เจี่ยนอี๋นั่วมองเหลิ่งเซ่าถิงแล้วจู่ๆก็ยื่นมือออกไป กอดเขาเอาไว้ เหลิ่งเซ่าถิงก้มหน้ามองเจี่ยนอี๋นั่ว ขมวดคิ้วแล้วถาม:“คุณกำลังทำอะไรน่ะ?”
เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วแล้วส่ายหน้า:“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แค่รู้สึกว่าคุณเหมือนต้องการใครสักคนกอดคุณไว้ คุณไม่ต้องคิดมาก ฉันไม่มีทางชอบคุณหรอก แค่กอดเฉยๆเท่านั้น ตอนนี้ฉันมีเรื่องน่าปวดหัวเยอะมาก สิ่งที่สามารถให้คุณได้ก็คงมีแค่กอดนี่แหละ ถ้าคุณยังพูดมากอีก ฉันจะไม่กอดคุณแล้ว”
ประโยคสุดท้าย ไม่นับว่าเป็นการข่มขู่ ใครจะหวงกอดของเจี่ยนอี๋นั่วกันล่ะ? กอดของเธอจะไปสำคัญอะไร? จะไปใช้ข่มขู่คุณชายใหญ่ตระกูลเหลิ่งผู้สูงส่งอย่างเหลิ่งเซ่าถิงได้ยังไง?
แต่เหลิ่งเซ่าถิงกลับนิ่งอึ้งเล็กน้อย ก้มหน้ามองบนศีรษะของเจี่ยนอี๋นั่ว เขาไม่ได้ขยับแม้แต่นิด จู่ๆเขาก็นึกถึงช่วงหลังจากที่เขาได้ยินคุณย่ากับพ่อคุยกัน เขาก็ไปแอบข้างในตู้เสื้อผ้าด้วยท่าทางหวาดกลัว เขาแอบอยู่หนึ่งวันเต็มๆ ไม่มีใครรู้สึกได้ถึงการหายตัวไปของเขา
เขาถูกพบว่าอยู่ในตู้เสื้อผ้า พอเขาออกมาสิ่งที่เขาเผชิญหน้าเป็นอันดับแรกคือศพของพ่อตัวเอง แต่พี่ชายของเขานั้นยิ่งกว่า ถูกระเบิดจนเหลือแค่ร่างกายที่แยกออกมาเป็นชิ้นเล็กๆ เวลานั้น เขาไม่ใช่ของแทนที่พี่ชายอีกต่อไป ไม่ใช่อวัยวะที่ใช้ต่อชีวิตของพี่ชายอีกต่อไป เขาคือเหลิ่งเซ่าถิงหลานคนเดียวที่เกี่ยวข้องทางสายเลือดโดยตรงของตระกูลเหลิ่ง และพี่ชายของเขาก็ถูกกำจัดออกไปโดยสิ้นเชิง ตระกูลเหลิ่งไม่อยากให้ใครก็ตามรู้เรื่องที่ว่าตระกูลเหลิ่งเพื่อช่วยลูกหลานของตัวเองแล้ว สามารถทำได้แม้กระทั่งนำหัวใจของคนเป็นๆมาใช้งานแทน
ความจริงแล้วตอนที่ทำให้เหลิ่งเซ่าถิงรับรู้ถึงความโหดร้ายที่แท้จริงของตระกูลเหลิ่งนั้น ไม่ใช่เรื่องที่คุณย่ากับพ่อปรึกษากันว่าจะเปลี่ยนหัวใจเขาให้กับพี่ชาย แต่เป็นตอนที่พี่ชายของเขาถูกกำจัดอย่างสิ้นซาก ภาพความทรงจำในตอนนั้นมันสับสนวุ่นวายไปหมด ถึงขนาดชื่อของพี่ชายตัวเองเหลิ่งเซ่าถิงก็ยังลืม หลังจากนั้นตระกูลเหลิ่งก็ไม่ได้พูดถึงเด็กคนนี้ที่หายไปอีก ราวกับว่าแต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยมีตัวตนอยู่
มีแค่เหลิ่งเซ่าถิงที่บางครั้งก็ฝันถึง ตอนที่เขาอายุยังน้อยกำลังเล่นเครื่องบินกระดาษ แล้ววิ่งผ่านหน้าหน้าต่าง พี่ชายก็จะเปิดหน้าต่างออกด้วยสีหน้านิ่ง พูดกับเหลิ่งเซ่าถิงด้วยน้ำเสียงเย็นชา:“เซ่าถิง นายเสียงดังรบกวนมาถึงฉันแล้วนะ นายช่วยออกไปให้ห่างจากบริเวณห้องหนังสือของฉันด้วย”
พี่ชายของเขาทั้งซูบผอมและดูไร้เรี่ยวแรง แต่กลับได้รับการชื่นชมจากตระกูลเหลิ่ง เขาฉลาดมาก ส่วนเหลิ่งเซ่าถิงที่ถูกอบรมให้เป็นผู้สืบทอดต่อจากตระกูลเหลิ่งนั้นได้เกิดขึ้นในภายหลัง แต่พี่ชายของเขานั้นได้เป็นผู้สืบทอดตระกูลเหลิ่งตั้งแต่กำเนิด แต่ทว่าคนๆหนึ่งที่เคยได้รับการชื่นชมและการเอ็นดู ตอนที่ต้องกำจัดการมีตัวตนของเขาในตระกูลเหลิ่งนั้น กลับไม่เหลือเยื่อใยแม้แต่น้อย
เจี่ยนอี๋นั่วกอดเหลิ่งเซ่าถิงสักพัก ไม่ได้ยินเสียงที่เหลิ่งเซ่าถิงพูด แล้วเหลิ่งเซ่าถิงก็ดันเธอออก ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกถึงบรรยากาศที่อึดอัดค่อยๆคืบคลานมา เธอเคยชอบเหลิ่งเซ่าถิง เคยมีลูกกับเหลิ่งเซ่าถิง ตอนนี้ก็เป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของเหลิ่งเซ่าถิงอีก ตอนนี้รอบๆตัวเธอเงียบมาก เธอกอดเหลิ่งเซ่าถิงอย่างเหม่อลอย ดูยังไงก็ยังรู้สึกว่าประหลาด
แต่เจี่ยนอี๋นั่วก็ไม่รู้อีกว่าจะปล่อยเหลิ่งเซ่าถิงได้ยังไง ลังเลอยู่สักพัก เจี่ยนอี๋นั่วก็ถามขึ้นมา:“ทำไมคุณต้องบอกฉันเรื่องนี้ล่ะ?”
เหลิ่งเซ่าถิงยกมือขึ้น แล้วใช้นิ้วมือที่เรียวยาวผลักศีรษะของเจี่ยนอี๋นั่ว พูดกับเจี่ยนอี๋นั่วว่า:“เพราะกลัวว่าคุณจะถ่วงผมน่ะสิ คุณเชื่อคนง่ายจะตาย ไม่ว่าใครในตระกูลเหลิ่งก็ห้ามเชื่อ รวมถึงผมด้วย แล้วก็ห้ามเกิดความรู้สึกที่ไร้ประโยชน์พวกนั้นกับผม ผมคือผู้สืบทอดตระกูลเหลิ่ง ผมโชคดีกว่าใครหลายคน ความสงสารสำหรับผมแล้วมันเป็นการดูถูกประเภทหนึ่ง”
เหลิ่งเซ่าถิงพูดจบ ก็ยื่นมือผลักเจี่ยนอี๋นั่วออก เจี่ยนอี๋นั่วก็รีบปล่อยมือ ยืนอยู่ด้านนอกของห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วถามเสียงเบา:“งั้นต่อไปฉันต้องทำยังไง? ควรจะทำยังไงถึงจะไม่ถ่วงคุณ”
เหลิ่งเซ่าถิงมองไปยังเจี่ยนอี๋นั่ว:“กินข้าว ดูแลร่างกายให้ดี แล้วลงไปข้างล่างยอมรับผิดกับคุณย่าซะ หลังจากนั้น……”
เหลิ่งเซ่าถิงพูดถึงตรงนี้ ก็หันหน้ามาชำเลืองมองเจี่ยนอี๋นั่ว:“หลังจากนั้นคุณไม่อยากไปเจอผู้หญิงคนนั้นที่ทำร้ายคุณจนแท้งหน่อยเหรอ?”
“เฉิงซานซาน?” เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว:“ฉันอยากจะเจอเขาจริงๆ”
เหลิ่งเซ่าถิงติดกระดุมเม็ดสุดท้ายของชุดสูท แล้วพูดว่า:“ตอนนี้เขาถูกจับกุมตัวแล้ว นี่เป็นเรื่องเดียวและเรื่องสุดท้ายที่ผมทำเพื่อลูกของเราได้”
เหลิ่งเซ่าถิงพูดถึงตรงนี้ ก็ขมวดคิ้ว แล้วหันหน้ามามองเจี่ยนอี๋นั่ว ตอนที่เหลิ่งเซ่าถิงพูดว่า“ลูกของเรา” เหลิ่งเซ่าถิงและเจี่ยนอี๋นั่วต่างก็รู้สึกแปลกๆ ราวกับว่าพวกเขาทั้งสองคนได้ผูกมัดกันเพราะเรื่องของลูกที่เสียไป
เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว แล้วพยักหน้า ตอนนี้เธอต้องเรียกกำลังใจให้ตัวเองแล้ว จำเป็นต้องอาศัยอยู่ที่ตระกูลเหลิ่งสักพัก จัดการความสัมพันธ์กับผู้คุมอำนาจของตระกูลเหลิ่งให้ดี เพื่อให้ตระกูลเจี่ยนหลุดพ้นจากสถานการณ์ยากลำบาก ไม่ว่าเกียรติคุณของตระกูลเหลิ่งจะสกปรกแค่ไหน ต่างก็เป็นสิ่งที่เธอพูดถึงไม่ได้ และไม่อยากพูดถึง
ความสามารถของเจี่ยนอี๋นั่วนั้นไม่เยอะ ความปรารถนาก็เช่นกัน ก็แค่อยากจะปกป้องตระกูลเจี่ยนให้สุดความสามารถ หลังจากนั้นก็ดูแลพ่อของตัวเอง
เหลิ่งเซ่าถิงมองเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วเดินออกจากห้อง เจี่ยนอี๋นั่วยืนอยู่ที่เดิมสักพัก อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วอีกครั้ง จู่ๆเธอก็พบว่าเหลิ่งเซ่าถิงยังคงพูดไม่เข้าใจเหมือนเดิม ทำไมเขาต้องกอดเธอแล้วนอนด้วยกันกับเธอบนเตียง
หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วสงบสติลงแล้ว เธอก็ทำตามที่เหลิ่งเซ่าถิงได้กำชับไว้ เปลี่ยนเสื้อผ้า พอกินข้าวเช้าเสร็จก็ไปที่ห้องของคุณนายเหลิ่งเพื่อขอโทษ คุณนายเหลิ่งก็ไม่ได้โกรธเหมือนเช่นเมื่อวานแล้ว ถึงแม้จะไม่รู้ว่าจริงหรือปลอม แต่ก็เผยรอยยิ้มให้กับเจี่ยนอี๋นั่ว:“เช้าขนาดนี้ก็ตื่นแล้วเหรอ ไม่พักผ่อนสักหน่อยล่ะ”
“คุณย่าคะ หนูมาขอโทษคุณย่าค่ะ ที่เมื่อวานหนูเสียมารยาท” เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มแล้วพูด
คุณนายเหลิ่งรีบส่ายหน้า:“ทำไมพูดแบบนั้นล่ะ? ฉันต่างหากที่ไม่ได้ระวัง แต่ตอนนี้ดูๆไปแล้วก็เป็นตอนจบที่ดีนะ เธอสามารถอยู่ต่อที่ตระกูลเหลิ่งได้ ฉันก็ดีใจ ต่อไปก็บำรุงรักษาร่างกายให้ดีล่ะ ฉันรอเธอมีหลานให้ฉันอีกครั้งอยู่”
บนใบหน้าของเจี่ยนอี๋นั่วเผยรอยยิ้มที่ดูแข็งทื่อ อดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาด ก่อนหน้านี้ที่เธอมีลูกของเหลิ่งเซ่าถิงก็เพราะพึ่งฝีมือหมอในการตั้งท้อง ถ้าให้เธอมีลูกของเหลิ่งเซ่าถิงตอนนี้ล่ะก็ คงมีแต่ต้องให้เหลิ่งเซ่าถิง……
กับเหลิ่งเซ่าถิง?
เจี่ยนอี๋นั่วคิดแล้วรู้สึกว่าประหลาด แต่เธอคิดถึงคำพูดที่คุณนายเหลิ่งพูดก็แค่คำพูดตามมารยาท อีกอย่างเหลิ่งเซ่าถิงเกลียดเธอขนาดนั้น เขาไม่คิดจะแตะต้องตัวเธอด้วยซ้ำ
เจี่ยนอี๋นั่วกับคุณนายเหลิ่งกำลังรักษาอารมณ์สีหน้าและท่าทางอ่อนโยนอยู่ หลังจากนั้นคุณนายเหลิ่งก็บอกให้เธอออกไปได้ เจี่ยนอี๋นั่วก็ค่อยๆถอยออกมาจากห้องของคุณนายเหลิ่ง ก่อนที่จะได้ฟังเรื่องราวชีวิตของเหลิ่งเซ่าถิงนั้น เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกจริงๆว่าคุณนายเหลิ่งเป็นคุณนายที่เมตตาและอ่อนโยนคนหนึ่ง แต่พอได้ฟังเรื่องราวชีวิตของเหลิ่งเซ่าถิง แล้วเจี่ยนอี๋นั่วได้เจอกับคุณนายเหลิ่งอีกครั้ง เธอก็ระมัดระวังขึ้นมา
“คิดไม่ถึงจริงๆ คุณยังสามารถอยู่ที่ตระกูลเหลิ่งต่อได้” เหลิ่งหมิงอันมองเจี่ยนอี๋นั่ว พูดเสียงขรึม
เดิมทีใบหน้าที่หล่อเหลาของเหลิ่งหมิงอันมักจะมีรอยยิ้มที่ดูขี้โกงอยู่ตลอด ตอนนี้กลับดูมืดมนราวกับว่ามีเมฆดำปกคลุมอยู่ บริเวณคิ้วกับดวงตานั้นไม่มีความรู้สึก มีแต่ความชั่วร้ายที่โผล่ให้เห็น
เจี่ยนอี๋นั่วเหมือนว่าจะไม่ได้สังเกตสีหน้าที่เปลี่ยนไปของเหลิ่งหมิงอัน โค้งตัวให้กับเหลิ่งหมิงอันเล็กน้อย แล้วยิ้มให้:“ฉันควรเรียกคุณว่าน้องสามี?”
“ผมควรเรียกว่าคุณอะไร?” เหลิ่งหมิงอันขมวดคิ้วมองเจี่ยนอี๋นั่ว:“คุณหนูใหญ่เจี่ยนที่มองหน้าที่แท้จริงของผมออก หรือว่าพี่สะใภ้ที่ไม่รู้ว่าจะเป็นหรือตายถ้าอยู่ต่อที่ตระกูลเหลิ่ง?”
“ฉันชอบคำเรียกวรรคหน้า” เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มแล้วพูด
สีหน้าอึมครึมบนใบหน้าของเหลิ่งหมิงอันค่อยๆหายไป แล้วยิ้มอย่างอ่อนโยน:“เห้อ คิดไม่ถึงจริงๆว่าคุณยังสามารถอยู่ต่อที่ตระกูลเหลิ่งได้ อีกทั้งเป็นเพราะพี่ใหญ่ออกตัวให้คุณอยู่ต่อเองด้วย คุณนี่ก็มีฝีมือเหมือนกันนะ”
ก่อนหน้านี้ตอนที่เจี่ยนอี๋นั่วได้ยินเหลิ่งหมิงอันเรียกเหลิ่งเซ่าถิงว่า“พี่ใหญ่” ก็จะรู้สึกว่าเหลิ่งหมิงอันเคารพเหลิ่งเซ่าถิง แต่พอได้ยินเรื่องราวชีวิตของเหลิ่งเซ่าถิงที่เคยเล่า ก็พบว่าเหลิ่งหมิงอันเด็กที่เติบโตในตระกูลเหลิ่ง ทำไมถึงไม่รู้เรื่องที่ว่าเหลิ่งเซ่าถิงมีพี่ชายฝาแฝด คำที่เขาพูด“พี่ใหญ่” ยากที่จะเลี่ยงว่าไม่ใช่การตั้งใจเสียดสีเหลิ่งเซ่าถิง
ไม่รู้ว่าทำไม ตอนที่เจี่ยนอี๋นั่วสังเกตว่าเหลิ่งหมิงอันกำลังตั้งใจเสียดสีเหลิ่งเซ่าถิง อารมณ์ของเธอจู่ๆก็เปลี่ยนเป็นซวยขึ้นมา รู้สึกว่าเหลิ่งหมิงอันน่ารังเกียจขึ้นมาเล็กน้อย เธอไม่ชอบมากที่เหลิ่งหมิงอัน“รังแก”เหลิ่งเซ่าถิงแบบนี้
เจี่ยนอี๋นั่วพูดกับเหลิ่งหมิงอันเสียงเย็นชา:“ถ้าไม่มีเรื่องอะไรแล้ว งั้นฉันขอตัว”
เจี่ยนอี๋นั่วพูดแล้วเดินผ่านข้างๆเหลิ่งหมิงอันไป เหลิ่งหมิงอันยื่นมือไปจับมือของเจี่ยนอี๋นั่วไว้ กดเสียงเข้าใกล้ข้างหูของเจี่ยนอี๋นั่วแล้วพูดเสียงเบา:“คุณรู้ใบหน้าที่แท้จริงของผม ว่ากันตามหลักเค้าโครงละครทั่วไป คุณอยากถูกผมฆ่าปิดปากสินะ”
เจี่ยนอี๋นั่วสะบัดมือของเหลิ่งหมิงอันออก:“แต่ละคนในตระกูลเหลิ่งฉลาดกันทั้งนั้น ใบหน้าที่แท้จริงของคุณจะมีสักกี่คนที่ไม่รู้? พวกคุณต่างก็กำลังเล่นหมากกระดาน ทำไมต้องเสแสร้งแกล้งทำด้วยล่ะ?”
เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ ยิ้มแล้วเดินออกจากคฤหาสน์ตระกูลเหลิ่ง เหลิ่งหมิงอันมองแผ่นหลังของเจี่ยนอี๋นั่ว ส่ายหน้าอย่างช่วยไม่ได้ หัวเราะแล้วพูด:“เป็นผู้หญิงที่รับมือได้ยากจริงๆ ไม้อ่อนก็ไม่ได้ ไม้แข็งก็ไม่ได้ หรือว่าคุณนายเหลิ่งต้องการให้เธออยู่ต่อ? ถึงจะไม่ชอบเธอแล้ว ก็คงไม่ทนเธอ ไม่รู้เลยจริงๆว่าเธอชอบเหลิ่งเซ่าถิงได้ยังไง? ตกลงนี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
เหลิ่งหมิงอันพูดถึงตรงนี้ หรี่ตาลงแล้วพูดเสียงเย็นชา:“ไม่ว่าของอะไรก็ตามที่เหลิ่งเซ่าถิงมี ฉันจะไม่มีงั้นเหรอ? อยากเห็นวันนั้นจริงๆ วันที่เธอทิ้งเหลิ่งเซ่าถิงเพราะฉัน”
เหลิ่งหมิงอันพูดถึงตรงนี้ กดเสียงต่ำ แล้วหรี่ตาลง:“ถ้าเป็นแบบนั้น คงจะน่าสนุกแน่ๆ”
เจี่ยนอี๋นั่วเดินออกมาจากคฤหาสน์ตระกูลเหลิ่ง แล้วขึ้นนั่งรถพร้อมคนขับรถที่ตระกูลเหลิ่งได้จัดเตรียมไว้ให้เธอ ราวกับว่าทุกอย่างไม่ได้เปลี่ยนไป มีแค่ช่วงที่เธอกำลังขึ้นรถ อดไม่ได้ที่จะลูบท้องเบาๆ ทำให้เธอนึกถึงลูกที่เธอเคยมี ตอนนี้ไม่มีอีกแล้ว
“คุณหญิง พวกเราจะที่ไปไหนครับ?” คนขับรถมองเจี่ยนอี๋นั่วจากกระจกมองหลัง แล้วถามเสียงขรึม
เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วแล้วพูด:“ไปสถานกักขัง ฉันจะไปเจอคนที่สำคัญมากกับฉันคนหนึ่ง”
คนที่ฆ่าลูกฉันคนนั้น เฉิงซานซาน!เจี่ยนอี๋นั่วอดทนรอไม่ไหวอยากจะเจอเฉิงซานซาน ถึงแม้ว่าเธอจะเดาได้หลายผลลัพธ์ แต่เธอต้องไปถามเฉิงซานซานด้วยตัวเธอเอง สรุปแล้วเพราะอะไรกันแน่ เฉิงซานซานถึงกับต้องทำร้ายลูกของเธอจนตาย!