หนี้รัก วิวาห์จำเป็น – บทที่ 49 เขาเป็นคนของฉัน

หนี้รัก วิวาห์จำเป็น

ตอนที่เจี่ยนอี๋นั่วลืมตาขึ้นมา เหลิ่งเซ่าถิงพึ่งจะลุกขึ้น ยากนักที่เจี่ยนอี๋นั่วกับเหลิ่งเซ่าถิงจะตื่นพร้อมกัน ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ตื่นพร้อมกันบ่อยๆ แต่เจี่ยนอี๋นั่วก็รู้ดีว่าทุกเช้าเหลิ่งเซ่าถิงจะตื่นไปวิ่ง เจี่ยนอี๋นั่วขยี้ตาแล้วลุกขึ้น ถึงแม้ว่าตอนนี้ร่างกายของเธอยังคืนสภาพได้ไม่เต็มที่ แต่ถ้าตอนเช้าแบบนี้ลงไปเดินสักรอบก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร

เจี่ยนอี๋นั่วคิดว่าในเมื่อไม่มีลูกแล้ว ก็ควรจะกลับไปสู่ชีวิตเดิมที่ปกติ ตอนนี้การออกกำลังกายแบบไม่ใช้แรงมากเหมาะกับเธอที่กำลังฟื้นฟูร่างกาย ทุกอย่างที่ผ่านมาไม่ควรถูกลืม แต่ก็ไม่ควรจมอยู่กับความเจ็บปวดในอดีต ไม่งั้นคนเราก็ไม่สามารถมีชีวิตต่อได้ ยิ่งไปกว่านั้นเจี่ยนอี๋นั่วไม่ใช่คนที่ไม่ทำอะไรเลยเวลาเศร้าโศกเสียใจ ฉู่หมิงเซวียนยังใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ ร่างกายของพ่อเธอตอนนี้ยังไม่คืนสภาพ เธอมีสิทธิ์อะไรจะไปจมอยู่กับความเจ็บปวดล่ะ?

พอเห็นเจี่ยนอี๋นั่วลงจากเตียง เหลิ่งเซ่าถิงก็ชำเลืองมองเธอ พูดเสียงเย็นชา:“คุณตื่นเช้าขนาดนี้จะไปทำอะไร?”

เจี่ยนอี๋นั่วเดินเข้าห้องน้ำไป แล้วตอบไปด้วย:“ฉันก็จะไปออกกำลังกายเหมือนกัน”

“ร่างกายคุณตอนนี้เนี่ยนะ?” เหลิ่งเซ่าถิงย่นคิ้วถามเจี่ยนอี๋นั่ว

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มแล้วพูด:“ร่างกายฉันไม่เป็นไรแล้ว ออกกำลังกายที่เหมาะสมก็คงไม่มีปัญหา”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบก็เข้าไปเปลี่ยนชุดในห้องน้ำอย่างรวดเร็ว เดิมทีเจี่ยนอี๋นั่วคิดว่าหลังจากที่เธอออกมา เหลิ่งเซ่าถิงที่เปลี่ยนชุดเสร็จก็คงออกไปแล้ว คิดไม่ถึงว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะยืนอยู่ที่หน้าประตูห้องแล้วค่อยๆผูกเชือกรองเท้า

ตอนที่เจี่ยนอี๋นั่วไปเปลี่ยนเสื้อผ้า เห็นว่าเหลิ่งเซ่าถิงนั้นเปลี่ยนชุดเสร็จแล้วใส่รองเท้าวิ่งเสร็จแล้ว ทำไมตอนนี้ยังไม่ได้ผูกเชือกรองเท้าล่ะ เขาคงไม่ได้รอเธอหรอกใช่ไหม?

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วแล้วคิดถึงตรงนี้ เธอก็รีบส่ายหน้า เตือนตัวเองว่าอย่าคิดต่อ อย่าสร้างภาพมโน สภาพของเธอตอนนี้นั้นแย่มากพออยู่แล้ว ไปอิจฉาผู้หญิงข้างกายเหลิ่งเซ่าถิง ไปซบเหลิ่งเซ่าถิงตอนนอน ถ้ายังให้เธอคิดว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะรู้สึกดีกับเธอเล็กๆน้อยๆอีกล่ะก็ เจี่ยนอี๋นั่วกลัวจริงๆว่าตัวเองจะเข้าไปพัวพันกับเหลิ่งเซ่าถิง

