เมื่อมู่เฉาเกอได้ยินเช่นนี้ดวงตาของเขาก็ร้อนรุ่ม
เธอจะไม่ยอมให้เฟิงจิjงเหยามีโอกาสพลิกผัน
“ลักษณะของบริษัทนี้เป็นอย่างไรและมีธุรกิจหลักอย่างไร คุณมีข้อมูลเฉพาะหรือไม่?”
เธอมองไปที่เฉินยู่ชิงอย่างเย็นชา ความหายชัดเจนว่าถ้าเธอทำได้ เธอต้องการบริษัทของคู่แข่ง
แต่เธอไม่รู้ว่าสิ่งที่เธอหมายถึงนั้นประจวบเหมาะกับสิ่งที่เฉินยู่ชิงคิด
“โครงการหลักของบริษัทไม่เลวเลย ถ้าเราเทคโอเวอร์ เราก็จะชนะไปด้วยกัน”
เฉินยู่ชิงพูดสั้นๆเกี่ยวกับธุรกิจหลักของเซนต์เดโบ มู่เฉาเกอพยักหน้าอย่างครุ่นคิด
“ดังนั้น เราจะต้องเอาบริษัทนี้มาให้ได้”
เธอพูดอย่างหนักแน่น
เฉินยู่ชิงพยักหน้า
จากนั้นทั้งสองก็คุยกันอีกสองสามเรื่องเกี่ยวกับงาน ทันใดนั้นเฉินยู่ชิงก็เปลี่ยนเรื่องคุยและพูดเชิญ “นี่ก็เที่ยงกว่า ได้เวลาอาหารกลางวันแล้ว เฉาเกอ ไปทานอาหารเที่ยงด้วยเป็นไงล่ะ?”
สีหน้ามู่เฉาเกอเปลี่ยนไป เธอกล่าวอย่างเย็นชา “ไม่ล่ะ ยังมีเรื่องที่บริษัทต้องทำอีก เปลี่ยนวันนัดเถอะ”
หลังจากพูดเสร็จ เธอก็หมกมุ่นอยู่กับงาน
เฉินยู่ชิงหรี่ตาคู่นั้นลงเล็กน้อย สายตาดำทมิฬ
เขารู้ดีว่าทำไมมู่เฉาเกอถึงปฏิเสธเขา แม้ว่าเขาจะไม่พอใจเล็กน้อย แต่เขาก็คิดว่าพวกเขาทั้งสองคบค้าสมาคมกันมาไม่นาน และมันคงไม่ดีสำหรับเขานักที่จะกดดัน
“งั้นคราวหน้าเราค่อยนัดกันใหม่นะ”
เขายิ้มให้และจากไป
หลังจากที่เขาจากไป มู่เฉาเกอซึ่งยุ่งอยู่ก็หยุดสิ่งที่เขาถืออยู่และเงยหน้าขึ้นมองไปที่ประตู
เธอกดริมฝีปากบางของเธอแน่น ทำไมเธอจะไม่รู้สึกถึงเฉินยู่ชิงที่พยายามเข้ามาใกล้
อย่างไรก็ตามการแต่งงานกับครอบครัวเฉินเป็นเพียงหนึ่งในแผนเพิ่มอำนาจก็เท่านั้น
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้เธอก็ระงับความคิดที่แสนยุ่งเหยิงนี้และกลับไปทำงานต่อ
อีกสองวันถัดไป ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเฟิงจิ่งเหยาย้ายไปเซนต์เดโบและตระกูลมู่และตระกูลเฉินก็ย้ายไปด้วยซึ่งทำให้ปักกิ่งสงบลงกว่าสองสามวันก่อน
อย่างไรก็ตามที่นี่เงียบสงบ แต่เซนต์เดโบกลับมีชีวิตชีวาคึกคัก
หลังจากที่บริษัทออกคำสั่ง หลายคนรอคอย และแน่นอนว่ายังมีคนกล้าที่จะทดสอบน่านน้ำอีกด้วย
เพียงไม่กี่วันหุ้นของบริษัทได้เพิ่มขึ้นจากเก้าหยวนเป็นมากกว่าสิบหกหยวนต่อหุ้นและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
สถานการณ์ในตลาดหุ้นที่ไม่แน่นอนนี้ ได้รับความสนใจอย่างมากจากโลกภายนอก
นักลงทุนจำนวนมากได้ลงทุนตามไป โดยต้องการทำกำไรจากส่วนต่าง
เฟิงจิ่งเหยาเห็นเวลาที่เหมาะสมและลงมือซื้อกิจการ
เมื่อมู่เฉาเกอและเฉินยู่ชิงได้ข่าว พวกเขารวมเงินจากทั้งสองเพื่อซื้ออย่างไม่ต้องคิด
สนามรบที่ไม่มีควันดินปืนเริ่มต้นในตลาดหุ้น
ความตั้งใจของตระกูลมู่และตระกูลเฉินนั้นชัดเจนมาก พวกเขาต้องการที่จะบดขยี้เฟิงจิ่งเหยาในศึกครั้งนี้
ตราบใดที่เฟิงจิ่งเหยาเพิ่มทุน พวกเขาก็จะเพิ่มทุน แม้แต่เก็งกำไร ทำให้เปลี่ยนราคาหุ้นให้เป็นราคาที่สูงเสียดฟ้า
กล่าวได้ว่าการครั้งนี้ เป็นเรื่องที่เฟิงจิ่งเหยาไม่คาดคิด
แต่เป็นที่น่าตกใจสำหรับคนอื่นๆในกลุ่มเฟิงซื่อกรุ๊ป
อย่างไรซะไม่มีบริษัทใด ที่กล้าแข่งกับพวกเขา
แต่ตอนนี้ถูกกดดันจากทั้งสองบริษัท คณะกรรมการบริหารของบริษัทรู้สึกกดดันและวิตกกังวล เรียกประชุมคณะกรรมการบริหารทันที
“ประธานเฟิง ฉันคิดว่าบริษัทเซนต์เดโบแห่งนี้เราทิ้งมันเถอะ มันใช้ทุนมากเกินไป ในกรณีที่มีคนอื่นทำได้ แม้ว่ามันจะไม่ทำให้เฟิงซื่อปั่นป่วน แต่การสูญเสียก็ไม่น้อย นี่มันกระทบต่อรูปลักษณ์องค์กรของพวกเราอย่างมาก”
“ใช่ ตอนนี้เรากับตระมู่เป็นที่จับตามอง และมีข่าวลือมากมายจากภายนอก หากมีข่าวลือที่ไม่ดีในเวลานี้ ตระกูลมู่จะดำเนินการอีกครั้งและตลาดหุ้นที่มั่นคงของเฟิงซื่อกรุ๊ปจะปั่นป่วนอีกครั้ง”
“ถูกต้อง ตอนนี้เราควรจะอ่อนข้อไปก่อน”
บอร์ดบริหารพูดถกออกมาทีละประโยค ประดังประเดเข้ามา เฟิงจิ่งเหยาที่ฟังก็หน้าเสียไป ขมวดคิ้วแน่น
“ฉันเข้าใจความหมายของคณะกรรมการบริหารทุกท่าน ก็คือไม่ต้องการให้กำไรของบริษัทได้รับผลกระทบ”
เขาพูดด้วยน้ำเสียงทุ้ม เพื่อให้คณะกรรมการบริหารทุกท่านฟังเขา
เมื่อได้ยินดังนั้นบอร์ดบริหารจึงมองเขาทีละคนและพยักหน้า “ใช่เราลงทุนเพื่อสร้างรายได้”
เฟิงจิงเหยาหัวเราะเบาๆ “ใช่นั่นคือสิ่งที่ฉันหมายถึง กรรมการบริหารทุกคนมั่นใจได้ ตอนนี้ฉันมีแผนของตัวเองและฉันจะไม่ให้เสียผลประโยชน์ของพวกคุณทุกท่าน”
ในตอนท้ายของคำพูดของเขาใบหน้าของเขาจริงจัง กรรมการบริหารมองหน้ากันและกระซิบ
“ความหมายของประธานเฟิงเหมือนว่าเขาต้องการจะเผชิญหน้ากับตระกูลมู่”
“คุณเพิ่งจะรู้ตัวหรอ?”
“อย่างไรก็ตามถามฉันไม่สนว่าของพวกเขาจะโกรธแค้นอะไรกัน ตราบใดที่ผลประโยชน์ของฉันยังคงเหมือนเดิม ฉันก็จะไม่ยุ่ง”
“เฮ้ สิ่งที่คุณพูดไม่ถูกต้อง กำไรจะไม่เปลี่ยนแปลงได้อย่างไร หากเราแพ้ในสงครามการระดมทุนครั้งนี้ เงินปันผลสิ้นปีจะลดลงครึ่งหนึ่งก็เป็นได้”
เฟิงจิ่งเหยาที่ฟังการสนทนาของพวกเขานั้น สีหน้าอึมครึมลง
“ทุกท่าน พูดกันไปพูดกันมาแล้ว พวกคุณก็ยังไม่เชื่อฉัน”
เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาทำให้กรรมการบริหารปิดปากเงียบ
เฟิงจิงเหยามองไปรอบๆ และพูดด้วยน้ำเสียงทุ้ม “แน่นอน ทุกท่านไม่เชื่อฉัน ฉันก็เข้าใจ ในเมื่อมันเกี่ยวกับผลประโยชน์ของคุณเอง แต่ฉันคิดว่าพวกคุณไม่ควรลืมการลงทุนในอดีตของฉันนะ”
ตามคำพูดของเขาบอร์ดบริหารก็เข้าใจว่าเฟิงจิ่งเหยาหมายถึงอะไร
ยังไม่ทนัที่พวกเขาจะแสดงความคิดเห็น เฟิงจิ่งเหยากล่าวต่อว่า: “ที่ผ่านมาการลงทุนของฉันไม่เคยล้มเหลวเลยสักครั้ง และครั้งนี้ก็จะไม่มีทางล้มเหลว!”
กรรมการบริหารไม่มีอะไรจะพูด พวกเขาบ่นเบาๆเล็กน้อย แต่ทว่าเฟิงจิ่งเหยาไม่สนใจสิ่งเหล่านี้
เพราะเขารู้ดีว่าคณะกรรมการบริหารจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับการตัดสินใจของเขาอีกต่อไป
หลังจากการประชุมเสร็จเขาเริ่มดำเนินการตามแผนของเขา
เขายุ่งมากจนเป็นเวลาหลายวันจนไม่มีเวลากลับบ้าน แล้วต้องนอนในห้องทำงาน
ข่าวลือจากภายนอกยังคงไม่หยุด
กู้ฉางเห็นแล้วก็รู้สึกเจ็บปวดในใจของเธอ
เธอช่วยอะไรไม่ได้มาก เธอทำได้แค่อยากดูแลเฟิงจิงเหยาให้ดี
คืนนี้ หลังจากรู้ว่าเฟิงจิงเหยาไม่กลับมา เธอก็ลงมือทำอาหารเล็กๆน้อยๆด้วยตัวเอง ห่อไปที่บริษัท
เฟิงซื่อกรุ๊ปในตอนกลางคืนดึกสงัดนั้นเงียบมาก
เนื่องจากกู้ฉางฉิงเป็นพนักงานของเฟิงซื่อกรุ๊ป เขาจึงสามารถไปที่ชั้นบนสุดได้เลย
“คุณนายรอง”
ทันทีที่ชวี่ยี่ออกมาจากห้องทำงานของประธาน ก็เห็นกู้ฉางฉิงที่เดินเข้ามา ใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจ
“ชวี่ยี่ จิ่งเหยาอยู่ในห้องทำงานหรือเปล่า?”
กู้ฉางฉิงโค้งหัวและถาม
หลังจากได้ยินสิ่งนี้ชวี่ยี่ก็กวาดตามองกู้ฉางฉิง เมื่อเขาเห็นกล่องอาหารในมือของเธอเขาก็รู้ได้ทันทีว่ากู้ฉางฉิงมาส่งอาหารให้กับประธานของเขา
“ท่านประธานอยู่ครับ คุณนายรองเดินเข้าไปได้เลยครับ”
กู้ฉางฉิงพยักหน้า ยื่นขนมในมือให้กับชวี่ยี่ และเข้าไปในห้องทำงาน
เมื่อเฟิงจิ่งเหยาได้ยินการเคลื่อนไหวในห้องทำงาน เขาก็คิดว่าเป็นชวี่ยี่จึงถามกลับไปว่า
“มีอะไรอีกไหม?”
เขาถามทั้งๆที่ไม่เงยหน้าขึ้น
กู้ฉางฉิงเลิกคิ้ว รู้ได้ทันทีว่าเขาคิดว่าเธอคือชวี่ยี่ เดินไปที่โต๊ะทำงานอย่างระมัดระวัง
เธอวางกล่องข้าวไว้บนโต๊ะทำงาน
เมื่อเฟิงจิงเหยารู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ เขาเงยหน้าขึ้นและเจอเข้ากับใบหน้าที่ยิ้มแย้มของกู้ฉางฉิง
“ประธานเฟิง แกร็ปมาส่งแล้วค่ะ ช่วยเซ็นต์รับด้วยค่ะ”
การล้อเล่นที่แสนซุกซนของเธอทำให้ใบหน้าที่เย็นชาของเฟิงจิ่งเหยาอ่อนลงทันที