หนี้รัก วิวาห์จำเป็น – บทที่ 56 อดีตที่ผ่านมา

หนี้รัก วิวาห์จำเป็น

เจี่ยนอี๋นั่วออกมาทำงานนอกสถานที่ก็เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงคนตระกูลเหลิ่ง แต่เธอไม่คิดว่าจะเจอกับเหลิ่งหมิงอันที่นี่ เธออดไม่ได้ที่จะชำเลืองมองหวังเหมี่ยน รู้สึกว่าหวังเหมี่ยนที่ดูแล้วเป็นคนซื่อๆตรงๆก็สุดยอดอยู่เหมือนกัน งานนัดรวมตัวกลับเป็นสถานที่ที่รวบรวมผู้ชายที่เธอไม่อยากเจอที่สุดทั้งสองคน

ถ้าเทียบกับตอนเจอฉู่หมิงเซวียนแล้ว ตอนเจอกับเหลิ่งหมิงอันทำให้เธอร้อนรนมากกว่า เดิมทีเธอเตรียมพร้อมที่จะหลีกเลี่ยงตระกูลเหลิ่งไม่กี่วัน แต่การปรากฏตัวของเหลิ่งหมิงอัน ก็ทำให้เธอนึกถึงเหลิ่งเซ่าถิงที่ทำให้เธอกลุ้มใจคนนั้นอีก

เหลิ่งหมิงอันมองเจี่ยนอี๋นั่ว ยิ้มแล้วพูด:“แต่ดูสีหน้าคุณแล้ว เหมือนว่าคุณไม่ได้ตื้นตันใจมากนะ?”

บนใบหน้าของเจี่ยนอี๋นั่วยังคงรักษารอยยิ้มไว้ พูดเสียงเบา:“จะเป็นงั้นไปได้ไง? ได้เจอคุณฉันดีใจมากจริงๆ”

เหลิ่งหมิงอันหัวเราะสักพัก แล้วหันหน้าไปทางที่ฉู่หมิงเซวียนยืนอยู่ ยิ้มแล้วพูด:“คุณฉู่ดีใจไหม?”

“คุณแซ่เหลิ่ง?” ฉู่หมิงเซวียนขมวดคิ้ว พูดเสียงขรึม

เหลิ่งหมิงอันยิ้มแล้วยักไหล่ หัวเราะอย่างช่วยไม่ได้แล้วพูดต่อ:“ใช่น่ะสิ ผมแซ่เหลิ่ง น่าจะเป็นตระกูลเหลิ่งที่เป็นญาติห่างๆที่เขาลือกัน แต่ว่าเปรียบเทียบกันแล้ว ว่าผมเป็นคนตระกูลเหลิ่งหรือเปล่า เรื่องที่เกิดขึ้นกับอี๋นั่วก่อนหน้านี้มันน่าสนใจมากกว่าไม่ใช่เหรอ ผมล่ะอยากจะรู้จริงๆ”

“ก็ไม่ใช่ว่าจะพูดไม่ได้ อี๋นั่วไม่ได้ผิดอะไรเลยสักนิด ในทางกลับกันคนที่ผิดคือพวกเรา”

เป๋าฮุ่ยเอ๋อร์พูดเสียงเบา:“เรื่องนี้มันกดทับในใจฉันมานานแล้ว แล้วฉันก็อยากจะพูดออกมานานแล้วด้วย ฉันไม่กลัวที่จะพูดให้คนอื่นฟังหรอกนะ ฉันดีใจมากจริงๆที่วันนี้สามารถเชิญอี๋นั่วมาได้ ฉันรู้สึกว่าในใจตัวเองไม่เคยรู้สึกโล่งเท่านี้มาก่อน”

เป๋าฮุ่ยเอ๋อร์พูด แล้วยกมือขึ้น จัดการผมที่หล่นลงมา เธอเปิดข้อมือของตัวเอง ด้านบนมีรอยกรีดที่เห็นได้ชัด ดูแล้วเป็นรอยแผลเป็นที่เกิดจากการกรีดข้อมือหลายครั้ง

เจี่ยนอี๋นั่วมองหวังเหมี่ยน เห็นว่าหวังเหมี่ยนมองเป๋าฮุ่ยเอ๋อร์ด้วยความห่วงใย ไม่มีวี่แววว่าจะห้ามเป๋าฮุ่ยเอ๋อร์เลยสักนิด เจี่ยนอี๋นั่วหายใจเข้าลึกๆ หลังจากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไร

“พวกเรานั่งคุยกันเถอะ” เป๋าฮุ่ยเอ๋อร์พูดเบาๆ

เป๋าฮุ่ยเอ๋อร์พูดแล้วหมุนร่าง เดินกลับไปที่โซฟากับหวังเหมี่ยน เห็นว่าทุกคนนั่งลง เจี่ยนอี๋นั่วก็เดินมานั่งลงข้างโซฟาด้วย และเหลิ่งหมิงอันเห็นว่าเจี่ยนอี๋นั่วนั่งลง ก็ยิ้มแล้วมานั่งข้างๆเธออีกที หลังจากที่ฉู่หมิงเซวียนเห็นว่าเหลิ่งหมิงอันนั่งลงข้างเจี่ยนอี๋นั่ว ก็ทำได้แค่นั่งลงตรงข้ามกับโซฟา

เจี่ยนอี๋นั่วระงับความเบื่อที่อยู่ในใจ มองไปทางเป๋าฮุ่ยเอ๋อร์ เธอไม่เข้าใจว่าสถานที่ที่นัดเพื่อนร่วมงานทางธุรกิจมาแบบนี้ เป๋าฮุ่ยเอ๋อร์ต้องการจะทำอะไรกันแน่?

เห็นได้ชัดว่าเป๋าฮุ่ยเอ๋อร์ตื่นเต้นเล็กน้อย ตอนที่มือของเธอถูกหวังเหมี่ยนจับไว้ เธอถึงเงยหน้ามองมาทางเจี่ยนอี๋นั่ว สูดหายใจเข้าสร้างกำลังใจให้ตัวเองแล้วพูดเสียงเบา:“ความจริงแล้วฉันอยากจะเจอเธอมาตลอด แต่ก็ไม่กล้าพอ ตอนนั้นพวกเราทำเรื่องเกินไปจริงๆ พวกเราขี้ขลาดเกินไปจริงๆ ก็เลยทำให้เธอกล้ำกลืนกับความไม่เป็นธรรมอยู่หนึ่งปีเต็ม”

เจี่ยนอี๋นั่วหรี่ตาลง ใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มอยู่:“คุณนายหวังพูดเกินจริงไปนะคะ”

“ไม่เลย ไม่ได้เกินจริง” เป๋าฮุ่ยเอ๋อร์ส่ายหน้าแล้วพูด:“เธอทำไปเพราะหวังดีกับพวกเราแท้ๆ”

“ตกลงมันเรื่องอะไรกันแน่?” เหลิ่งหมิงอันขมวดคิ้วถาม:“ฟังแล้วผมยิ่งอยากรู้เข้าไปทุกที”

เป๋าฮุ่ยเอ๋อร์ขมวดคิ้ว เหมือนว่ากำลังย้อนนึกถึงอดีตที่ตัวเองไม่อยากจะนึกถึงเลย เสียงของเธอกดต่ำมาก เหมือนกับว่าบีบออกมาจากกล่องเสียง:“ตอนนั้นพวกเราพึ่งจะขึ้นม.5กัน ครูที่ปรึกษาของพวกเราเป็นวัยกลางคนอายุประมาณสี่สิบกว่าปี ระดับความสามารถทางคณิตศาสตร์สูงมาก ขอแค่เป็นนักเรียนในความดูแลของเขา ก็ล้วนแต่ได้เข้ามหาลัยที่ดีๆกันทั้งนั้น เขาเข้มงวดกับนักเรียนมาก แต่จะอ่อนโยนกับผู้หญิง มักจะเรียกนักเรียนผู้หญิงมาติวเพิ่มอยู่บ่อยๆ แต่เขาจะเรียกไปทีละคน……”

เป๋าฮุ่ยเอ๋อร์พูดถึงตรงนี้ มือก็สั่นแล้วจับเข้าหากัน มือซีดเล็กน้อย:“มองเผินๆเห็นว่าเขาพูดว่าจะติวเพิ่มให้นักเรียนหญิง แต่นักเรียนผู้หญิงที่เข้าไปในห้องทำงานของเขาแล้วต่างก็รู้ว่าเขาทำอะไร”

เป๋าฮุ่ยเอ๋อร์พูดถึงตรงนี้ตาก็เริ่มแดงขึ้นมา เสียงรอบข้างก็เงียบลง หวังเหมี่ยนรีบจับมือของเป๋าฮุ่ยเอ๋อร์ไว้ พูดเสียงเบา:“ไม่เป็นไรนะ”

เป๋าฮุ่ยเอ๋อร์รีบส่ายหน้า:“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันอยากจะพูดออกมา ไหนๆเรื่องมันก็เกิดขึ้นแล้ว ฉันไม่อยากจะหนีอีกแล้ว”

เป๋าฮุ่ยเอ๋อร์พูด แล้วชำเลืองมองไปยังคนที่อยู่รอบๆ พูดเสียงเบา:“ในจำนวนนั้นรวมถึงฉันด้วย ผู้หญิงในห้องพวกเราผ่านประสบการณ์มาเกือบจะเหมือนๆกัน แต่ทุกคนต่างก็เลือกที่จะเงียบไว้ เพราะในมือของเขามีรูปที่สามารถขู่พวกเราได้อยู่ อีกอย่างพวกเราต่างก็กลัวเขามาก รู้สึกว่าอับอายมาก มันไม่เหมือนกับการทำลายชีวิตที่สงบเหมือนในตอนแรก เขาดูเข้าใจความคิดของพวกเรา เพิ่มความบุ่มบ่ามเข้าไปอีก แต่ก็รู้ว่ามีครั้งหนึ่งที่เขาเรียกเจี่ยนอี๋นั่วเข้าไปในห้องทำงาน ก่อนหน้านี้เขาก็เหมือนจะรู้ว่าเจี่ยนอี๋นั่วมีคนอยู่เบื้องหลังพอสมควร แต่ไหนแต่ไรมาไม่กล้าจะแตะต้องเธอ แต่ก็ดูออกว่าเขาเล็งเธอมาตลอด หลังจากนั้นเจี่ยนอี๋นั่วกลับแทงเขาจนบาดเจ็บ วิ่งออกมาจากห้องทำงาน แถมยังแจ้งทางโรงเรียนให้ทราบอีก”

“มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นด้วยเหรอ?” เหลิ่งหมิงอันหันหน้าไปมองเจี่ยนอี๋นั่ว พูดเสียงเบาใกล้ๆกับเจี่ยนอี๋นั่ว:“ดูแล้วแสบตั้งแต่เด็กเลยนะ ผมควรจะขอบคุณคุณใช่ไหมที่ตอนนั้นไม่เอามีดแทงผม?”

เจี่ยนอี๋นั่วไม่ได้ตอบ แค่ก้มหน้าก้มตาลง ภายนอกดูไม่ออกว่ารู้สึกอย่างไร

เป๋าฮุ่ยเอ๋อร์มองเจี่ยนอี๋นั่วที่ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับ ก็ก้มตาลง แล้วพูดเบาๆ:“แต่คุณครูคนนั้นเขามีคนให้ท้ายมากอยู่นะ หลังจากที่ทางโรงเรียนรู้ ก็ไม่ได้เข้ามายุ่งเรื่องนี้ ในทางกลับกันอยากจะปิดเรื่องนี้ไว้ อีกทั้งลงโทษเจี่ยนอี๋นั่วอีกด้วย พวกเราทุกคนรู้ว่าบ้านของเจี่ยนอี๋นั่วพอมีฐานะอยู่บ้าง ในใจคิดว่าบางทีเธออาจจะย้ายโรงเรียน หรือไม่ก็ย้ายห้อง หรือบางทีอาจจะบอกพ่อของเธอให้จัดการเรื่องนี้ แต่เธอกลับอยู่ต่อ แล้วนับตั้งแต่นั้นมาเธอก็ถูกคุณครูคนนั้นเหน็บแนมบ้างรังแกบ้าง ส่วนพวกเราเป็นเพราะกลัวคุณครูคนนั้น ก็เลยต้องจำใจแกล้งเธอ จนถึงงานเลี้ยงของโรงเรียนตอนปลายปี จนกระทั่งบรรดาผู้ปกครองถูกเชิญมาที่โรงเรียนเพื่อดูการแสดงของนักเรียน รายการเพลงที่เปิดเดิมทีควรจะเป็นดนตรีเต้นรำก็ถูกเปลี่ยน เปลี่ยนเป็นบทสนทนาระหว่างคุณครูคนนั้นกับผู้อำนวยการโรงเรียน ทุกอย่างถูกเผยแพร่ออกมา ที่จริงแล้วผู้อำนวยการโรงเรียนกับคุณครูคนนั้นเขาสมรู้ร่วมคิดกันแกล้งนักเรียนหลายคน”

เป๋าฮุ่ยเอ๋อร์พูดถึงตรงนี้ ร่างกายก็ค่อยๆสั่นเทา สะอึกสะอื้นพูดว่า:“เรื่องนี้ถูกเปิดโปงออกมา พวกเราต่างก็รู้ว่าเป็นเจี่ยนอี๋นั่วที่ทำเรื่องนี้ขึ้น เธออดทนมานานก็เพื่อเปิดเผยเรื่องนี้ ผู้ปกครองทุกคนต่างก็โกรธมาก ต้องการคำอธิบายจากโรงเรียน นั่นคือโรงเรียนมัธยมที่ดีที่สุดในเมืองเชียวนะ ผู้ปกครองเขาก็ไม่ได้จ่ายเงินมาเพื่ออะไรแบบนี้ พวกเขาไม่เคยคิดว่าโรงเรียนจะใจกล้าขนาดนี้ ถึงกล้าทำเรื่องแบบนี้กับนักเรียนหญิง ไม่นานผู้อำนวยการโรงเรียนก็ถูกจัดการ คุณครูก็เช่นกัน ทุกอย่างก็เลยกลับเป็นปกติ หลังจากนั้นพวกเราและคนอื่นๆก็เข้าร่วมสอบเอ็นทรานซ์ด้วยกัน เหมือนกับว่าทุกๆคนจำช่วงเวลานั้นไม่ได้แล้ว แต่พวกเราไม่เคยลืม พวกเรายังคงจำได้ ไม่งั้นคงไม่นานขนาดนี้ที่พวกเราไม่ได้เจอกัน ฉัน……ถึงแม้ว่าเรื่องนี้ฉันจะเป็นผู้ถูกกระทำ แต่ฉันก็ถูกคุณครูคนนั้นกดดันให้ฉันทำเรื่องไม่ดีลงไป ถึงขนาดรวมตัวกับคนอื่นๆช่วยกันบีบคั้นอี๋นั่วของพวกเรา ตอนนี้ฉันก็ยังรู้สึกผิด ขอโทษนะ อี๋นั่ว เธอยกโทษให้ฉันเถอะ”

เป๋าฮุ่ยเอ๋อร์พูดจบ ทุกคนที่อยู่ที่นี่ต่างก็เงียบลง พวกเขาต่างก็ใช้สายตาสงสารมองไปยังเป๋าฮุ่ยเอ๋อร์ หลังจากนั้นก็หันหน้ามามองเจี่ยนอี๋นั่วอีกครั้ง เดิมทีเจี่ยนอี๋นั่วก็แค่คนทำธุรกิจทั่วๆไป ในวงการนี้เธอไม่ได้มีอะไรที่พิเศษ เธอมักจะแย่งชิงมาให้สุดความสามารถถ้าสิ่งนั้นเป็นประโยชน์ต่อเธอ เธอไม่มีทางปล่อยโอกาสที่สามารถทำให้บริษัทพัฒนาไปได้หรอก ตอนนี้ในเรื่องที่เป๋าฮุ่ยเอ๋อร์กำลังเล่านั้น เจี่ยนอี๋นั่วเป็นเหมือนฮีโร่คนหนึ่งที่เต็มไปด้วยความฉลาดและความกล้าหาญ ได้เผชิญหน้ากับความดำมืดของโรงเรียนลำพัง

บางคนก็นับถือเจี่ยนอี๋นั่ว ถึงขนาดที่ยกแก้วเหล้าขึ้นมาอย่างตื่นเต้น:“มา ให้พวกเราดื่มให้เจี่ยนอี๋นั่วสักแก้ว และหวังว่าคุณนายหวังจะกลับมาสดใสอีกครั้งในเร็ววัน เรื่องในอดีตก็ผ่านไปแล้ว คุณนายหวังก็เป็นผู้ถูกกระทำ ตอนนี้สามารถพูดมันออกมาต่อหน้าทุกคนอย่างไร้กังวลได้ ก็นับว่ากล้าหาญมากแล้ว”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มแล้วมองเป๋าฮุ่ยเอ๋อร์ หรี่ตาลง ยิ้มแล้วพูด:“ไม่ค่ะ ควรจะเป็นฉันดื่มให้คุณนายหวังก่อน ขอบคุณที่ผ่านไปนานขนาดนี้เธอยังจำฉันได้”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดแล้วยกแก้วเหล้าขึ้น เป๋าฮุ่ยเอ๋อร์รีบยกแก้วเหล้าขึ้นเหมือนกัน แล้วรีบพูดกับเจี่ยนอี๋นั่วว่า:“แค่เธอให้อภัยฉัน ฉันก็ดีใจมากแล้ว ขอบคุณนะ”

เป๋าฮุ่ยเอ๋อร์พูดจบ ก็ดื่มเหล้าหมดแก้ว ใบหน้าของเป๋าฮุ่ยเอ๋อร์ก็แดงขึ้นทันที แล้วค่อยๆล้มลงบนที่นั่ง พูดกับเจี่ยนอี๋นั่วว่า:“ขอโทษนะ ฉันไม่ชนะฤทธิ์เหล้า อี๋นั่ว เธอไปส่งฉันขึ้นไปพักผ่อนหน่อยได้ไหม? พวกเราไม่ง่ายเลยกว่าจะได้เจอกัน อยากจะคุยกับเธอหน่อย”

เจี่ยนอี๋นั่วยกมุมปากขึ้น ยิ้มแล้วพยักหน้า:“ได้สิ ฉันจะไปส่งเอง”

เจี่ยนอี๋นั่วเดินมาที่ข้างๆเป๋าฮุ่ยเอ๋อร์ พยุงเป๋าฮุ่ยเอ๋อร์เดินขึ้นไปข้างบน พอเดินมาถึงห้องนอนชั้นบน เป๋าฮุ่ยเอ๋อร์ก็ผลักเจี่ยนอี๋นั่วออก หลังจากที่ปิดประตูห้องแล้ว ก็ถอยหลังไปไม่กี่ก้าว ขมวดคิ้วแล้วพูดกับเจี่ยนอี๋นั่วว่า:“ทำไมเธอถึงเออออตามฉัน?”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มแล้วพูด:“เพราะที่เธอพูดเป็นเรื่องจริงจริงๆนี่ แต่พูดแค่ครึ่งหนึ่งเท่านั้น”

ริมฝีปากเป๋าฮุ่ยเอ๋อร์สั่น พูดเสียงเบา:“ฉัน……ฉันไม่ได้ตั้งใจ ฉันจะรู้ได้ไงว่าจะได้เจอเธออีกครั้ง? ฉันไม่รู้ว่าหวังเหมี่ยนจะทำธุรกิจร่วมกับเธอ ฉันแค่ถือโอกาสพูดก่อนที่เธอจะพูดถึงฉันในอดีต คนพูดก่อนมักจะได้เปรียบ แค่ฉันพูดออกมา พวกเขาก็เชื่อคำพูดฉันแล้ว ไม่ว่าเธอจะพูดอะไรคงไม่มีใครเชื่อเธอหรอก คนอื่นเขาไม่รู้สักหน่อยว่าในอดีตเกิดเรื่องอะไรขึ้น……”

“ใช่ ใครจะไปคิดว่าคุณนายหวังที่ภายนอกอ่อนโยนจิตใจดีจะผ่านเรื่องบิดเบือนขนาดนั้นมา เป็นผู้ถูกกระทำ ถ้าเทียบกับคนที่เป็นฝ่ายกระทำแล้ว ทำให้คนสงสารง่ายกว่าเยอะ และทำให้มีชีวิตต่อไปได้ง่ายกว่าจริงๆ” เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มแล้วหรี่ตาลง

จู่ๆเป๋าฮุ่ยเอ๋อร์ก็เงยหน้าขึ้น ใช้สายตาที่โหดเหี้ยมที่ไม่เหมือนกับบุคลิกอ่อนโยนภายนอกโดยสิ้นเชิงมองเจี่ยนอี๋นั่ว:“ทำไมเธอยังเป็นแบบนี้อยู่อีก? เจี่ยนอี๋นั่วทำไมเธอต้องเป็นข้อยกเว้น พวกนักเรียนหญิงต่างก็ถูกเหยียดหยามกัน ทำไมเขาถึงไม่กล้าแตะต้องเธอ? ทำไมพอเขาแตะต้องเธอ เธอต้องต่อต้านด้วย? ทำไมเธอไม่เหมือนพวกเรา? ทำไมเธอต้องทำเรื่องให้มันใหญ่โต? ทำให้พวกเรากลายเป็นตัวตลก? ตอนนี้พวกเราต่างก็มีชีวิตอยู่ในเงามืด ทำไมเธอถึงมีชีวิตอยู่อย่างสง่าผ่าเผยขนาดนั้น? ทำไมต้องเป็นเธอทุกครั้ง? เธอมักจะเป็นกรณีพิเศษงั้นเหรอ?”

หนี้รัก วิวาห์จำเป็น

หนี้รัก วิวาห์จำเป็น

Status: Ongoing
เหลิ่งเซ่าถิง เป็นบอสใหญ่ที่กุมอำนาจทั้งหมดของบริษัทไว้ในมือ เป็นบุคคลสำคัญของธุรกิจ ซ้ำยังมีหน้าตาที่หล่อเหลา แต่เขากลับต้องมาประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ต้องมีสภาพกลายเป็นผัก เจี่ยนอี๋นั่ว เป็นลูกสาวของประธานแห่งเจี่ยนกรุ๊ป เรียนจบจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง นิสัยอ่อนโยน และรักกับแฟนหนุ่มมา3ปีแล้ว แต่เพราะอาการป่วยของพ่อ ทำให้เจี่ยนกรุ๊ปล้มละลาย เธอต้องแบกรับหนี้หลายสิบล้านเพียงชั่วข้ามคืน ดังนั้นภายใต้เหตุการณ์ทั้งสองเหตุการณ์นี้ ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วต้องมาเป็นภรรยาถูกต้องตามกฏหมายของเหลิ่งเซ่าถิง ซึ่งเธอไดแต่คิดว่าจะต้องอยู่กับคนที่สภาพเหมือนผักแบบนี้ไปตลอดชีวิต แต่กลับไม่รู้ว่าเขานั้นฟื้นแล้ว และแค่รอให้ ‘ปฏิหาร’เกิดขึ้นอีกครั้ง………

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท