พ่อมู่มองมู่เฉาเกอที่ถูกความเคียดแค้นเผาไหมสติปัญญา ก็ส่ายหัวอย่างจนปัญญา
เขารู้ว่าถ้าจนเองใช้ท่าทีแข็งกร้าว จะทำให้มู่เฉาเกอตอบโต้อย่างรุนแรง อีกอย่าง เขาก็อยากแก้แค้นให้ลูกสาวของตนเอง
แต่เขาไม่สามารถทำตามใจเล่นนี้เหมือนกับมู่เฉาเกอได้
ถึงอย่างไรสิ่งสำคัญเขาต้องพิจารณาเพื่อตระกูลมู่แล้วก็มู่ซื่อกรุ๊ป
ต้องรู้ว่าเขาคบค้าสมาคมกับเฟิงจิ่งเหยามาหลายครั้ง เขารู้ว่าเด็กคนนี้เจ้าเล่ห์เหมือนสุนัขจิ้งจอก ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะจัดการ
“เฉาเกอ คุณได้รับความไม่เป็นธรรม คุณไม่จำเป็นต้องพูด พ่อก็จะเอาคืนให้คุณ เพียงแต่ตอนนี้สถานการณ์ยังไม่ชัดเจน ถ้าทางด้านตระกูลเฟิงนั้นไม่สนใจ ยังคงจะซื้อหุ้นอยู่ พ่อก็จะสนับสนุนคุณ”
มู่เฉาเกอได้ยิน ก็โกรธ
ชัดเจนว่า เมื่อกี้ที่เธอพูดไปมากมายขนาดนั้น พ่อไม่ได้ฟังเลย
เธอโกรธ แต่หลังจากที่โกรธ ก็อดไม่ได้ที่จะสงบสติอารมณ์ลงมา
ที่จริงสิ่งที่พ่อพูดมันถูกแล้ว
จริงๆเฟิงจิ่งเหยาไม่ใช่ว่าจะจัดการง่ายๆ มิเช่นนั้นหลายปีที่ผ่านมา มีหลายคนที่ต้องการจะหาประโยชน์จากเฟิงซื่อกรุ๊ป สุดท้ายก็ถูกเฟิงจิ่งเหยาจัดการ
“ฉันทราบแล้ว ฉันแล้วแต่พ่อเลย”
พ่อมู่เห็นว่าในที่สุดเธอก็เข้าใจเจตนาของตนเอง ก็โล่งใจ แล้วพูดคุยกับเธอเกี่ยวกับเรื่องอื่นๆในบริษัท
สองวันต่อมา ตระกูลมู่ก็เงียบสงบ
คนไม่น้อยที่แสดงความคิดเห็นคาดเดาบนอินเตอร์เน็ต
“ตระกูลมู่ยอมแพ้แล้วหรอ?”
“ไม่รู้สิ สองวันมานี้ไม่เห็นการดำเนินการของตระกูลมู่ในตลาดหุ้นเลย เป็นไปได้ไหมว่าพวกเขาจะมีเงินทุนไม่เพียงพอ?”
“ฉันว่า มู่ซื่อกรุ๊ปน่าจะสังเกตการณ์อยู่”
บนอินเตอร์เน็ตต่างคาดเดา แต่ตระกูลมู่ก็ไม่ได้ให้ความกระจ่างใดๆ
ตระกูลเฉินทางด้านนั้นรู้ข่าว ก็ไปหามู่เฉาเกอที่มู่ซื่อกรุ๊ปทันที
ถึงอย่างไรตอนนี้พวกเขาก็เป็นพวกเดียวกัน
“เฉาเกอ”
เฉินยู่ชิงมองข้ามเลขา เดินตรงเข้ามาที่ห้องทำงานของมู่เฉาเกอเลย
“คุณมาได้ยังไง?”
มูเฉาเกอเห็นเขา ขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วถาม
“ทำไม? ฉันไม่สามารถมาได้หรอ?”
เดิมทีเฉินยู่ชิงอยากจะถามเรื่องของเซนต์เดโบ แต่เห็นการกีดกันในสายตาของมู่เฉาเกออย่างชัดเจน เลิกคิ้วอย่างไม่พอใจ
มู่เฉาเกอสังเกตเห็นความไม่พอใจของเขา ก็รู้ว่าท่าทีของตนไม่ถูกต้อง กำลังคิดจะอธิบาย
แต่ยังไม่ทันได้พูด ก็ถูกเฉินยู่ชิงแย่งพูดไปก่อน
“เฉาเกอ ฉันรู้ว่าในใจคุณยังคงนึกถึงตระกูลเฟิงนั่น ฉันจะใจกว้างให้เวลาคุณปรับตัวก็ได้ แต่การปรับตัวนี้มีระยะเวลากำหนด ฉันหวังว่าคุณจะไม่ทำให้ฉันลำบากใจ ถึงอย่างไรตอนนี้ฉันเป็นคู่หมั้นของคุณแล้ว
เขามองมู่เฉาเกอด้วยแววตาลึกซึ้ง ในทุกคำทุกประโยค
มู่เฉาเกอรู้ว่าผู้ชายคนนี้เตือนสติเธออยู่ ถึงแม้ในใจจะไม่สบายใจ แต่ก็ไม่อยากคุยต่อหัวข้อนี้
“ขอบคุณคุณชายเฉินที่เตือนสติฉันฉันจะปรับปรุงตัว ไม่ทราบว่าที่คุณชายเฉินมาครั้งนี้มีเรื่องอะไร?”
เฉินยู่ชิงได้ฟังเธอพูดว่าคุณชายเฉิน ก็รู้ว่าคำพูดของเขาเมื่อกี้นี้ทำให้มู่เฉาเกอรำคาญ เพียงแต่เขาก็ไม่ได้สนใจ
ท้ายที่สุดความรำคาญชั่วคราว จะดีกว่าที่ผู้หญิงของตนเองไปคิดถึงชายคนอื่น
“ที่มาวันนี้ เพราะอยากจะถาม แผนการก่อนหน้านี้ของเราต้องยุติลงไหม? ฉันเห็นว่าตระกูลมู่ของพวกคุณสองวันมานี้ไม่มีการเคลื่อนไหว คุณก็ไม่ได้แจ้งให้ฉันทราบ”
มู่เฉาเกอได้ยิน ก็รู้วัตถุประสงค์ในการมา เลยพูดขอโทษ : “ขอโทษด้วย ลืมแจ้งคุณให้ทราบ แผนการไม่เปลี่ยนแปลง เพียงแต่พ่อฉันอยากสังเกตการณ์สักสองสามวัน ถึงอย่างไรตอนนี้จะโก่งราคาเฟิงจิ่งเหยาอีก เงินลงทุนจำนวนไม่น้อย พ่อฉันกังวลว่าจะตกหลุมพรางของเฟิงจิ่งเหยา
เฉินยู่ชิงได้ฟังคำนี้ เหมือนคิดอะไรอยู่
เขาพิจารณาแล้ว นี่ก็ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้
ความเป็นจริงแล้ว เฟิงจิ่งเหยาจะมีเล่นเกมส์หรือไม่ ก็มีเพียงตัวเขาเองที่รับรู้
แม้แต่ชวี่ยี่คนสนิทของเขาก็คาดเดาไม่ได้
เขาเห็นตระกูลมู่และตระกูลเฉินช่วงสองวันนี้ไม่มีการเคลื่อนไหว หลังจากรายงานเสร็จ ก็ไม่ได้ที่จะกล่าวถาม: “ท่านประธาน ทั้งสองตระกูลไม่มีการเคลื่อนไหว พวกเราต้องยกเลิกแผนไหม ทางด้านเซนต์เดโบทุ่มทุนอย่างมหาศาล ขืนทำต่อไป เกรงว่าทางด้านของบริษัทตะหมุนเงินไม่ได้”
เฟิงจิ่งเหยาเหลือบตามองเขา ส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า: “ยังไม่ใช่เวลา ทุกอย่างยังเหมือนเดิม”
ชวี่ยี่ฟังถึงคำพูดนี้ ก็งุนงงอย่างมาก แต่ก็ไม่ได้ถามมาก ทำตามคำสั่งของเฟิงจิ่งเหยาต่อไป
หลายวันต่อมา ทุกอย่างดูเหมือนสงบอย่างมาก
หุ้นที่กำลังกระจัดกระจายของบริษัทเซนต์เดโบก็ถูกซื้อโดยเฟิงซื่อกรุ๊ปเกือบหมด เกือบจะรักษาระดับได้เท่ากันกับตระกูลมู่
เดิมทีมู่เฉาเกอก็ยังดูอยู่อย่างสงบ แต่ทันทีที่รู้ว่าเฟิงจิ่งเหยากำลังจะเกินความสามารถของพวกเขา ก็นั่งไม่ติด ไปหาพ่อมู่ใหม่อีกครั้ง
“พ่อ นี่ก็ผ่านมาหลายวันแล้ว ทางด้านตระกูลเฟิงไม่มีความเคลื่อนไหวที่ผิดปกติใดๆ พวกเราควรจะลงมือแล้ว ไม่เช่นนั้นการทุ่มทุนก่อนหน้านี้จะเป็นการเสียเปล่า”
พ่อมู่ไตร่ตรองอยู่ชั่วขณะ ในที่สุดก็เห็นด้วย
บ่ายวันเดียวกัน มู่ซื่อกรุ๊ปก็ลงมืออีกครั้งหนึ่ง รับซื้อในราคาที่สูงขึ้น ราคาหุ้นที่เดิมทีหุ้นละสามสิบหยวนเก็งกำไรไปถึงสี่สิบหยวนอีกครั้ง
“นักลงทุนที่ยังคงเฝ้าสังเกตการณ์เปลี่ยนแปลงอยู่ ก็คิดว่านี่น่าจะเป็นการดวลสุดท้ายของทั้งสองตระกูลแล้ว จึงขายลดราคาหุ้นที่อยู่ในมือโดยตรง
ตลาดหุ้นจึงผันผวนขึ้นมาอีกครั้ง
ชวี่ยี่ได้รับข่าว ก็รีบไปรายงานเฟิงจิ่งเหยา
“ท่านประธาน ทางด้านมู่ซื่อกรุ๊ปเก็งราคาหุ้นขึ้นมาอีกแล้วครับ นักลงทุนเหล่านั้นทึ่ไม่ยอมขายลดราคา ล้วนนำหุ้นมาลดราคาให้ทางด้านมู่ซื่อ พวกเราต้องเพิ่มราคาต่อไปไหมครับ?”
เฟิงจิ่งเหยาได้ฟังข่าวนี้ ก็ยิ้มมุมปากอย่างแปลกประหลาด
“ไม่ต้องแล้ว ทำหุ้นในมือของพวกเราแบ่งล็อตแล้วลดราคาลงตามลำดับ จำไว้ว่า ต้องโก่งราคา ให้ทางด้านตระกูลมู่เอากลับไปในราคาที่สูง”
ชวี่ยี่ตกตะลึง ยังคิดว่าตนเองฟังผิด จึงกล่าวถามใหม่อีกครั้ง: “ท่านประธาน เมื่อกี้คุณพูดว่าอะไรนะ?”
เฟิงจิ่งเหยาชำเลืองมอง เขารู้ว่าใครก็ยากที่จะเชื่อ ก็เลยพูดอีกครั้งอย่างไม่ใส่ใจ
“ฉันบอกว่า ให้คุณนำหุ้นที่กุมอยู่ในมือของพวกเรามาขาย”
ชวี่ยี่ฟังถึงคำพูดนี้อีกครั้ง ก็สามารถแน่ใจได้ว่าตนเองฟังไม่ผิดจริงๆ
ก็เพราะแบบนี้ เขาก็ยิ่งงุนงง
หุ้นเหล่านี้ยากที่พวกเขาจะรับซื้อมา แต่ตอนนี้ต้องการที่จะขายทิ้ง เขารู้สึกว่าเขามองท่านประธานไม่ออกเลย
“ขายทิ้งหุ้นเหล่านี้ พวกเราก็ไม่มีอำนาจต่อเซนต์เดโบเลยนะ”
เขาอดไม่ได้ที่จะกล่าวเตือนสติ
เฟิงจิ่งเหยารู้ว่าเขาคิดอะไร เลยบ่งชี้แผนการของตนเองอย่างตรงไปตรงมาสักเล็กน้อย
“ตั้งแต่ต้น ฉันก็ไม่เคยคิดที่จะรับซื้อบริษัทนี้อยู่แล้ว”
เขาพูดคร่าวๆประโยคหนึ่ง ทำให้ชวี่ยี่เข้าใจขึ้นมาทันที ขณะเดียวกันก็ยิ่งเพิ่มความงุนงง
ถ้าท่สนประธานเขาไม่แคยคิดที่จะรับซื้อ แล้วเหตุใดจึงต้องทุ่มทุนมหาศาลเพื่อควบคุมด้วย
อีกอย่างอนาคตของบริษัทเซนต์เดโบนี้ก็ไม่เลว มูลค่าตลาดก็มากเช่นกัน ถ้ารับซื้อกลับมา ก็สามารถทำให้สถานการณ์เฟิงซื่อกรุ๊ปที่ถูกโจมตีในขณะนี้เปลี่ยนแปลงได้
แต่ทว่าเขาก็งุนงงอยู่ในใจอย่างต่อเนื่อง เฟิงจิ่งเหยาก็ไม่ได้ให้โอกาสไขข้อสงสัยให้เขาอีก
เขาจัดการเรื่องราวให้ชวี่ยี่อย่างต่อเนื่อง แล้วลุกขึ้นออกจากบริษัทไป
ชวี่ยี่เห็นเขาจากไป ถึงแม้จะเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ แต่ก็ยังหันไปทำเรื่องที่สั่งไว้เมื่อกี้
ในคืนนั้น เฟิงจิ่งเหยากลับไป เดิมทีก็อยากจะรับประทานอาหารด้วยกันกับกู้ฉางฉิง แต่เพราะความผิดปกติของตระกูลมู่สองวันนี้ ผู้อาวุโสตระกูลเฟิงก็ไม่ค่อยสบายใจ จึงให้พ่อบ้านแจ้งให้คนทั้งสองไปรับประทานอาหารที่บ้านใหญ่
กู้ฉางฉิงแต่งตัวดีแล้ว ก็ตามเฟิงจิ่งเหยาไปบ้านใหญ่
คุณนายเฟิงเห็นคนทั้งสองจูงมือกันเข้ามา ก็รู้สึกขัดตาทุกอย่างกับกู้ฉางฉิง