เจี่ยนอี๋นั่วเม้มริมฝีปากแน่น และอดไม่ได้ที่จะหันกลับไปถลึงตาใส่เหลิ่งหมิงอัน แต่ทว่าเหลิ่งเซ่าถิงได้ดึงมือของเธอเอาไว้เสียก่อน และได้ห้ามพฤติกรรมของเธอเอาไว้ ใบหน้าของเหลิ่งเซ่าถิงยังคงแฝงไปด้วยรอยบางๆ แต่ฝ่ามือที่เย็นเล็กน้อย และออกแรงนิดหน่อย ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วสงบลงได้ในชั่วพริบตา
ใช่แล้ว ตอนนี้ถ้าตอบโต้อะไรเหลิ่งหมิงอันไป ก็จะไม่ดีกับเจี่ยนอี๋นั่ว ต่อหน้าผู้คน เธอกับน้องชายของสามีส่งสายตากันไปมา แบบนี้แล้วเธอจะยังยืนหยัดในตระกูลเหลิ่งได้อย่างไร ถ้าไม่สามารถยืนหยัดในตระกูลเหลิ่งแล้ว จะไปช่วยตระกูลเจี่ยนได้อย่างไร?
ดังนั้นถึงแม้จะเห็นได้ว่าเหลิ่งหมิงอันมองมาทางเธอตลอดเวลา เจี่ยนอี๋นั่วก็ยังคงพยายามที่จะไม่สนใจสายตาที่แสนเย็นชาของเหลิ่งหมิงอัน มองเพียงแต่เหลิ่งเซ่าถิงเท่านั้น พยายามที่จะทำเหมือนว่าในสายตามีแต่สามีของภรรยา
งานเลี้ยงในค่ำคืนนี้ราวกับว่าเป็นสนามรบ คนในตระกูลเหลิ่งทยอยเข้ามาลองหยั่งเชิงเหลิ่งเซ่าถิงกันอย่างต่อเนื่อง แต่เหลิ่งเซ่าถิงก็แสดงออกมาได้ดีมากๆ ราวกับว่าเค้าไม่เคยได้รับอุบัติเหตุทางรถ แล้วกลายเป็นเจ้าชายนิทรามาก่อน เขาเกือบจะรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นมาในระยะหนึ่งปีนี้ได้ทั้งหมด ตั้งแต่เรื่องเปลี่ยนแปลงทางการเมือง จนกระทั้งเรื่องอื้อฉาวของดารา เขาก็เข้าใจดีทั้งหมด การดำเนินการของเครือค่ายของตระกูลเหลิ่งและการเปลี่ยนแปลงของบุคลากร เขาก็คุ้นเคยเป็นอย่างดี ราวกับว่าเขาแค่ออกไปเทียวไม่กี่วัน และเพิ่งกลับมาที่ตระกูลเหลิ่งก็เท่านั้นเอง
ตอนนี้เองที่เจี่ยนอี๋นั่วเพิ่งได้รู้ว่าเหลิ่งเซ่าถิงได้ดูข้อมูลจากโน้ตบุ้ค เพียงแต่เธอนั้นรู้สึกตะลึงกับความจำอันทรงพลังของเหลิ่งเซ่าถิง แต่ว่าเวลาสั้นๆแค่วันเดียว เหลิ่งเซ่าถิงที่เพิ่งจะฟื้นก็สามารถจำข้อมูลและความเป็นไปของบริษัทตลอดหนึ่งปีได้อย่างชัดเจนและไม่มีข้อบกพน่องใดๆ เจี่ยนอี๋นั่วเริ่มจะเข้าใจแล้วว่าทำไมเหลิ่งเซ่าถิงถึงดูถูกเธอ ถ้าเทียบกับเหลิ่งเซ่าถิงแล้ว ความขยันและควาสามารถของเธอนั้นยังคงห่างจากเขาอีกเยอะ
เมื่องานเลี้ยงจบลง ผู้คนที่เห็นเหลิ่งเซ่าถิงฟื้นตัวเป็นแกติแล้วนั้น ต่างก็ครุ่นคิดอยู่ในใจและแยกย้ายกันไป เหลิ่งถึงแม้ว่าเซ่าถิงและเหลิ่งเฉิงอวี๋จะมีความคิดที่แตกต่างกัน แต่ต่างก็ลุกขึ้นพร้อมรอยยิ้ม และเดินไปส่งแขก
คุณนายเหลิ่งที่เพิ่งจะลุกขึ้นอย่างช้าๆ ก็หันไปมองเจียนอี๋นั่ว:“อี๋นั่วไปที่ห้องของฉัน ฉันมีเนื่องที่อยากจะคุยด้วย”
เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วเล้กน้อย และเดินตามคุณนายเหลิ่งเข้าห้องไป
เพียงแค่เดินเข้ามาในห้องคุณนายเหลิ่ง เจี่ยนอี๋นั่วก็รีบอธิบายขึ้นทันที:“ฉันเคยเจอเหลิ่งหมิงอันแค่ครั้งเดียวจริงๆนะคะ วันนี้ตอนบ่ายเงินของฉันตกลงไปในท่อระบายน้ำและเขาก็เป็นคนเก็บมันขึ้นมาให้ฉัน ท่าทางเขาด฿เหมือนคนจรจัด มีแค่นี้จริงๆนะคะ! ”
คืนนี้สายตาของเหลิ่งหมิงอันมองดูเธออย่างเปิดเผย เจี่ยนอี๋นั่วรู้ว่าคุณนายเหลิ่งและเหลิ่งเซ่าถิงนั้นต้องเห็นอย่างแน่นอน ยิ่งถูกคุณนายเหลิ่งซักถามแบบนี้แล้ว สู้เธอเป็นคนบอกก่อนยังจะดีกว่า และจริงแล้วก่อนหน้านี้เธอกับเหลิ่งหมิงอันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันอยู่แล้ว เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าไม่มีอะไรต้องปิดบัง
คุณนายเหลิ่งที่ได้ยินเจี่ยนอี๋นั่วพูดนั้น กลับหัวเราะออกมา:“เธอคิดว่าที่ฉันเรียกเธอมา เพื่อที่จะถามเรื่องความสัมพันธ์ของเธอกับเหลิ่งหมิงอันงั้นหรอ?”
ก่อนหน้านี้เจี่ยวอี๋นั่วคิดว่าเป็นแบบนั้น แต่หลังจากที่ได้ยินคุณนายเหลิ่งถามขึ้นมาแบบนั้นแล้ว ก็กลับไม่มั่นใจแล้ว เธอขมวดคิ้วเล็กน้อย และมองไปที่คุณนายเหลิ่งอย่างสงสัย จากนั้นก็พยักหน้าเบาๆ
คุณนายเหลิ่งหัวเราะพรางพูดขึ้นว่า:“ก่อนที่เธอจะเข้ามาในตระกูล ก็ได้ทำการตรวจสอบเธอมาก่อนแล้ว ถ้าหากเธอเกี่ยวข้องอะไรกับเหลิ่งหมิงอันจริๆ ฉันคงไม่ให้เธอมีลูกกับเหลิ่งเซ่าถิงหรอก เหลิ่งหมิงอันเป็นคนเจ้าชู้ ถ้าเขาจะรู้สึกประหลาดใจและก็รู้สึกดีกับเธอ ฉันก็คงไม่แปลกใจ เธอฉลาดมาก ฉันเชื่อว่าเธอรู้ขอบเขตดี เธอคงจะเข้าใจดีว่าควรรักษาระยะห่างกับเหลิ่งหมิงอันยังไง ที่ฉันเรียกเธอมา ก็เพระาได้ยินมาว่าวันนี้เธอตากฝน แถมยังนั่งรถประจำทางมาอีก เธอลืมไปแล้วหรือไงว่าเธอคือคนท้อง?”
เจี่ยนอี๋นั่วกลับไม่ได้รู้สึกแปลกใจที่คุณนายหลิ่งจะรู้เรื่องพวกนี้ บอดี้การ์ดและคนรับใช้ของตระกูลเหลิ่งคงไม่เก็บเป็นความลับให้เธออย่างแน่นอน
เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าเล็กน้อย:“วันนี้ตอนบ่าย ฉันลืมหยิบร่มไปน่ะค่ะ และฉันก็ไม่มีเงินเติมน้ำมัน แล้วก็ก็ไม่มีเงินนั่งรถแท็กซี่ด้วย…….ฉัน…..”
“เธอโทรเรียกใช้รถของตระกูลเหลิ่งได้ เธอควรที่จะใช้ของของตระกูลเหลิ่งให้คุ้นชิน แน่นอนว่าเป็นของที่อยู่ในอำนาจและขอบเขตของเธอ” เมื่อคุณนายเหลิ่งหัวเราะและพูดถึงตรงนี้ เธอก็หันไปหยิบเงินจำนวนหนึ่งที่ตู้หนังสือ แล้วยื่นให้ในมือของเจี่ยนอี๋นั่ว
เจี่ยนอี๋นั่วที่เห็นเงินเยอะขนาดนั้น ก็รีบถามขึ้นว่า:“คุณท่านนี่คือจะทำอะไรคะ?”
คุณนายเหลิ่งหัวเราะพรางพูดขึ้นว่า:“นี่เป็นเงินค่าขนมของทุกคนในตระกูลเหลิ่ง อย่างเธอ เดือนนึงก็สามหมื่นหยวน เงินของเดือนนี้ ฉันให้เธอก่อน เดือนถัดไป จะมีคนรับใช้เอาไปให้ที่ห้องของเธอกับเหลิ่งเซ่าถิง”
“แต่ คุณนายเหลิ่ง ฉันไม่ได้……”เจี่ยนอี๋นั่วอยากที่จะพูดว่าเธอยังไม่ใช่ภรรยาอย่างจริงๆจังของเหลิ่งเซ่าถิงสักหน่อย
คุณนายเหลิ่งรีบส่ายหน้าพรางหัวเราะและตัดบทของเจี่ยนอี๋นั่วทันที จากนั้นก้พูดขึ้นด้วยเสียงเบาๆว่า:“ไม่ เธอเป็น ตอนนี้เธอเป็นภรรยาของเหลิ่งเซ่าถิง เมื่อไหร่ที่เธอไปจากตระกูลเหลิ่งแล้ว และไม่มีพันธะอะไรกับตระกูลเหลิ่งอีก ถึงตอนนั้นแล้วค่อยปฏิเสธเงินก้อนนี้ แต่ฉันหวังว่าเรื่องแบบนี้จะไม่มีวันเกิดขึ้น นี่เป็นแค่เงินค่าขนม เพียงแค่เธอได้กลายเป็ฯสัญลักษณ์หนึ่งของตระกูลเหลิ่งแล้ว”
เจี่ยนอี๋นั่วก้มหน้าลงเล็กน้อย และกำเงินก้อนโตเอาไว้แน่น พรางกัดริมฝีปาก อดไม่ได้ที่จะน้ำตาคลอ ตอนนี้เธอต้องการเงินจริงๆ ไม่เพียงแต่เงินที่ตระกูลเหลิ่งมอบให้เพื่อช่วยเหลือบริษัท และยังเป็นเงินที่ต้องเลี้ยงดูทั้งตระกูลเจี่ยน เธอต้องการทั้งหมด วันที่ยากลำบากและน่าอับอาย ทำให้เธอรู้สึกราวกับว่าตัวเองนั้นเปลือยเปล่าและวิ่งล่อนจ้อนไปทั่วท้องถนนในทุกๆวัน เธอไม่รู้สึกถึงความปลอดภัยเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่คนอื่นมองมาที่เธอ ก็เห็นถึงความอึดอัดใจของเธอ
เจี่ยนอี๋นั่วพูดเสียงเบาว่า:“คุณนาย…..เอ่อ ไม่สิ่ คุณย่า ขอบคุณนะคะ ”
คุณนายเหลิ่งหัวเราะพรางพยักหน้า:“ฉันก็ขอบคุณเธอนะ กลับไปพักผ่อนเถอะ คราวหลังต้องอย่าลืมนะว่าเธอน่ะเป็นคนท้อง ไม่ว่าจะอะไรลูกก็ต้องมาก่อน ได้ชิงคลอดลูกให้เซ่าถิงได้ก่อนเหลิ่งหมิงอัน ก็ถือว่าเธอได้ช่วยเซ่าถิงเหมือนกัน”
“งั้นฝันดีนะคะคุณย่า” เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้า จึงจะเดินออกจากห้องของคุณนายเหลิ่ง
เมื่อเดินออกจากห้องของคุณนายเหลิ่งได้ไม่นาน เจี่ยนอี๋นั่วก็เห็ฯเหลิ่งหมิงอันที่ยืนพิงราวบันได ด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่เป็นมิตร เจี่ยนอี๋นั่วก้มหัวให้เหลิ่งหมิงอันเล็กน้อย ก่อนจะเดินผ่านเหลิ่งหมิงอันไป
เหลิ่งหมิงอันใช้มือข้างหนึ่งดึงข้อมือของเจี่ยนอี๋นั่วเอาไว้ และใช้นิ้วของมืออีกข้างชี้ตรงที่ตาของตัวเอง:“พี่สะใภ้จะรีบเดินอะไรขนาดนั้น?ไม่ห่วงตาของผมหน่อยหรอ?อีกนิดเดียวตาของผมก็เกือบจะบอดแล้วนะ”
เจี่ยนอี๋นั่วใช้แรงสะบัดมือของเหลิ่งหมิงอันออก แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า:“ช่วยระวังคำพูดของตัวเองด้วย
ในเมื่อเรียกฉันว่าพี่สะไภ้ ก็ควรจะเคารพฉันบ้าง อย่ามายุ่มย่ามกับฉัน ”
“ยุ่มย่าม?วันนี้ฉันยังจูบเธออยู่เลย” เหลิ่งหมิงอันไม่เพียงแต่จะไม่ถอย แต่ยังเดินเข้าไปใกล้เจี่ยนอี๋นั่วอีกหนึ่งก้าว และพูดด้วยเสียงที่เบาจนเจี่ยนอี๋นั่วกับเขาได้ยินกันแค่สองคนว่า:“จริงๆล้ว ฉันชอบที่เธอดุดุดันในวันนี้มากกว่าตอนที่เธอต้อนรับแขกพวกนั้นด้วยรอยยิ้มที่เสแสร้งกว่าอีก ท่าทางที่ดุดันของเธอน่ารักกว่าตั้งเยอะ ”
เจี่ยนอี๋นั่วหรี่ตามองเหลิ่งหมิงอัน ก่อนจะหัวเราะออกมา:“ฉันว่าการแต่งตัวแบบคนจรจัดเหมาะกับนายมากกว่า
คนที่ไม่รู้ขอบเขต ไม่รู้จักเคารพคนอื่นอย่างนาย สวมเสื้อผ้าแบบนี้ ช่างเปลืองวัตถุดิบดีๆจริงๆเลย”
เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบเธอก็เหล่มองเหลิ่งหมิงอันอย่างเย็นชายเล็กน้อย ก่อนจะเดินจากเหลิ่งหมิงอันไป
เหลิ่งหมิงอันไม่ได้ยื่นมือมาขวางเจี่ยนอี๋นั่วอีก เขาเพียงแต่เอียงศีรษะเล็กน้อย และหัวเราะพรางพูดตามหลังเจี่ยนอี๋นั่วว่า:“เฮ่ เก่งเหมือนกันนี่ ฉันหวังดีกับเธอนะ ถึงแม้เธออยากจะเป็นคุณนายของตระกูลเหลิ่งทั้งใจ แต่ว่าในใจของเขาไม่เคยมีเธออยู่เลยนะ เธอจะเป็นคุณนายไปได้อีกนานแค่ไหน?ในใจของเขามีผู้หญิงอยู่คนหนึ่ง คือหลิวจื่อซิง ในใจของพี่ใหญ่น่ะไม่มีใครอยู่สูงกว่าผู้หญิงคนนี้อีกแล้ว”
หลิวจื่อซิง?ผู้หญิงที่เหลิ่งเซ่าถิงเคยชอบคือหลิวจื่อซิง?
ย่างก้าวของเจี่ยนอี๋นั่วค่อยๆช้าลง แต่เธอก็ไม่ได้หันกลับไป และก้าวเดินต่อไป เดิมทีเธอก็ไม่สนใจอยู่แล้วว่าในใจของเหลิ่งเซ่าถิงจะมีผู้หญิงคนไหน และเธอก็ไม่ได้อยากที่จะเข้าไปอยู่ในใจของเหลิ่งเซ่าถิงอยู่แล้ว เธอแค่เพียงต้องการเงินช่วยเหลือจากตระกูลเหลิ่งก็เท่านั้น และเรื่องอื่นๆเธอก็ไม่เคยที่จะไปคิดอะไรอยู่แล้ว
เหลิ่งหมิงอันมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่วโดยที่ไม่หันหลังไปเช่นกัน และค่อยๆหัวเราะขึ้น พรางพูดขึ้นด้วยเสียงทุ้มว่า:“ดูเหมือนว่าครั้งนี้ต้องอยู่บ้านให้นานขึ้นสักหน่อยแล้ว คาดไม่ถึงเลยว่าคนที่น่าสนุกขนาดนี้ในที่สุดจะมาถึงตระกูลเหลิ่งจนได้ น่าเสียดายจริงๆ”
เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วกลับมาถึงห้องของตัวเองนั้น ก็พบว่าเหลิ่งเซ่าถิงได้อยู่ในห้องเรียบร้อยแล้ว เธอลังเลอยู่เล็กน้อย จึงจะก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว และพูดขึ้นด้วยเสียงเบาๆว่า:“วันนี้ฉันแสดงออกไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ขอโทษด้วย”
เจี่ยนอี๋นั่วรู้ว่าการแสดงออกของเธอในวันนี้แย่มาก และเธอไม่สามารถสร้างความพึงพอใจให้กับผู้คนได้เลย เหลิ่งเซ่าถิงปลดกระดุมพราง หันศีรษะไปทางอี๋นั่วเล็กน้อย พรางพูดขึ้นว่า:“เธอก็รู้นิ่ว่าทำได้ไม่ดีพอ?”
เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าเล็กน้อย:“ฉันแสดงออกได้ลนลานเกินไป แถมระหว่างเหลิ่งหมิงอัน อาจจะทำให้คนอื่นเข้าใจผิดอีก”
เหลิ่งเซ่าถิงกวาดสายตาไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว:“เธอรู้ตัวก็ดีแล้ว คราวหลังห้ามทำผิดพลาดแบบนี้อีก เข้านอนเถอะ”
“หืม?”เจี่ยนอี๋นั่วเงยหน้าขึ้นมองเหลิ่งเซ่าถิง
เจี่ยนอี๋นั่วเห็นว่าเหลิ่งเซ่าถิงได้หยิบชุดนอนออกมาจากตู้เสื้อผ้า และเริ่มถอดเสื้อเชิ้ตออก เผยให้เห็นร่างกายท่อนบนของเขา หลับใหลไปตั้งหนึ่งปี เหลิ่งเซ่าถิงยังคงมีกล้ามเนื้อที่สวยงามขนาดนีี้ เจี่ยนอี๋นั่วรีบหันหลังไปในทันที และอดไม่ได้ที่จะหน้าแดง จู่ๆเธอก็นึกถึงตอนที่เธอไม่ได้สมเสื้อผ้าต่อหน้าเหลิ่งเซ่าถิง เพียงแค่นึกถึงตอนนั้น เจี่ยนอี๋นั่วก็หน้าแดงมากขึ้นไปอีก
เหลิ่งเซ่าถิงสวมชุดนอนสีดำทั้งตัวและเดินมาทางเจี่ยนอี่นั่ว และพูดกับเจี่ยนอี๋นั่วด้ยเสียงทุ้มๆว่า:“ดึกมากแล้ว
เธอยังมีเวาอีกสิบห้านาทีในการเปลี่ยนชุด เช็ดเครื่องสำอาง อย่าทำให้ฉันเสียเวลาในการพักผ่อน ฉันเพิ่งจะฟื้นตัวขึ้นมาเอง ต้องการพักผ่อนให้เพียงพอ”
เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วได้ยินเหลิ่งเซ่าถิงพูด เธอก็รีบพุ่งตัวเข้าไปในห้องน้ำทันที และเริ่มเปลี่ยนเสื้อผ้า เช็ดเครื่องสำอาง ล้างหน้า และแปลงฟัน เมื่อเธอล้มตัวลงนอนบนเตียง เหลิ่งเซ่าถิงก็ดับไฟตรงหัวเตียงพอดี ในความมืดนั้น เจี่ยนอี๋นั่วก็ค่อยๆขยับตัวช้าๆ เมื่อกี้เธอไม่ได้คิดอะไรมาก แต่ตอนนี้เพิ่งจะรู้สึกขึ้นมาได้
ตอนนี้เธอได้นอนเตียงเดียวกับเหลิ่งเซ่าถิงแล้วจริงๆ และก็ไม่ใช่เจ้าชายนิทราที่มีใบหน้าหล่อเหลา แต่เป็นเหลิ่งเซ่าถิงตัวเป็นๆที่แสนเย็นชาและเย่อหยิ่ง ที่พูดถากถาง พูดแดกดัน และยังขยันตั้งใจมากๆแถมยังวางแผนกลอุบายได้อีก และในไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ก็เพิ่งจะเห็นเธอที่ไม่ได้สวมใส่เสื้อผ้าอีกต่างหาก มันทำให้เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกแปลกๆ
“ถ้าถอยอีกจะตกเตียงแล้วนะ” เสียงเย็นชาของเซ่าถิงดังขึ้นท่ามกลางความมืด
เจี่ยนอี๋นั่วรีบขดตัวทันที ราวกับเป็นกระต่ายน้อยที่รู้สึกตกใจแล้วเริ่มทำเป็นแกล้งตาย และไม่กล้าที่จะขยับตัวแม้แต่น้อย