หนี้รัก วิวาห์จำเป็น – บทที่ 64 ไม่ขอตอบได้ไหมคะ?

หนี้รัก วิวาห์จำเป็น

เหลิ่งเซ่าถิงสวมกอดเจี่ยนอี๋นั่วไว้นานมาก นานจนเจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะคิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับเหลิ่งเซ่าถิงหรือเปล่าทำไมถึงดูแปลกไป?ต้องสวมกอดเธอขนาดนี้เลยเหรอ?อ้อมกอดแบบนี้มันทำให้เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าเหลิ่งเซ่าถิงได้เสียเธอไปแล้ว แล้วได้เธอกลับคืนมายังไงอย่างงั้นแหละ แต่ว่าเจี่ยนอี๋นั่วกลับคุ้นเคยการกับที่เหลิ่งเซ่าถิงทำเย็นชาและเมินเฉยต่อเธอซะมากกว่า และสำหรับคนอย่างเหลิ่งเซ่าถิง น่าจะมองเจี่ยนอี๋นั่วเป็นหมอนซะมากกว่าที่ถูกมองว่าเป็นของล้ำค่า

เจี่ยนอี๋นั่วไม่เคยคิดจะผลักเหลิ่งเซ่าถิงออกจากกายเลย และในคืนนั้นที่อยู่ด้วยกันกับเหลิ่งหมิงอัน เจี่ยนอี๋นั่วได้เรียนรู้ความจริงจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น ถึงแม้ผู้ชายในตระกูลเหลิ่งจะลงมือฆ่าเธอตอนไหนก็ตาม อย่าไปขัดขืนพวกเขาและอย่าไปกระตุกหนวดเสือ ไม่อย่างงั้นพวกเขาจะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้

และแล้วเหลิ่งเซ่าถิงก็ปล่อยเจี่ยนอี๋นั่ว เจี่ยนอี๋นั่วก็รู้สึกโล่งอกโล่งใจทันที เงยหน้าขึ้นมองเหลิ่งเซ่าถิงเม้มริมฝีปากไว้แน่น ไม่ว่าการสวมกอดในครั้งนี้จะแฝงไว้ด้วยความหมายอะไรก็ตาม อย่างน้อยคำพูดของเธอก็ไม่ทำให้เหลิ่งเซ่าถิงโมโห ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วค่อยสบายใจหน่อย

“เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ มีแค่นี้เองเหรอ?”เหลิ่งเซ่าถิงคิ้วขมวดถามด้วยน้ำเสียงเบา:“นอกเหนือจากนี้ยังมีอีกไหม?”

เจี่ยนอี๋นั่วก้มหัวลงครุ่นคิดชั่วขณะ เดิมทีเธอไม่อยากเล่าเรื่องราวอดีตที่ผ่านมาในสมัยเรียนมัธยมปลายแล้ว แต่เธอแค่อยากให้เหลิ่งเซ่าถิงสงสารเธอหน่อย และเพื่อทำให้เหลิ่งเซ่าเกิดความสงสารและเกิดความเห็นอกเห็นใจ จะได้ไม่สืบหาหรือสอบถามข้อมูลอะไรจากเธออีก

หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วเม้มริมฝีปากอย่างแรงพูดด้วยน้ำเสียงเบา:“และอีกอย่างเจ้าภาพงานเลี้ยงที่ฉันไปเข้าร่วมนั้น ภรรยาของเขาเป็นเพื่อนของฉันสมัยเรียนมัธยมปลาย ชีวิตสมัยเรียนมัธยมปลายมันไม่น่าจดจำเอาซะเลย โดนคนกลั่นแกล้งตลอด ฉันไม่กล้าที่จะเล่าให้ใครฟัง อาจเป็นเพราะว่าประสบการณ์ที่ไม่ดีเหล่านั้นมันทำให้ฉันกลายเป็นคนขี้ขลาด……”

“เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสมัยเรียนมัธยมปลายของคุณนั้น ผมรู้เรื่องตั้งนานแล้ว มันก็ไม่ได้ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร และในตอนนี้คุณยังดูเหมือนเป็นคนขี้ขลาดอยู่อีกเหรอ? ถ้าเป็นคนที่ขี้ขลาดจริงๆคงไม่กล้าย่างกรายเข้าคฤหาสน์เหลิ่งแน่นอน”

เหลิ่งเซ่าถิงหน้าตาคิ้วขมวด หลังจากที่ตัดบทพูดของเจี่ยนอี๋นั่วด้วยท่าทางที่เย็นชา คิ้วขมวดถามด้วยน้ำเสียงเบา:“เขาจูบคุณยังไง?”

เจี่ยนอี๋นั่วคิดไม่ถึงว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะกล้าถามคำถามแบบนี้ หลังจากที่เธออึ้งไปสักครู่ ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเบา:“ก็จูบแบบนั้นแหละ ก็จูบเหมือนทั่วๆไปนั่นแหละ”

“จูบแบบไหนกันล่ะ?พูดให้ชัดเจนหน่อยสิ”เหลิ่งเซ่าถิงถามต่อด้วยน้ำเสียงเย็นชา

เดิมทีเจี่ยนอี๋นั่ววิตกกังวลใจมากตอนนี้กลับไม่หลงเหลือแล้ว หลงเหลือเพียงแต่ความอายและทำตัวไม่ถูก เหลิ่งเซ่าถิงต้องการให้เธอเล่าอย่างละเอียดว่าเธอจูบกับเหลิ่งหมิงอันยังไง อย่างนั้นเหรอ?เจี่ยนอี๋นั่วเม้มริมฝีปากไว้แน่น พูดด้วยน้ำเสียงเบา:“ไม่ขอตอบได้ไหมคะ?”

เหลิ่งเซ่าถิงทำท่าหรี่ตา:“คุณสามารถเป็นคนเริ่มจูบเหลิ่งหมิงอันก่อน แค่ข้อเสนอของผมแค่นี้คุณยังให้ไม่ได้เลยเหรอ?”

เจี่ยนอี๋นั่วทำท่าคิ้วขมวดพร้อมพูดขึ้นว่า:“ก็จูบแบบนี้แหละ ริมฝีปากแนบริมฝีปาก หลังจากนั้น ……”

“หลังจากนั้น?”เหลิ่งเซ่าถิงคิ้วขมวดทันที:“ยังมีหลังจากนั้นต่ออีกเหรอ?”

เจี่ยนอี๋นั่วเงยหน้ามองไปทางเหลิ่งเซ่าถิง รู้ว่าตัวเองกำลังพูดไปเรื่อยแล้ว อาการเขินอายหน้าแดงขึ้นมาทันทีพยักหน้าตอบรับ :“ไม่มี หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกแล้ว”

เหลิ่งหมิงอันท่าทางคิ้วขมวดจ้องมองเจี่ยนอี๋นั่ว :“ไม่ ยังมีอีก คุณเพิ่งพูดถึงเมื่อกี้นี้เองนะ”

เจี่ยนอี๋นั่วก้มหัวและคิ้วขมวด เธอโกธรตัวเองมากที่ไม่รู้จักคิดก่อนพูด เธอพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เบาว่า:“หลังจากนั้นเขา……ฉัน……ให้เล่ารายละเอียดเรื่องแบบนี้มันน่าขยะแขยงมากเลย ฉัน……”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบก็เงยหน้ามองไปทางเหลิ่งเซ่าถิง:“ขอไม่เล่ารายละเอียดเรื่องแบบนี้ต่อได้ไหมคะ ไม่งั้นคุณก็ฆ่าฉันทิ้งซะเถอะ ความรู้สึก ณ เวลานี้อึดอัดกว่าเดิมอีก”

เดิมทีเจี่ยนอี๋นั่วคิดว่าจุดประสงค์ของเหลิ่งเซ่าถิงเพียงแค่ต้องการดูถูกเธอเท่านั้น ให้เธอเล่ารายเอียดเหตุการณ์ที่จูบกันในคืนนั้น แต่เธอกลับเห็นหน้าตาเหลิ่งเซ่าถิงที่มีแต่ความสงสัยและอาการที่อยากรู้อยากเห็น อาการแบบนี้ของเหลิ่งเซ่าถิงแสดงออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน เจี่ยนอี๋นั่วไม่กลัวที่จะคิดไปไกล คนอย่างเหลิ่งเซ่าถิงไม่เคยจูบกับใครเลยจริงๆเหรอเนี่ย ? เขาไม่รู้วิธีการจูบจริงๆเหรอ เขาถึงถามละเอียดขนาดนี้?

แต่เหลิ่งเซ่าถิงไม่ได้คบอยู่กับหลิวจื่อซิงหรอกเหรอ?หรือที่เขาและหลิวจื่อซิงคบกันแค่พูดคุยกันเท่านั้นเองเหรอ ?เวลานี้เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกเห็นอกเห็นใจหลิวจื่อซิงขึ้นมาทันที หลิวจื่อซิงเป็นแฟนเก่าที่น่าสงสารจริงๆ?

“คุณไม่รู้จริงๆเหรอว่า ควรจะเริ่มต้นจูบยังไง?คุณไม่เคยจูบใครมาก่อนเลยเหรอคะ?เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกประหลาดใจเอามากๆ จนทนไม่ไหวที่จะถาม

คิดไม่ถึงจริงๆเลยนะ คุณชายใหญ่แห่งตระกูลเหลิ่ง ทายาทคนต่อไปของตระกูลเหลิ่ง กลับไม่เคยผ่านการจูบมาก่อน?

เหลิ่งเซ่าถิงค่อยๆคิ้วขมวด:“ฉันจำเป็นต้องรู้ด้วยเหรอ?ทำไมต้องเคยผ่านการจูบมาก่อนด้วยล่ะ?”

นึกแล้วเชียวว่าต้องไม่เคยผ่านการจูบมาก่อน!

เจี่ยนอี๋นั่วเบิ่งตาโตจ้องมองเหลิ่งเซ่าถิง ราวกับว่ากำลังจ้องมองสัตว์ประหลาดยังไงอย่างนั้น เหลิ่งเซ่าถิงเพียบพร้อมทั้งรูปร่างหน้าตา อายุ ฐานะทางบ้าน และชาติตระกูล ไม่เคยผ่านการจูบมาก่อน แสดงได้ว่าเขาไม่เคยให้โอกาสผู้หญิงคนไหนเลย เป็นผู้ชายก็ต้องมีเรื่องแบบนี้กันบ้างสิ โดยเฉพาะผู้ชายวัยรุ่นที่มีความอยากรู้อยากเห็นและอยากลอง และนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับสัตว์ แต่เหลิ่งเซ่าถิงอายุมากแล้ว กลับไม่เคยผ่านการจูบผู้หญิงมาก่อน หรือเป็นเพราะว่าเขาชอบผู้ชาย?

เจี่ยนอี๋นั่วคิดเรื่องราวถึงตรงนี้ก็รู้สึกว่ามันต้องเป็นในแบบที่เธอคิดไว้ไม่มีผิด ถึงว่าล่ะทำไมเวลาเธอถูกเหลิ่งเซ่าถิงนอนกอดตลอด แต่เหลิ่งเซ่าถิงกลับไม่มีความรู้สึกใดๆเลย ถึงจะเป็นผู้ชายที่เย็นชาขนาดไหน การที่กอดผู้หญิงคนหนึ่งอย่างน้อยก็ต้องมีปฏิกิริยาและใจเต้นแรงบ้างแหละ แต่ว่าเหลิ่งเซ่าถิงทำราวกับว่าเธอเป็นแค่หมอน การคบกันระหว่างหลิวจื่อซิงและเหลิ่งเซ่าถิง แต่กลับมีความสัมผัสลับๆกับเหลิ่งหมิงอัน และนี่ก็คือสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้เหลิ่งเซ่าถิงไปหลงรักผู้ชายและไม่สนใจใยดีเธอนั่นเอง ถ้าไม่อย่างนั้นผู้ชายอย่างเหลิ่งเซ่าถิงที่เพียบพร้อมขนาดนี้ ใครจะปล่อยให้หลุดมือไปง่ายๆล่ะ

หลิวจื่อซิงดูยังไงก็ไม่เหมือนเจี่ยนอี๋นั่วที่เป็นคนที่คิดหน้าคิดหลังอยู่เสมอ เธอกังวลใจอยู่ตลอดว่าถ้าเกิดมีการต่อสู้กันในตระกูลเหลิ่งขึ้นมาจริงๆ กลัวว่าจะกระทบต่อครอบครัวของเธอนั่นเอง

แต่คืนก่อนหลังจากที่เหลิ่งเซ่าถิงกลับจากที่ทำงาน บนตัวของเขามีกลิ่นน้ำหอมและมีรอยลิปสติกติดอยู่บนเสื้อ แล้วนั่นมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?หรือนั่นมันไม่ใช่ความจริง ? ความจริงคือเหลิ่งเซ่าถิงรักผู้ชายแต่ไม่กล้าพูดความจริงกับเธอ ดังนั้นอยากให้เธอรู้ถอยยามลำบาก?

“คุณคะ กลิ่นน้ำหอมและรอยลิปสติกบนเสื้อของคุณในวันนั้น คุณเป็นคนทำมันขึ้นมาเองเหรอคะ?”เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะถาม

“คุณเป็นอะไร……”เหลิ่งเซ่าถิงพูดถึงนี่ก็ค่อยๆหยุดชะงัก จากนั้นดวงตาเป็นประกายชั่วขณะจ้องมองเจี่ยนอี๋นั่วท่าทางคิ้วขมวด :“มันไม่เกี่ยวข้องอะไรกับคุณ”

เจี่ยนอี๋นั่วจ้องมองเหลิ่งเซ่าถิงดูจากท่าทางแล้วดูออกทันทีว่าเหลิ่งเซ่าถิงกำลังพูดโกหก ถ้าหากเขาเคยคบกับผู้หญิงจริงๆ บนตัวของเขาต้องมีกลิ่นน้ำหอมและรอยลิปสติกที่มากกว่านี้แน่นอน และเขาคงจำไม่ได้ว่าเป็นครั้งไหน และเมื่อเขาอยู่ต่อหน้าเจี่ยนอี๋นั่วที่เป็นแค่คู่สมรสตามหนังสือสัญญาเท่านั้น เหลิ่งเซ่าถิงไม่จำเป็นต้องปิดบัง

แต่เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วแค่เอ่ยเรื่องในวันนั้น เหลิ่งเซ่าถิงก็เข้าใจทันทีว่าเจี่ยนอี๋นั่วพูดถึงวันไหน และยิ่งทำท่าปฏิเสธทันที สำหรับอาการท่าทางที่เหลิ่งเซ่าถิงปฏิเสธทันทีนั้นก็แสดงให้เห็นว่า การที่มีกลิ่นน้ำหอมและรอยลิปสติกในครั้งนั้นเขาจดจำมันได้ดี และนั่นก็เป็นสิ่งที่เหลิ่งเซ่าถิงทำขึ้นมาเอง

และแล้วทุกอย่างก็เปิดเผยสักที ทันใดนั้นเจี่ยนอั๋นั่วรู้สึกยกภูเขาออกจากอก เธอเป็นผู้หญิงที่ขาดความมั่นใจในตัวเอง เธอมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดสนิทสนมกับเหลิ่งเซ่าถิงขนาดนั้น เป็นไปได้เหรอที่เหลิ่งเซ่าถิงจะไม่มีความรู้สึกอะไรกับเธอเลยสักนิด ในความเป็นจริงนั้นยังทำให้เธอขาดความมั่นใจมากขึ้นอีกด้วย แต่ถ้าหากเหลิ่งเซ่าถิงชอบผู้ชาย ถ้าเป็นอย่างงั้นมันก็ไม่มีปัญหาอะไรอีก

เหลิ่งเซ่าถิงปฏิเสธเธอ ไม่ใช่เพราะเธอเป็นผู้หญิงที่ไม่มีเสน่ห์ แต่เป็นเพราะเขาชอบผู้ชายนั่นเอง เจี่ยนอี๋นั่วก็ยอมรับได้อย่างรวดเร็วและสามารถสร้างความมั่นใจให้กับตัวเธอเองด้วย ถึงแม้ว่าเดิมทีคุณนายเหลิ่งจะรั้งให้เธออยู่ต่อ แต่เจี่ยนอี๋นั่วกลับพบสาเหตุที่แท้จริง นั่นก็คือการที่เหลิ่งเซ่าถิงจะหาผู้หญิงคนใหม่ได้นั้น มันเป็นเรื่องที่ทำได้ยากมากที่ผู้หญิงจะยอมมีลูกให้กับเขา และยังต้องยอมรับได้ว่าสามีของตัวเองเป็นพวกรักร่วมเพศ

เวลานี้ในแววตาของเจี่ยนอี๋นั่วที่จ้องมองเหลิ่งเซ่าถิงรู้สึกเห็นอกเห็นใจ และรู้สึกเหลิ่งเซ่าถิงเป็นคนที่น่าสงสารเอามากๆ เขาเป็นทายาทคนเดียวของตระกูลเหลิ่ง คงไม่อยากให้เรื่องของตนเองที่เป็นพวกรักร่วมเพศเป็นที่เปิดเผยไปสู่สาธารณะหรอก เหลิ่งเซ่าถิงเสียคุณพ่อและคุณแม่ไปตั้งแต่ยังเด็ก พอโตขึ้นแล้วเกิดหลงรักผู้ชาย อีกทั้งเป็นเพราะฐานะของตัวเองไม่สามารถที่จะเปิดเผยได้ ถึงว่าล่ะทำไมถึงเป็นคนเย็นชาขนาดนี้ ? คนที่โดนกดดันที่จะต้องปกปิดความรู้สึกของตัวเองว่าเป็นพวกรักร่วมเพศ เธอเข้าใจแล้วทำไมเขาต้องใช้คำพูดคำจาที่ทำร้ายจิตใจเธอตั้งแต่รู้จักกันครั้งแรก เพราะถูกกดดันจากที่เขาเป็นพวกรักร่วมเพศ และเป็นไปได้ว่าเขาอาจเห็นผู้หญิงเป็นศัตรูเพราะอิจฉาผู้หญิงเหล่านั้นที่สามารถคบกับชายที่เป็นคนรักได้อย่างเปิดเผย

เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากที่เธอโดนบูลลี่เมื่อสมัยเรียนมัธยมปลาย เธอได้อ่านหนังสือแนวจิตวิทยามามากมาย ถ้าไม่อย่างงั้นเธอคงทายไม่ถูกหรอกว่าเหลิ่งเซ่าถิงเป็นพวกรักร่วมเพศ

“คุณกำลังคิดอะไรอยู่?คุณไม่เชื่อในสิ่งที่ผมตอบไปเมื่อกี้นี้ใช่ไหม?”เหลิ่งเซ่าถิงหน้าคิ้วขมวดถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา

เจี่ยนอี๋นั่วถอนหายใจเฮือก วางมือบนไหล่ของเหลิ่งเซ่าถิง และความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจ พูดด้วยน้ำเสียงเบาว่า:“ฉันรู้ว่าในสิ่งที่คุณพูดมาทั้งหมดมันคือความจริง ฉันเข้าใจ คุณวางใจเถอะ และฉันเชื่อสิ่งที่คุณพูดและฉันก็เชื่อในตัวคุณ ”

เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าเหลิ่งเซ่าถิงน่าสงสารมาก ตัวเขาเองรู้สึกเก็บกดมานานแค่ไหนแล้ว และบังคับตัวเองมานานแค่ไหนแล้ว ดังนั้นแม้แต่การจูบก็ยังไม่เคยลองสักที

เป็นเพราะว่าเหลิ่งเซ่าถิงมีประสบการณ์ในการคบหาผู้หญิงน้อยมาก เขาเดาไม่ออกเลยว่าผู้หญิงนั้นเดาใจยากขนาดไหน เขาเหลือบมองมือเจี่ยนอี๋นั่วที่อยู่บนไหล่ของเขา รู้สึกได้ว่าเจี่ยนอี๋นั่วเชื่อใจเขาขนาดไหน เหลิ่งเซ่าถิงอดไม่ไหวหัวเราะออกมาเบาๆ จากนั้นรีบเก็บรอยยิ้มบนใบหน้าของตัวเอง แล้วพูดกับเจี่ยนอี๋นั่วด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา:“คุณยังไม่ได้ตอบคำถามฉันเลย คุณจูบการเหลิ่งหมิงอันยังไง”

ก่อนหน้านี้เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าตัวเองนั้นโดนดูถูก แต่หลังจากที่เธอคิดว่าเหลิ่งเซ่าถิงเป็นพวกรักร่วมเพศ เวลานี้เธอจ้องมองเหลิ่งเซ่าถิงกลับรู้สึกว่าเขาน่าสงสาร และการที่เหลิ่งเซ่าถิงถูกกดดันมากเกินไปทำให้เขารู้สึกแปลกใจและอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้มากขึ้น

เจี่ยนอี๋นั่วพูดว่า:“ถึงแม้ฟังแล้วมันอาจจะดูน่าขยะแขยง แต่ว่าถ้าได้ทำกับคนที่เรารัก มันก็รู้สึกดีไม่น้อย”

“นี่เป็นความรู้สึกของคุณที่มีต่อเหลิ่งหมิงอันเหรอ?”เหลิ่งเซ่าถิงหน้าตาเปลี่ยนเป็นเข้มขรึมถามด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา

“ไม่ใช่ค่ะ”เจี่ยนอี๋นั่วรีบส่ายหัวปฏิเสธทันที:“วินาทีนั้นฉันกลัวว่าฉันจะตาย ไม่มีกะจิตกะใจคิดเรื่องพวกนั้นหรอก?”

“แล้วถ้าทำกับฉู่หมิงเซวียนล่ะ?”หน้าตาเหลิ่งเซ่าถิงเข้มขรึมมากขึ้น

เจี่ยนอี๋นั่วก้มหัวลงส่ายหัวไปมา :“สำหรับคนอื่น”

เหลิ่งเซ่าถิงสีหน้าเปลี่ยนเป็นเข้มขรึมมากขึ้นไปอีก กัดฟันพร้อมพูดว่า:“คุณนี่ช่างเก็บซ่อนได้ดีจริงๆนะ ยิ่งขุดคุ้ยเท่าไหร่ก็ยิ่งขุดเจอผู้ชายมากขึ้นเท่านั้น คุณเคยคบกับฉู่หมิงเซวียนแค่คนเดียวไม่ใช่เหรอ ? ทำไมยังมีผู้ชายคนอื่นอีกล่ะ?”

หนี้รัก วิวาห์จำเป็น

หนี้รัก วิวาห์จำเป็น

Status: Ongoing
เหลิ่งเซ่าถิง เป็นบอสใหญ่ที่กุมอำนาจทั้งหมดของบริษัทไว้ในมือ เป็นบุคคลสำคัญของธุรกิจ ซ้ำยังมีหน้าตาที่หล่อเหลา แต่เขากลับต้องมาประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ต้องมีสภาพกลายเป็นผัก เจี่ยนอี๋นั่ว เป็นลูกสาวของประธานแห่งเจี่ยนกรุ๊ป เรียนจบจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง นิสัยอ่อนโยน และรักกับแฟนหนุ่มมา3ปีแล้ว แต่เพราะอาการป่วยของพ่อ ทำให้เจี่ยนกรุ๊ปล้มละลาย เธอต้องแบกรับหนี้หลายสิบล้านเพียงชั่วข้ามคืน ดังนั้นภายใต้เหตุการณ์ทั้งสองเหตุการณ์นี้ ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วต้องมาเป็นภรรยาถูกต้องตามกฏหมายของเหลิ่งเซ่าถิง ซึ่งเธอไดแต่คิดว่าจะต้องอยู่กับคนที่สภาพเหมือนผักแบบนี้ไปตลอดชีวิต แต่กลับไม่รู้ว่าเขานั้นฟื้นแล้ว และแค่รอให้ ‘ปฏิหาร’เกิดขึ้นอีกครั้ง………

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท