เฟิงจิ่งเหยาลุกขึ้นออกจากโต๊ะและเดินไปที่ด้านข้างของกู้ฉางฉิง
“คุณมาได้ยังไง?”
ในขณะที่เขาพูด เขาก็ดึงกู้ฉางฉิงมานั่งลงบนโซฟาข้างๆ
กู้ฉางฉิงถูกเขาดึงตัว ก็ไม่ลืมกล่องอาหารที่อยู่บนโต๊ะและยิ้มพูดขึ้นมา “คุณไม่ได้กลับมาสองวันติดแล้วยังไม่ให้ฉันมาหาคุณอีก?”
เพราะทั้งสองไม่เคยสารภาพความรู้สึกของพวกเขาตรงๆ แต่เธอรู้สึกว่าระหว่างพวกเขารู้เรื่องเหล่านี้ดี ดังนั้นเธอจึงอายเกินกว่าที่จะพูดถึงความรัก จึงทำได้เพียงแต่ยิ้มแล้วพูดออกมาครึ่งๆกลางๆ
เฟิงจิ่งเหยาเข้าใจได้ รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสดใสมากขึ้น
“นี่คืออะไรหรอ?”
เขาหันไปมองกล่องอาหารและตั้งใจถามออกไป
“อาหารที่ฉันทำน่ะ อยากจะทำอาหารให้คุณ”
เมื่อเห็นเขามองไปที่กล่องอาหาร กู้ฉางฉิงก็รีบหยิบอาหารที่เตรียมไว้ออกมา
“มันยังร้อนอยู่ รีบกินตอนที่ยังร้อนเถอะ”
เธอส่งตะเกียบให้อย่างใจจดใจจ่อ
เฟิงจิ่งเหยาไม่สามารถปฏิเสธได้ และบวกกับในขณะนี้เขาหิวมากจริงๆ
อย่างไรซะวันนี้เขายุ่งมาก จนลืมเวลากินข้าว
“อร่อย”
เขาคีบเค้กข้าวที่ทำโดยกู้ฉาฉิง รสชาติที่หอมหวานทำให้ค่อยๆเลิกคิ้วขึ้น
เมื่อกู้ฉางฉิงเห็นว่าเขาพอใจกับอาหารของเธอ หัวใจของเขาก็เต็มไปด้วยความพึงพอใจ
“ถ้าอร่อยก็กินเยอะๆ ช่วงนี้คุณน้ำหนักลดลงมาก”
เธอดันเค้กไปข้างหน้าเฟิงจิ่งเหยาอย่างรักใคร่
เฟิงจิ่งเหยารู้ว่าเธอห่วงใยตัวเอง ความอุ่นวาบไหลผ่านในใจ
“คุณก็กินด้วยกันสิ”
เขาคีบขนมขึ้นมาและป้อนให้กู้ฉางฉิง
กู้ฉางฉิงไม่ปฏิเสธ อย่างไรซะนี่เป็นช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกันแค่คนสองคน
และเหตุนี้ พวกเขาผลัดกันกินทีละคำสองคำ ไม่นานอาหารที่เตรียมมาก็หมด
กู้ฉางฉิงเก็บกล่องอาหารบนโต๊ะและกำลังจะถามเกี่ยวกับสถานการณ์ของบริษัทในช่วงสองวันที่ผ่านมา ทันใดนั้นโทรศัพท์บนโต๊ะของเฟิงจิ่งเหยาก็ดังขึ้น
เฟิงจิ่งเหยาส่งสายตาขอโทษให้กู้ฉางฉิงแล้วไปรับโทรศัพท์
สายนี้มาจากผู้รับผิดชอบการซื้อกิจการในต่างประเทศ
เขารายงานต่อเฟิงจิ่งเหยาเกี่ยวกับความคืบหน้าล่าสุดของที่นั่น
ไม่รู้ว่าพูดอะไรกัน คิ้วที่คลายอยู่ของเฟิงจิ่งเหยาก็ขมวดขึ้นอีกครั้งและรอยยิ้มบนใบหน้าก็จางหายไป
“ฉันเข้าใจแล้ว ฉันจะให้คนโอนเงินโดยเร็วที่สุด”
หลังจากที่เขาพูดจบ เขาก็วางสายด้วยเสียงที่ทุ้มต่ำ
เมื่อเห็นแบบนี้ กู้ฉางฉิงอยากจะถามอีกครั้ง แต่โทรศัพท์บนโต๊ะของเฟิงจิ่งเหยาก็ดังขึ้นอีกครั้ง
สถานการณ์นี้ดำเนินไปจนถึงหนึ่งชั่วโมง เฟิงจิ่งเหยาถึงจะสามารถหยุดได้
เมื่อกู้ฉางฉิงเห็นเขายุ่งจนหัวหมุน ความรู้สึกผิดที่ถูกเก็บเอาไว้ในใจของเธอก็พรั่งพรูอีกครั้ง
ดูเหมือนว่าเธอเป็นตัวซวยอย่างที่คุณนายเฟิงกล่าว
ไม่ว่าเธอจะระวังแค่ไหน ปัญหาเหล่านั้นก็จะวิ่งเข้าหาเธอเสมอ
“จิ่งเหยา สถานการณ์ในบริษัทไม่ค่อยดีใช่ไหม?”
เธอถามอย่างรู้สึกผิด
เฟิงจิ่งเหยามองไปที่เธอ ทำไมจะไม่รู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่
แทนที่จะปกปิดมันแล้วให้เธอจินตนาการไปต่างๆนานา ถ้าจะพูดออกมาตรงๆให้เคลียร์ก็ไม่ง่าย
“สถานการณ์ไม่ได้เลวร้ายมากนัก เพียงแค่มู่ซื่อกรุ๊ปและตระกูลเฉินกำลังเร่งดำเนินการทีละขั้นตอน ซึ่งทำให้รับมือไม่ทัน”
กู้ฉางฉิงฟังไม่ออกว่านี่คือคำปลอบใจ แม้ว่าเธอจะไม่เข้าใจการต่อสู้ทางการค้า แต่เธอก็เข้าใจว่าการผนึกกำลังของทั้งสองนั้นไม่สามารถต้านทานได้โดยง่าย
จะต้องมีความยากลำบากอย่างมากในเรื่องนี้
เธอคิดถึงตรงนี้ สายตาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
“มันเป็นความผิดของฉันทั้งหมด ถ้าไม่ใช่เพราะความประมาทของฉันและเข้าใจผิดหยิบของคนอื่นมา มันก็คงไม่กระทบมากมายขนาดนี้”
เมื่อมองไปที่ท่าทางตำหนิตัวเองของเธอ เฟิงจิ่งเหยาก็ก้าวไปข้างหน้าและกอดเธอเอาไว้
“ฉันบอกว่าเรื่องนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคุณ โทษเธอไม่ได้ และไม่มีใครสามารถหยุดอุบัติเหตุที่จะเกิดขึ้นได้”
เขาวางศีรษะบนไหล่ของกู่ฉางชิงและปลอบโยนเธอเบาๆ
กู้ฉางฉิงเม้มปากไม่พูดอะไร
เฟิงจิ่งเหยาไม่สนใจและพูดต่อ “อีกอย่าง เรื่องมู่เฉาเกอ ฉันไม่เคยรู้ว่าเธอคิดแบบนั้น ตอนนี้เธอรักฉันจนเกิดความเกลียดขึ้นมา เดิมทีเพื่อให้เกียรติความสัมพันธ์ของทั้งสองตระกูลเอาไว้ ฉันจึงอดทนมาตลอด ในเมื่อเธอยังตื้อไม่หยุด ครั้งนี้ฉันก็ต้องแก้ไขปัญหาแบบถอนรากถอนโคนแล้วล่ะ อย่างไรก็ตามเราไม่ได้เป็นหนี้อะไรเธอ”
กู้ฉางฉิงขมวดคิ้ว “แม้ว่าเราจะไม่ได้เป็นหนี้อะไรเธอเลย แต่การทำเช่นนั้นจะส่งผลต่อชื่อเสียงของคุณ”
ช่วงนี้มีการคาดเดาบนอินเทอร์เน็ตมากมายเกี่ยวกับการต่อสู้ระหว่างสองครอบครัว บวกกับข่าวลือของทั้งสองก่อนหน้านี้ ชาวเน็ตหลายคนรู้สึกว่าทั้งสองตระกูลแยกแตกกันเพราะความสัมพันธ์ของพวกเขาสองคน
ด้วยเหตุนี้จึงมีการต่อต้านเฟิงจิ่งเหยามากมายบนอินเทอร์เน็ต
ท้ายที่สุดความรู้สึกระหว่างชายและหญิง คนส่วนใหญ่มักจะเห็นอกเห็นใจผู้หญิงที่อ่อนแอกว่าเสมอ
อีกอย่างครอบครัวมู่และเผชิญหน้ากับครอบครัวเฟิงอย่างดุเดือดนั้น ซึ่งทำให้การคาดเดานี้ดูเป็นจริงมากยิ่งขึ้น
กู้ฉางฉิงไม่ต้องการทำให้เฟิงจิ่งเหยาเสียชื่อเสียง
เฟิงจิ่งเหยาไม่ค่อยสนใจข่าวเหล่านั้น มันจะเป็นประโยชน์ต่อการปกป้องกู้ฉางฉิง
เขาหัวเราะเบาๆและพูดว่า “ฉันรู้ว่าคุณกังวล ไม่ต้องกังวล ตระกูลมู่ยังไม่สามารถทำอะไรได้ในเวลานี้ เพราะจ่างชาติไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อเรื่องนี้จบลง ฉันจะประกาศสิ่งเหล่านี้ เมื่อถึงเวลามันจะไม่ส่งผลกระทบต่อฉันหรือบริษัท”
กู้ฉางฉิงได้ยินเรื่องนี้ รู้ว่าเขามีแผน หยุดพูดหัวข้อนี้ต่อ
ท้ายที่สุดพวกเขาไม่ได้อยู่ตามลำพังมานานแล้วและไม่จำเป็นต้องเสียเวลากับสิ่งที่ไม่มีความสุขเหล่านี้
……
ในขณะเดียวกัน ณ มู่ซื่อกรุ๊ป
มู่เฉาเกอยืนอยู่หน้าหน้าต่างสูงในห้องทำงาน พร้อมกับถือไวน์แดงไว้ในมือพลางแกว่งไปมาเบาๆ
เธอมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างไม่แยแสและมองเห็นอาคารสำนักงานที่สูงตระหง่านระฟ้า
สถานที่นั้นเป็นที่ตั้งของเฟิงซื่อกรุ๊ป ต่อให้มันจะกลายเป็นขี้เถ้าแต่มู่เฉาเกอก็สามารถรู้ได้
อย่างไรซะเมื่อก่อนเธอก็วิ่งแจ่นไปที่นั่นบ่อย
เมื่อเธอนึกถึงอดีต ความเฉยเมยในดวงตาของเธอก็มืดมนมากขึ้น แผ่รังสีอำมหิตออกมา
เธอไม่เคยคิดเลยว่าเฟิงจิ่งเหยาจะปฏิบัติกับเธอแบบนี้ ไม่ว่าเธอจะอ้อนวอนอย่างไร ส่งเธอไปที่ห้องขังด้วยมือตัวเอง
เธอทำผิด แต่ก็เป็นเพราะเธอรักเขา
กล่าวได้ว่าหลังจากที่เธอออกมาจากคุก เธอก็เปลี่ยนไป
เธอเคยเป็นคนอ่อนโยน แม้จะหยิ่งเล็กน้อย แต่เธอก็ไม่เคยทิ้งความรู้สึกแย่ให้คนอื่น
แต่ตอนนี้เธอเหมือนดอกกุหลาบที่มีหนามทั่วร่างกายของเธอ สดใสแต่แหลมคม
ไม่เหลือร่องรอยของความรักที่มีต่อเฟิงจิ่งเหยา มีเพียงความเกลียดชังที่รุนแรงเท่านั้น
ลองนึกถึงความแย่ในคุกครั้งก่อน เธอไม่เคยได้รับความอัปยศอดสูเช่นนี้มาก่อนในชีวิต
เธอจิบไวน์แดง สายตาของเธอเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
เธอจะทำให้เฟิงจิ่งเหยามาคุกเข่าขอร้องเธออย่างแน่นอน!
สำหรับผู้หญิงเลวอย่างกู้ฉางซิน เธอก็จะไม่มีวันปล่อยมันไป!
ในขณะที่เธอกำลังจมดิ่งอยู่ในความคิด ประตูห้องทำงานที่อยู่ด้านหลังเธอก็ถูกผลักให้เปิดออก
ร่างสูงใหญ่เดินเข้ามาจากนอกประตู
คนที่เข้ามาคือคู่หมั้นที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งของมู่เฉาเกอ—เฉินยู่ชิง
เขาขมวดคิ้วขณะมองไปที่ร่างโดดเดี่ยวที่ยืนอยู่หน้าหน้าต่าง
“คิดอะไรอยู่?”
เขาก้าวไปข้างหน้าและโอบล้อมมู่เฉาเกอจากด้านหลัง
มู่เฉาเกอดิ้นทันที “ปล่อย”
เฉินยู่ชิงหรี่ตาลงอย่างอันตราย
เขาหันหน้าไปมองที่ใบหน้าอันไร้ที่ติตรงหน้า ส่งเสียงขึ้นจมูก “หือ?”
มู่เฉาเกอฟังออกว่าเขาไม่พอใจ แต่ก็ไม่ได้สนใจ
เธอผลักมือของเฉินยู่ชิงออกไปอย่างไม่แยแส หันตัวเดินไปที่โต๊ะทำงาน