หนี้รัก วิวาห์จำเป็น – บทที่ 47 ผู้หญิงเจ้าแผนการ

หนี้รัก วิวาห์จำเป็น

เจี่ยนอี๋นั่วมองหลิวจื่อซิง เธอยิ้มเบาๆ:“ไม่เป็นไร ของพวกนี้ที่คุณส่งให้ ต่อไปฉันคงได้ใช้ ฉันยังต้องมีลูกอีกอย่างแน่นอน ขอบคุณคุณมากนะ ทำให้ลำบากแล้ว”

หลิวจื่อซิงเห็นว่าเจี่ยนอี๋นั่วไม่เพียงแต่ไม่โกรธคำพูดที่เธอพูด ในทางกลับกันยังตอบโต้เธออย่างชาญฉลาดอีก รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอแข็งอยู่สักพัก แล้วค่อยๆกลับมายิ้มใหม่อีกครั้ง ยิ้มให้กับเจี่ยนอี๋นั่วแล้วพูด:“งั้นก็ดีเลย ถึงแม้ว่าเซ่าถิงจะดูแล้วเย็นชา แต่ความจริงเขาเป็นผู้ชายที่อ่อนโยนมาก เขาชอบเด็กมาก แถมยังเคยพูดกับฉัน ถ้าในอนาคตได้แต่งงาน เขาจะมีลูกจนสามารถตั้งทีมฟุตบอลได้ ทำเอาฉันตกใจแทบแย่”

เจี่ยนอี๋นั่วมองหลิวจื่อซิง อดไม่ได้ที่จะยิ้มเบาๆ ก่อนหน้านี้ที่เจี่ยนอี๋นั่วยังไม่เคยเจอกับหลิวจื่อซิงยังพอมีความอยากรู้อยู่บ้าง เพราะเธอไม่รู้ว่าหลิวจื่อซิงแท้จริงแล้วเป็นคนยังไง ทำไมถึงพัวพันกับตระกูลเหลิ่งเยอะขนาดนั้น ตอนนี้ดูแล้วก็แค่ผู้หญิงทั่วไปที่เจ้าแผนการ

อีกอย่างหลิวจื่อซิงคนนี้ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกถึงความไม่สบายใจ เจี่ยนอี๋นั่วคิดว่าไม่ว่าความสัมพันธ์ที่แท้จริงระหว่างเธอกับเหลิ่งเซ่าถิงตอนนี้จะเป็นยังไง ยังไงซะเธอก็นับว่าเป็นภรรยาของเหลิ่งเซ่าถิง ท่าทางของหลิวจื่อซิงที่เธอจงใจบ่งบอกว่ารู้จักผู้ชายดีกว่าภรรยาของเขา ก็เพื่อจะสร้างความลำบากใจให้ฝ่ายตรงข้าม เจี่ยนอี๋นั่วเกลียดวิธีแบบนี้ที่สุด โดยเฉพาะผู้หญิงประเภทนี้

จู่ๆเจี่ยนอี๋นั่วก็ไม่อยากยอมแพ้ต่อหน้าหลิวจื่อซิง เธอยิ้มแล้วพูดโกหกสักหน่อย:“งั้นเหรอ? ดูแล้วคุณหลิวไม่ได้ติดต่อกับเซ่าถิงนานแล้วนะ เขามักจะพูดกับฉันว่ามีลูกสักคนสองคนก็พอแล้ว เกิดลูกเยอะขนาดนั้น คงไม่มีทางได้สั่งสอนอย่างเต็มที่ ไม่มีประโยชน์ทั้งต่อเด็กและต่อผู้ใหญ่ อีกอย่างเกิดลูกเยอะขนาดนั้น เขาคิดว่ามันไม่ดีต่อร่างกายฉันที่จะเสียหายไปมากกว่านี้……”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดถึงตรงนี้ ก็ก้มหน้าจิบชา เจี่ยนอี๋นั่วมองรอยยิ้มของหลิวจื่อซิงที่แข็งไปแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกได้ถึงความสบายใจที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่เวลาต่อมา เธอก็เห็นนัยน์ตาของหลิวจื่อซิงส่องสว่างขึ้นมา มองไปยังด้านหลังของเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วเผยรอยยิ้มที่สวยหวานใหม่อีกครั้ง

จู่ๆเจี่ยนอี๋นั่วก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีเอาซะเลย เธอค่อยๆกลืนชาลงไป แล้วหันหน้าไปด้านหลัง หลังจากนั้น เจี่ยนอี๋นั่วก็เจอกับใบหน้าของเหลิ่งเซ่าถิงที่ยืนอยู่ข้างหลังเธอ

เจี่ยนอี๋นั่วนิ่งอึ้งไปในทันที เธอขมวดคิ้ว ใจเริ่มเต้นรัวขึ้น เธอไม่รู้ว่าเหลิ่งเซ่าถิงได้ยินที่เธอพูดเมื่อกี้ไปเท่าไหร่กันแน่ จะเปิดโปงคำโกหกของเธอต่อหน้าทุกคนหรือเปล่า จู่ๆเจี่ยนอี๋นั่วก็รู้สึกว่านิสัยของเธอมันน่ารังเกียจจริงๆ ทำไมถึงอดทนไว้ไม่ได้ เพราะมองหลิวจื่อซิงแล้วขัดตา ไม่อยากแพ้ให้กับหลิวจื่อซิง ก็เลยพูดโกหกคำพวกนั้นเนี่ยนะ? ถ้าถูกเหลิ่งเซ่าถิงเปิดโปง ไม่ใช่ว่าเธอจะยิ่งเสียหน้าเหรอ?

อีกอย่างก่อนหน้านี้เธอไม่ได้มีจิตใจที่อยากจะเอาชนะนี่? จะเผชิญหน้ากับหลิวจื่อซิงยังไง ได้ฟังคำพูดของหลิวจื่อซิงเมื่อกี้ เธอรู้สึกว่าต้องชนะหลิวจื่อซิงให้ได้ ถึงขนาดไม่สนใจว่าจะพูดโกหก หรือเธอจะจินตนาการถึงเหลิ่งเซ่าถิงไว้จริงๆ? เพราะงั้นตอนที่อยู่ต่อหน้าหลิวจื่อซิง ในใจเธอถึงมีสิ่งที่เรียกว่าส่วนได้ส่วนเสียอยู่?

ตอนที่เจี่ยนอี๋นั่วรับรู้ได้ถึงจุดนี้ เธอโกรธเคืองตัวเองนิดหน่อย เธอเป็นอะไรไป? ทำไมต้องจินตนาการถึงเรื่องที่ทั้งๆที่รู้ว่าไม่มีหวังด้วย? ทำไมรู้ว่าทั้งๆที่ไม่มีความเป็นไปได้ แต่ยังจะมีความอยากเอาชนะอะไรนั่น?

เจี่ยนอี๋นั่วหายใจเข้าลึกๆ คิดว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะต้องเปิดโปงคำโกหกของเธอต่อหน้าทุกคนแน่นอน เหลิ่งเซ่าถิงจะคำนึงถึงการเสียหน้าของเธอได้ยังไง อีกอย่างยังมีผู้หญิงที่เขาลือกันว่าเป็นอดีตของเขาอย่างหลิวจื่อซิงอีก

ขณะที่เจี่ยนอี๋นั่วเตรียมตัวที่จะเสียหน้าเรียบร้อยแล้วนั้น หลังจากที่เหลิ่งเซ่าถิงกวาดสายตามองหลิวจื่อซิงอย่างผ่านๆ กลับพูดกับเจี่ยนอี๋นั่วด้วยเสียงเย็นชา:“ร่างกายคุณยังไม่หายดี กลับไปพักผ่อนที่ห้องเถอะ”

เหลิ่งเซ่าถิงพูดจบ ก็พยุงเจี่ยนอี๋นั่วเบาๆ เจี่ยนอี๋นั่วรู้ว่าตัวเองพูดผิดไป พอได้ยินเหลิ่งเซ่าถิงตามน้ำคำโกหกของเธอ เจี่ยนอี๋นั่วก็รีบลุกขึ้นยืน ยิ้มแล้วพูดกับเหลิ่งเซ่าถิง:“ได้สิ ฉันจะกลับห้องเดี๋ยวนี้แหละ”

“เซ่าถิง……” หลิวจื่อซิงมองเหลิ่งเซ่าถิง ค่อยๆลุกขึ้นยืน:“แม้แต่พูดนายยังไม่อยากจะพูดกับฉันสักคำเลยเหรอ?”

เหลิ่งเซ่าถิงหันหน้ามามองหลิวจื่อซิง พยักหน้าเบาๆ:“สวัสดีครับคุณหลิว คุณมาครั้งนี้ จะมาคืนของของผมเหรอ? ผมจำได้ว่าคุณมีของที่ยังไม่ได้คืนผม”

หลิวจื่อซิงยิ้มเจื่อนๆ ทำเสียงเศร้า:“สรุปนายก็โทษฉันอยู่ดี”

เดิมทีหลิวจื่อซิงโตขึ้นมาด้วยภาพลักษณ์อ่อนโยนใสสะอาด เธอพูดจบประโยค ก็ก้มหน้าลงเล็กน้อย อยากจะร้องแต่ก็ไม่ร้อง หางตาเริ่มมีน้ำตา ทำเหมือนว่ายั่วให้คนเป็นห่วง

ในใจเจี่ยนอี๋นั่วแอบนับถือ มิน่าล่ะหลิวจื่อซิงถึงได้ไปมาหาสู่ระหว่างผู้ชายทั้งสองคนในตระกูลเหลิ่ง การแสดงฉากนี้นับว่าหาได้ยาก ต่อให้หลิวจื่อซิงไม่ได้ไปมาหาสู่ในตระกูลเหลิ่ง เข้าไปในวงการบันเทิง ความสามารถในการแสดงแบบนี้ก็คงได้งานเกี่ยวกับแสดงอะไรบ้างล่ะ

เหลิ่งเซ่าถิงเหลือบมองหลิวจื่อซิง อารมณ์บนใบหน้าไม่ได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย แค่หันกลับมาพูดกับเจี่ยนอี๋นั่ว:“พวกเราไปกันเถอะ”

“พี่ใหญ่ทำไมถึงรีบไปนักล่ะ คุยกับหลิวจื่อซิงสักหน่อยสิ เธอกลับประเทศมาเพื่อนายเลยนะ” เหลิ่งหมิงอันยิ้มแล้วเดินเข้ามาพูด

สายตาของหลิวจื่อซิงมองไปที่เหลิ่งหมิงอัน กลับยิ้มเจื่อนแล้วส่ายหน้า พูดกับเหลิ่งหมิงอัน:“หมิงอัน นายไม่ต้องพูดแล้ว เซ่าถิงคงจะเหนื่อยมากแล้ว วันนี้ฉันมาไม่ได้จังหวะ คุณนายเหลิ่งบอกว่าไม่ค่อยสบาย ไม่ต้องการเจอฉัน เซ่าถิงนายก็เป็นแบบนี้อีก งั้นฉันค่อยมาใหม่วันหน้าแล้วกัน ถ้ามีเวลาฉันจะทำขนมที่นายชอบมาให้ แล้วจะมาหานายใหม่”

หลิวจื่อซิงพูดจบ ก็ก้มหน้าเล็กน้อย แล้วเหลือบขึ้นมองตาของเหลิ่งเซ่าถิง พูดกับสุยเฉิงจิ้ง:“คุณน้าคะ หนูกลับก่อนนะคะ”

หลังจากนั้นเธอก็กวาดสายตามองเหลิ่งหมิงอัน ถึงจะเดินออกมาจากประตูใหญ่ของคฤหาสน์ สุยเฉิงจิ้งมองแผ่นหลังของหลิวจื่อซิง แล้วถอนหายใจออกมายาวๆ:“น่าสงสารจริงๆ มาเยี่ยมคุณนายเหลิ่งตาปริบๆ คุณนายเหลิ่งก็ป่วยไม่ยอมเจอเขา เขาก็ยังรอเซ่าถิงอยู่ตลอด แต่เซ่าถิง ไม่ใช่ว่าอาสะใภ้รองจะว่าอะไรแกหรอกนะ แกอย่าไปใส่ใจเรื่องในอดีตให้มันมากนักเลย จื่อซิงเขาก็เป็นแค่เด็กผู้หญิง ทำไมไม่เห็นแก่หน้าเขาสักหน่อยล่ะ?”

เหลิ่งเซ่าถิงมองสุยเฉิงจิ้งด้วยสายตาเยือกเย็น พูดอย่างเย็นชา:“ฝันดีครับอาสะใภ้รอง ผมไปพักผ่อนก่อนนะครับ”

เหลิ่งเซ่าถิงพูดจบ กวาดสายตามองเจี่ยนอี๋นั่ว เจี่ยนอี๋นั่วก็รีบเดินมาที่ข้างกายเหลิ่งเซ่าถิง แล้วกลับห้องด้วยกันกับเหลิ่งเซ่าถิง สุยเฉิงจิ้งมองแผ่นหลังของเหลิ่งเซ่าถิง แล้วหายใจเข้าลึกๆ:“เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยจริงๆเลย ทำไมถึงยังใจเย็นได้อีก เหลิ่งเซ่าถิงเย็นชาแบบนั้นก็ว่าจะไม่อะไรแล้ว แต่เจี่ยนอี๋นั่วที่พาเข้ามาก็เย็นชาอยู่เหมือนกัน ก่อนหน้านี้เหลิ่งเซ่าถิงกับหลิวจื่อซิงเข้ากันได้ดีจะตาย ตอนนี้เหลิ่งเซ่าถิงแม้แต่หน้าก็ยังไม่อยากจะมองหลิวจื่อซิงเลยสักนิด”

สุยเฉิงจิ้งพูดถึงตรงนี้ พูดกับเหลิ่งหมิงอัน:“เป็นเพราะแกเลยเด็กบ้าที่ตอนนั้นก่อเรื่องวุ่นวาย ไม่ว่าช้าหรือเร็วเหลิ่งเซ่าถิงก็ต้องแต่งงาน หลิวจื่อซิงยังพอเคารพฉันอยู่บ้าง ดีกว่าเจี่ยนอี๋นั่วในตอนนี้เป็นไหนๆ แต่ตอนนั้นแกก็จะเข้าไปก่อกวนระหว่างพวกเขาให้ได้ เลยได้เจี่ยนอี๋นั่วเด็กบ้านั่นมาแทน”

เหลิ่งหมิงอันยังคงมองแผ่นหลังของเหลิ่งเซ่าถิงกับเจี่ยนอี๋นั่ว ผ่านไปนานมากถึงจะพูดออกมา:“น่าสนใจดีนี่”

“อะไรน่าสนใจ?” สุยเฉิงจิ้งไม่เข้าใจว่าเหลิ่งหมิงอันหมายถึงอะไรกันแน่ เลยรีบถาม

เหลิ่งหมิงอันเม้มมุมปากแล้วยิ้มออกมา ค่อยๆส่ายหน้า มือของเขาโอบอยู่บนไหล่ของสุยเฉิงจิ้ง ยิ้มแล้วถาม:“แม่ แม่ว่าผมกับเจี่ยนอี๋นั่วเหมาะสมกันไหม?”

“อะไรนะ? แกจะก่อเรื่องอีกแล้วเหรอ?” สุยเฉิงจิ้งขมวดคิ้วมองเหลิ่งหมิงอัน:“ผู้หญิงของเหลิ่งเซ่าถิงมีอะไรดี ทำไมแกต้องจ้องจะจับผู้หญิงที่เขาเคยใช้? เจี่ยนอี๋นั่วดีไม่เท่าหลิวจื่อซิงหรอก เจี่ยนอี๋นั่วเคยมีลูกกับเหลิ่งเซ่าถิงมาแล้วนะ!”

พอเห็นอารมณ์ของสุยเฉิงจิ้งขึ้นๆลงๆ เหลิ่งหมิงอันก็หัวเราะออกมาเบาๆ:“แม่ แม่รู้เรื่องนี้แล้วตื่นเต้นขนาดนี้เลย แค่จินตนาการเอาก็รู้แล้ว ถ้าผมแต่งงานกับเจี่ยนอี๋นั่วจริงๆ งั้นเหลิ่งเซ่าถิงจะคิดยังไง? ผู้หญิงที่เคยเกือบจะคลอดลูกของเขากลายเป็นน้องสะใภ้ของเขา เขาก็เป็นผู้ชายเหมือนกัน คงจะทนไม่ไหวเหมือนกันล่ะมั้ง?”

“ทนไม่ไหวก่อนเขาก็ฉันนี่แหละ!” สุยเฉิงจิ้งขมวดคิ้วมองเหลิ่งหมิงอัน:“แกอย่าก่อเรื่องอีกเลย”

“ผมไม่ก่อเรื่องแน่นอน” เหลิ่งหมิงอันยิ้มแล้วพูด หลังจากนั้นก็หันร่างเดินออกไป

สุยเฉิงจิ้งมองแผ่นหลังของเหลิ่งหมิงอัน แล้วถอนหายใจยาวๆ:“ทำไมต้องเป็นแบบนี้ทุกทีเลย”

เจี่ยนอี๋นั่วเดินตามเหลิ่งเซ่าถิงกลับมาที่ห้อง พอปิดประตู ก็รีบพูดกับเหลิ่งเซ่าถิงเสียงเบา:“ฉัน ฉันพูดโกหกไป คุณไม่เคยพูดแบบนั้นกับฉันเลยสักนิด ฉันสร้างเรื่องเอาเอง ขอบคุณคุณมากนะที่เมื่อกี้ด้านล่างไม่ได้เปิดโปงฉัน ไม่งั้นฉันคงไม่รู้จริงๆว่าควรจะทำยังไง”

“อืม ต่อไปอย่าพูดอะไรออกไปมั่วซั่วอีก” เหลิ่งเซ่าถิงตอบรับเสียงเย็นชา

เจี่ยนอี๋นั่วเหลือบตามองเหลิ่งเซ่าถิง เธอไม่คิดว่าเรื่องนี้จะผ่านไปอย่างเงียบเชียบแบบนี้ เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะสังเกตเหลิ่งเซ่าถิง มองเหลิ่งเซ่าถิงที่เย็นชา เจี่ยนอี๋นั่วคิดไม่ถึงจริงๆว่าเขาจะเกิดความรักขึ้นกับผู้หญิงสักคน อีกอย่างยังเกิดกับหลิวจื่อซิงผู้หญิงที่ชอบการแสดงคนนั้น

เจี่ยนอี๋นั่วคิดมาตลอดว่าเหลิ่งเซ่าถิงฉลาดมาก ทำไมเธอที่มองออกว่าหลิวจื่อซิงเป็นผู้หญิงเจ้าแผนการที่ชอบแสดงเป็นคนอ่อนแอ แต่เหลิ่งเซ่าถิงกลับมองไม่ออกกันนะ?

หรือว่าผู้ชายเหมือนกันหมด ขอแค่ได้เห็นน้ำตาของผู้หญิงร่วงลงมา พูดอย่างอ่อนแอออกมาไม่กี่ประโยค ก็คิดว่าผู้หญิงคนนั้นอ่อนแอจิตใจดีจริงๆ?

“คุณอยากถามอะไรก็ถามมาเลย อย่าใช้สายตาที่สังเกตแบบนั้นมองผม” เหลิ่งเซ่าถิงชำเลืองมองเจี่ยนอี๋นั่ว

เจี่ยนอี๋นั่วกะพริบตา แล้วพูดเสียงเบา:“งั้นฉันจะถามแล้วนะ เมื่อก่อนคุณเคยคบกับหลิวจื่อซิง?”

“ก็คงใช่มั้ง” เหลิ่งเซ่าถิงถอดเสื้อผ้าไปด้วยตอบเสียงเย็นชาไปด้วย

ถึงแม้ว่าเจี่ยนอี๋นั่วจะรู้เรื่องนี้จากเหลิ่งหมิงอันนานแล้ว แต่ตอนนี้ได้ยินการยืนยันจากเหลิ่งเซ่าถิง กลับเหมือนว่าพึ่งจะรู้เรื่องนี้ แล้วก็นิ่งอึ้งไป ความปวดค่อยๆคืบคลานไปที่ก้นบึ้งจิตใจของเจี่ยนอี๋นั่ว เจี่ยนอี๋นั่วเคยประสบกับการหักหลัง ตอนนั้นเธอทั้งโกรธทั้งเกลียด ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยเกิดความรู้สึกแบบนี้ขึ้นกับเธอ

ความรู้สึกแบบนี้เหมือนกับเด็กน้อย ไม่ง่ายเลยกว่าจะเก็บเงินไปซื้อของเล่นที่ใจอยากได้ แต่ก็คิดไม่ถึงว่าของเล่นชิ้นนั้นกลับถูกคนอื่นซื้อไปตั้งนานแล้ว เธอทำได้แค่มองคนอื่นเล่นตาปริบๆ แม้แต่สิทธิ์ที่จะแตะต้องเธอก็ไม่มี ทั้งๆที่ไม่ใช่ของๆเธอ เธอก็ยังอดไม่ได้ที่จะบ่นในใจ:ทำไมคนนั้นเขาได้เล่น แต่ฉันไม่ได้เล่นล่ะ?

หนี้รัก วิวาห์จำเป็น

หนี้รัก วิวาห์จำเป็น

Status: Ongoing
เหลิ่งเซ่าถิง เป็นบอสใหญ่ที่กุมอำนาจทั้งหมดของบริษัทไว้ในมือ เป็นบุคคลสำคัญของธุรกิจ ซ้ำยังมีหน้าตาที่หล่อเหลา แต่เขากลับต้องมาประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ต้องมีสภาพกลายเป็นผัก เจี่ยนอี๋นั่ว เป็นลูกสาวของประธานแห่งเจี่ยนกรุ๊ป เรียนจบจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง นิสัยอ่อนโยน และรักกับแฟนหนุ่มมา3ปีแล้ว แต่เพราะอาการป่วยของพ่อ ทำให้เจี่ยนกรุ๊ปล้มละลาย เธอต้องแบกรับหนี้หลายสิบล้านเพียงชั่วข้ามคืน ดังนั้นภายใต้เหตุการณ์ทั้งสองเหตุการณ์นี้ ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วต้องมาเป็นภรรยาถูกต้องตามกฏหมายของเหลิ่งเซ่าถิง ซึ่งเธอไดแต่คิดว่าจะต้องอยู่กับคนที่สภาพเหมือนผักแบบนี้ไปตลอดชีวิต แต่กลับไม่รู้ว่าเขานั้นฟื้นแล้ว และแค่รอให้ ‘ปฏิหาร’เกิดขึ้นอีกครั้ง………

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท