฟิงจิ่งเหยากำลังถ่วงเวลา
ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ลืมว่าตอนที่เข้ามาเมื่อกี้ ในมือของเฟิงจิ่งเหยาถือมือถืออยู่
“ซื่อสัตย์หน่อย”
เย่าซือหยิบปืนป้องกันตัวจากเอวเล็งไปยังเฟิงจิ่งเหยา “ฉันไม่ได้สนใจที่จะอธิบายคุณ อีกอย่างความอดทนของฉันมีจำกัด”
เฟิงจิ่งเหยาเห็นกระบอกปืนสีดำๆนั้น ก็ขมวดคิ้วแน่น
เขาไม่พูดจา เย่าซือก็ไม่สนใจ เอ่ยปากเองว่า: “ฉันคิดว่าประธานเฟิงรู้ว่าฉันต้องการอะไร ต้อนรับขับสู้อยู่นานขนาดนี้ ทุกคนก็เบื่อแล้ว ดังนั้น เพื่อเป็นการดีต่อทุกคน เพื่อชีวิตน้อยๆของประธานเฟิง ฉันแนะนำให้คุณให้คนส่งของที่ฉันต้องการมาอย่างซื่อตรง ไม่เช่นนั้นก็อย่าโทษฉันหากปืนลั่น”
เฟิงจิ่งเหยาฟังถึงคำพูดนี้ ก็เดาได้ถึงปัจจัยในคืนนี้ของคนนี้ คิดที่จะเอาสิ่งของกลับไปโดยไม่คำนึงถึงผลลัพธ์ที่ตามมา
เขาพินิจพิจารณาอยู่ในใจ เลือกที่จะประนีประนอมชั่วคราว
หลังจากนั้นเฟิงจิ่งเหยาก็ตามเย่าซือและคนอื่นๆออกไป
หลังจากที่พวกเขาจากไปแล้ว มู่เฉาเกอจึงเดินออกมาจากในมุมมืด
จิ่งเหยา อย่าโทษเธอนะ ที่ทำแบบนี้ก็เพื่อดีต่อคุณ ส่วนความสูญเสียของคุณ ในอนาคตฉันจะชดเชยให้เป็นร้อยเท่า