ถ้าว่ากันตามเหตุผล ตระกูลเหลิ่งไม่เหมาะกับเธอเลยสักนิด เธอไม่ได้รู้จักตระกูลเหลิ่งดี คิดว่าตระกูลเหลิ่งเป็นแค่การต่อสู้ของพวกตระกูลไฮโซธรรมดาทั่วไป แต่ตอนนี้เธอพึ่งจะรู้ว่าการต่อสู้ของตระกูลเหลิ่งนั้นโหดเหี้ยมมากแค่ไหน เจี่ยนอี๋นั่วไม่อยากให้ชีวิตที่เหลือของตัวเองตกอยู่สงครามต่อสู้ของวงศ์ตระกูล และไม่อยากให้ครอบครัวของตัวเองเข้ามาพัวพันกับตระกูลเหลิ่งที่อันตรายขนาดนี้เพราะความรู้สึกของเธอที่ยุ่งเหยิงชั่วขณะ

เจี่ยนอี๋นั่วพยายามควบคุมสถานการณ์ที่ไม่เหมือนจริงของตัวเอง ขณะที่เดินไปข้างๆเหลิ่งเซ่าถิง ก็ยิ้มแล้วถามเสียงเบา:“ไปพร้อมกันไหม?”

“ไหนๆคุณก็เปลี่ยนชุดเสร็จแล้ว ผมจะทำไงได้ล่ะ?” เหลิ่งเซ่าถิงพูดเสียงเย็นชา

เหลิ่งเซ่าถิงพูดจบก็เดินลงไปด้านล่างพร้อมเจี่ยนอี๋นั่ว แสงอาทิตย์ในยามเช้าเย็นเล็กน้อย ถ้าเป็นวันในฤดูหนาว ตอนนี้แสงอาทิตย์คงเบาบาง แต่เพราะตอนนี้เป็นฤดูร้อน แสงอาทิตย์ที่เย็นแบบนี้ในทางกลับกันยิ่งทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความเย็นสบายมากขึ้นไปอีก

เจี่ยนอี๋นั่วสูดหายใจเข้าลึกๆ หลังจากนั้นก็เป่าออกมายาวๆ เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าได้เอาเรื่องราวของตัวเองที่แย่มากๆและความเคียดแค้นในใจออกไปจากตัวเองแล้ว

“มาเดินทางนี้” เหลิ่งเซ่าถิงพูดกับเจี่ยนอี๋นั่ว

เจี่ยนอี๋นั่วรีบเดินตามหลังเหลิ่งเซ่าถิงจนเดินมาถึงมุมหนึ่งของสวนในคฤหาสน์ ก่อนหน้านี้เจี่ยนอี๋นั่วไม่ได้เดินที่สวนในคฤหาสน์ของตระกูลเหลิ่งอะไรมากมายนัก ตอนที่เหลิ่งเซ่าถิงพาเจี่ยนอี๋นั่วมาที่มุมของสวนในคฤหาสน์นี้ เจี่ยนอี๋นั่วถึงจะพบว่าที่แท้ตระกูลเหลิ่งก็ซ่อนสนามกีฬาขนาดใหญ่ไว้นี่เอง มีวงรอบสำหรับวิ่ง ตรงกลางมีสนามเทนนิส ขนาดเหมือนสนามกีฬาของมัธยมปลาย

แค่ที่นี่นอกจากคนงานไม่กี่คนที่กำลังซ่อมแซมพื้นหญ้าแล้ว ก็ไม่มีคนอื่นอยู่เลย ทำให้รู้สึกเงียบสงัด

เจี่ยนอี๋นั่วเบิกตากว้าง:“นี่มันฟุ่มเฟือยเกินไปแล้ว”

การวิ่งที่เจี่ยนอี๋นั่วคิดไว้ ก็แค่วิ่งๆไปที่ไหนสักที่ของสวนในคฤหาสน์ตระกูลเหลิ่งเพื่อให้ร่างกายขยับบ้างก็เท่านั้น ไม่เคยแม้แต่จะคิดว่าตระกูลเหลิ่งจะมีสนามกีฬาเพื่อใช้เฉพาะทางแบบนี้

“เป็นอะไร?” เหลิ่งเซ่าถิงมองเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วถามเสียงเย็นชา

เจี่ยนอี๋นั่วสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วค่อยๆส่ายหน้า:“ไฮโซก็คือไฮโซ ตอนที่ฉันจินตนาการถึงเรื่องรูปแบบของกฎเกณฑ์ มันก็มักจะถือโอกาสมาทำให้ฉันตกใจอยู่บ่อยๆ บอกให้ฉันรู้ว่าฉันขี้งกมากแค่ไหนล่ะมั้ง ดูบ้านนอกมากเลยอะ”

“งั้นสาวบ้านนอกก็รีบวอร์มร่างกายได้แล้ว” มุมปากของเหลิ่งเซ่าถิงกระตุกยิ้มขึ้นมา แต่น้ำเสียงยังคงเย็นชาอยู่

เจี่ยนอี๋นั่ววอร์มร่างกายอย่างช้าๆ หลังจากที่รอเธอวอร์มร่างกายเสร็จ เหลิ่งเซ่าถิงก็วิ่งไปแล้ว ตอนที่เจี่ยนอี๋นั่วเดินช้าๆไปครึ่งรอบนั้น เหลิ่งเซ่าถิงได้วิ่งเสร็จไปแล้วสองรอบ ขณะที่วิ่งผ่านเจี่ยนอี๋นั่ว เขายังยกมือขึ้นมาตบเบาๆที่ศีรษะของเธออีกด้วย

เจี่ยนอี๋นั่วยกมือขึ้นมาปิดศีรษะของตัวเอง อดไม่ได้ที่จะตะโกนไล่หลังเหลิ่งเซ่าถิงไป:“เห้ยๆ ประธานใหญ่เหลิ่ง นี่มันหัวฉันนะ ไม่ใช่เครื่องนับรอบวิ่ง”

“ความสัมพันธ์ของคุณกับพี่ใหญ่นี่ยิ่งนับวันก็ยิ่งดีขึ้นจริงๆ” จู่ๆเสียงของเหลิ่งหมิงอันดังขึ้นข้างๆเจี่ยนอี๋นั่ว

เจี่ยนอี๋นั่วเดินเร็วไปด้วย แล้วหันมองเหลิ่งหมิงอันไปด้วย:“ทำไมฉันต้องเจอคุณอยู่ทุกที่เลย?”

“นี่เป็นสถานที่ของตระกูลเหลิ่ง และผมก็แซ่เหลิ่ง ผมวิ่งที่นี่มายี่สิบกว่าปีแล้ว คนนอกอย่างคุณจู่ๆก็โผล่มา ยังจะกล้ามาโทษผม?” เหลิ่งหมิงอันพูดไปด้วย หันหน้ามองฝั่งของเหลิ่งเซ่าถิงไปด้วย

เห็นว่าเหลิ่งเซ่าถิงจู่ๆก็หยุดวิ่ง และมองมาทางเขาเหมือนกัน เหลิ่งหมิงอันค่อยๆยิ้มออกมา ยกมือขึ้นตบเบาๆที่ศีรษะของเจี่ยนอี๋นั่วเหมือนที่เหลิ่งเซ่าถิงทำ ยิ้มแล้วพูด:“คุณพูดมาตามตรง วันนี้คุณตามมาวิ่งกับพี่ใหญ่เป็นพิเศษ เพราะอยากจะเจอผมใช่ไหมล่ะ? คุณรู้อยู่แล้วใช่หรือเปล่าว่าผมกับพี่ใหญ่เราวิ่งด้วยกัน”

เจี่ยนอี๋นั่วปัดมือของเหลิ่งหมิงอันออก:“ถ้ารู้ว่าคุณอยู่ที่นี่ ฉันก็คงไม่มาหรอก”

“นี่ อย่าทำเหมือนพี่ใหญ่ ที่เปลี่ยนไปเย็นชาขนาดนั้นสิ……” เหลิ่งหมิงอันยื่นมือมาจับข้อมือของเจี่ยนอี๋นั่วไว้

แต่เหลิ่งหมิงอันพึ่งจะได้แตะข้อมือของเจี่ยนอี๋นั่ว มือของเหลิ่งหมิงอันก็ถูกกดไว้ เหลิ่งเซ่าถิงที่รีบวิ่งมายังคงหายใจหอบ มือของเขากดข้อมือของเหลิ่งหมิงอันไว้ อีกข้างดึงเจี่ยนอี๋นั่วไปด้านหลัง ขมวดคิ้วมองเหลิ่งหมิงอัน:“ทางที่ดีแกอย่าลืมคำที่ฉันเตือนดีกว่านะ”

“ไม่ได้ลืม แต่มันช่วยไม่ได้ ความรู้สึกมันควบคุมกันไม่ได้จริงๆนะ……” เหลิ่งหมิงอันพูด แล้วเอียงหน้ามองเจี่ยนอี๋นั่วที่ถูกเหลิ่งเซ่าถิงบังไว้ข้างหลัง เขาหัวเราะแล้วพูดต่อ:“ผมก็แค่ชอบเจี่ยนอี๋นั่ว ช่วยไม่ได้นะ พี่ใหญ่ ยังไงซะหลิวจื่อซิงก็กลับมาแล้ว พี่ไปคบกับเธอเถอะ แล้วยกเจี่ยนอี๋นั่วให้ผม แบ่งแบบนี้ดีกว่าอีกนะ?”

“คนของฉัน ไม่จำเป็นต้องแบ่งให้แก” เหลิ่งเซ่าถิงหรี่ตามองเหลิ่งหมิงอัน

คนของฉัน?

เจี่ยนอี๋นั่วพอได้ยินเหลิ่งเซ่าถิงพูดแบบนี้ ใจก็เต้นรัวขึ้นมา นี่เธอเป็นคนของเหลิ่งเซ่าถิงแล้ว? แต่พอตัวเองคิดว่า เหลิ่งเซ่าถิงไม่ได้พูดชัดขนาดนั้น ว่าเธอเป็นคนของเหลิ่งเซ่าถิงหรือหลิวจื่อซิงเป็นคนของเหลิ่งเซ่าถิงกันแน่ ในใจเจี่ยนอี๋นั่วควบคุมความสุขที่แอบคิดไม่ได้ ก็เลยรีบทำให้หายไป

เหลิ่งหมิงอันได้ยินคำพูดของเหลิ่งเซ่าถิง ก็หัวเราะออกมา:“งั้นก็คงต้องรอวันที่พี่มีความสามารถพอที่จะไล่ผมออกจากตระกูลเหลิ่งแล้วล่ะ”

“วางใจเถอะ จะไม่ทำให้แกผิดหวัง แกได้มีวันนั้นแน่” เหลิ่งเซ่าถิงมองเหลิ่งหมิงอัน แล้วพูดเสียงเย็นชา

เหลิ่งเซ่าถิงพูดจบ ก็หันมามองเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วพูดเสียงเบา:“ผมเดินเป็นเพื่อนคุณเอง”

เจี่ยนอี๋นั่วกวาดสายตามองเหลิ่งหมิงอัน:“หรือไม่เราก็กลับกันเถอะ”

“ไม่ควรจะเป็นเราที่ถอยให้” เหลิ่งเซ่าถิงพูดจบ ก็จับมือของเจี่ยนอี๋นั่วไว้ แล้วเดินไปข้างหน้าช้าๆ

แต่เหลิ่งหมิงอันก็ไม่ได้ออกไป เขาเดินไปด้วยกันกับพวกเขาด้วยซ้ำ แต่แค่เหลิ่งหมิงอันไม่ได้พูดอะไรต่อ ใช้แค่สายตาสังเกตเหลิ่งเซ่าถิงกับเจี่ยนอี๋นั่ว สายตาหยุดอยู่ที่มือของเจี่ยนอี๋นั่วที่เหลิ่งเซ่าถิงจับไว้นานพอสมควร แล้วค่อยๆเบนออก

เจี่ยนอี๋นั่วไม่ค่อยจะรู้ความรู้สึกตอนนี้ของเหลิ่งหมิงอันกับเหลิ่งเซ่าถิง ตอนนี้เธอแค่รับรู้ได้ถึงความอึดอัด พอเดินไปสองรอบ เจี่ยนอี๋นั่วก็พูดกับเหลิ่งเซ่าถิง:“ฉันเริ่มเหนื่อยแล้ว ฉันกลับแล้วนะ”

“ผมกลับพร้อมคุณ” เหลิ่งเซ่าถิงพูดเสียงเบา

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้า เดินออกจากสนามกีฬาพร้อมกับเหลิ่งเซ่าถิง เหลิ่งหมิงอันมองแผ่นหลังของเจี่ยนอี๋นั่วกับเหลิ่งเซ่าถิงจากด้านหลัง ไม่ได้ตามออกมา เจี่ยนอี๋นั่วที่เดินใกล้ถึงคฤหาสน์ตระกูลเหลิ่ง พึ่งจะพบว่าเหลิ่งเซ่าถิงยังคงจับมือเธออยู่ มือของเขาไม่ได้หยาบเหมือนผู้ชายคนอื่นๆ พอได้สัมผัสเหมือนกับหยกที่พิถีพิถันและเยือกเย็น

เจี่ยนอี๋นั่วรู้ว่าคงอยู่ข้างกายเหลิ่งเซ่าถิงได้ไม่นาน เธออดไม่ได้ที่จะปล่อยให้ความเห็นแก่ตัวเล็กๆน้อยๆของเธอทำงาน เพื่อให้เธอสามารถจับมือของเหลิ่งเซ่าถิงได้นานขึ้น

“ผมลืมปล่อยมือคุณ ในเมื่อคุณรู้สึกตัวแล้ว ทำไมยังจับมือผมไม่ปล่อย?” จู่ๆเหลิ่งเซ่าถิงก็หันหน้ามา ขมวดคิ้วมองเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วปล่อยมือกะทันหัน

หน้าของเจี่ยนอี๋นั่วแดงก่ำ เม้มริมฝีปากแน่น แล้วพูดเสียงเบา:“ฉัน ฉัน ความจริงแล้วไม่ทันได้ระวัง”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดถึงตรงนี้ เธอก็ใจฝ่อ กระแอมสองครั้ง แล้วเบนสายตาออกพูดอย่างร้อนรน:“ฉันเข้าไปก่อนนะ”

เหลิ่งเซ่าถิงมองแผ่นหลังของเจี่ยนอี๋นั่ว จู่ๆก็พูดออกมา:“คุณอย่าลืมคำพูดที่ผมเคยพูดกับคุณนะ อย่าคาดหวังอะไรจากผมให้มากเกินไป ไม่งั้นคนที่เสียใจคือตัวคุณเอง”

เจี่ยนอี๋นั่วหยุดลง แล้วค่อยๆพยักหน้า:“ฉันรู้”

เธอรู้ แต่ต่อให้รู้ เธอก็ควบคุมตัวเองไม่ได้ ยังไงซะเหลือเวลาอยู่สองร้อยกว่าวัน หลังจากนั้นก็อาจจะไม่ได้เจอกับเหลิ่งเซ่าถิงอีกแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วคิดถึงตรงนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะปล่อยไปตามใจของตัวเอง

แต่เจี่ยนอี๋นั่วคิดว่าที่ทำให้สถานการณ์เป็นแบบนี้ไม่ใช่เป็นเพราะเธอคนเดียว ไม่ใช่ว่าเหลิ่งเซ่าถิงทั้งกอดทั้งสัมผัสเธอเหรอ? เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าเหลิ่งเซ่าถิงผู้ชายคนนี้เรียกร้องมากเกินไปจริงๆ ทั้งๆที่รู้ว่าเธอรู้สึกดีกับเขา ยังให้นอนด้วยกันอีก แล้วยังกอดเธอ แถมยังไม่อนุญาตให้เธอชอบเขา มันจะเป็นไปได้ยังไง?

สำหรับเหลิ่งเซ่าถิง เธอเป็นหมอนข้างที่ไม่มีความรู้สึกอะไรเลยจริงๆงั้นเหรอ?

หนี้รัก วิวาห์จำเป็น

หนี้รัก วิวาห์จำเป็น

Status: Ongoing
เหลิ่งเซ่าถิง เป็นบอสใหญ่ที่กุมอำนาจทั้งหมดของบริษัทไว้ในมือ เป็นบุคคลสำคัญของธุรกิจ ซ้ำยังมีหน้าตาที่หล่อเหลา แต่เขากลับต้องมาประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ต้องมีสภาพกลายเป็นผัก เจี่ยนอี๋นั่ว เป็นลูกสาวของประธานแห่งเจี่ยนกรุ๊ป เรียนจบจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง นิสัยอ่อนโยน และรักกับแฟนหนุ่มมา3ปีแล้ว แต่เพราะอาการป่วยของพ่อ ทำให้เจี่ยนกรุ๊ปล้มละลาย เธอต้องแบกรับหนี้หลายสิบล้านเพียงชั่วข้ามคืน ดังนั้นภายใต้เหตุการณ์ทั้งสองเหตุการณ์นี้ ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วต้องมาเป็นภรรยาถูกต้องตามกฏหมายของเหลิ่งเซ่าถิง ซึ่งเธอไดแต่คิดว่าจะต้องอยู่กับคนที่สภาพเหมือนผักแบบนี้ไปตลอดชีวิต แต่กลับไม่รู้ว่าเขานั้นฟื้นแล้ว และแค่รอให้ ‘ปฏิหาร’เกิดขึ้นอีกครั้ง………

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท