เจี่ยนอี๋นั่วเคยจูบกับชายอื่นมาก่อน และเคยสัมผัสถึงรสชาติของการจูบกับคนที่เรารักมันก็จะรู้สึกดีมากเลยมันรู้สึกสั่นไปทั้งหัวใจ แต่ไม่เคยผ่านการจูบแบบนี้เงอะงะอย่างนี้มาก่อน แต่กลับทำให้หัวใจของเธอหยุดเต้น
เจี่ยนอี๋นั่วไม่สามารถมีอาการตอบสนองใดๆ เธอกำลังอยู่ในอาการที่อึ้งอยู่ และไม่กล้าแสดงออกหรือโต้ตอบกลับใดๆ เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าเมื่อเธอลืมตาขึ้นเมื่อไหร่ เวลานั้นคงมีอะไรเกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิดแน่นอน โชคดีที่เหลิ่งเซ่าถิงไม่ได้ใมใช้เวลาในการจูบนานเกินไป เขาคงกลัวว่าเจี่ยนอี๋นั่งรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาเช่นกัน เขาจูบอี๋นั่วแปบเดียวก็รีบออกถอยห่างทันที
จากนั้นเจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกได้ว่าเหลิ่งเซ่าถิงลุกไปแล้ว เธอก็ค่อยๆสูดหายใจออกเบาๆด้วยความโล่งใจ ในระหว่างที่กำลังกลัดกลุ้มใจพฤติกรรมที่เหลิ่งเซ่าถิงทำอยู่นั้น เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกเหลิ่งเซ่าถิงค่อยๆเดินไปเดินมาอยู่ภายในห้อง ดูเหมือนเขากำลังกะวนกะวายใจไม่น้อย จากนั้นเขาก็นั่งลงข้างๆโต๊ะหนังสือ หรือเป็นเพราะว่าเหลิ่งเซ่าถิงรู้สึกผิดที่จูบเธอเมื่อสักครู่นี้เหรอ?
เจี่ยนอี๋นั่วคิดถึงนี่ก็คิ้วขมวดขึ้นมาทันที เธอคิดว่าเธอตัดสินใจถูกต้องแล้วในเวลานั้นเธอไม่ตื่นขึ้นมา ถ้าต้องเผชิญหน้ากันในสถานการณ์ที่เหลิ่งเซ่าถิงรู้สึกผิดในการกระทำของตัวเองแบบนี้ พวกเราทั้งสองคงทำตัวไม่ถูกแน่ๆ
หลังจากนั้นเหลิ่งเซ่าถิงก็ไม่กลับมาที่เตียงนอนอีกเลย เขานั่งอยู่ข้างๆโต๊ะหนังสือตลอด เจี่ยนอี๋นั่วก็ไม่ได้นอนพักทั้งคืนในสมองของเธอคิดแต่เรื่องราวของเธอและเหลิ่งเซ่าถิง และหลังจากที่เหลิ่งเซ่าถิงออกจากห้องไป เจี่ยนอี๋นั่วถึงกล้าลืมตาขึ้นมาแล้วลุกนั่งบนเตียง เธอรีบเอามือลูบที่ริมฝีปากของตัวเอง เธอยังคงสัมผัสได้ถึงรอยจูบที่เหลิ่งเซ่าถิงฝากไว้ในริมฝีปากของเธอ เธอไม่เข้าใจทำไมเหลิ่งเซ่าถิงถึงทำแบบนี้
หรือเป็นเพราะว่าเหลิ่งเซ่าถิงรักเธอเข้าแล้ว?
เจี่ยนอี๋นั่วรีบส่ายหัวไปมา รู้สึกว่ามันเป็นไปไม่ได้หรอกที่เหลิ่งเซ่าถิงจะมารักคนอย่างเธอ มันไร้สาระมากกว่าเรื่องที่เธอคิดว่าเหลิ่งเซ่าถิงเป็นพวกรักร่วมเพศเสียอีก หรือเขาแค่อยากรู้อยากลอง ที่จูบเธอเป็นเพราะต้องการฝึกฝนเหรอ? เผื่ออนาคตเวลาที่เขาเจอคนที่ใช่ เขาสามารถชำนาญในการจูบ และไม่ต้องกลัวว่าตัวเองแสดงความไม่รู้ออกมาและทำตัวโง่ ๆ เหรอ? หรือเป็นเพราะว่าเธอเคยเล่าเรื่องการจูบที่ผ่านของเธอให้เขาฟัง มันเลยทำให้เขาอยากรู้อยากลอง?
แต่ถ้าหากเป็นแบบนั้นจริงๆ ทำไมเหลิ่งเซ่าถิงต้องเดินหนี แล้วทำไมต้องเดินไปนั่งอยู่ข้างๆโต๊ะหนังสือด้วยล่ะ?
เจี่ยนอี๋นั่วหน้าคิ้วขมวด สมองของเธอหนักอึ้งและไม่สามารถหาคำตอบเรื่องที่ซับซ้อนให้กับตัวเองได้ วันนี้เธอยังมีหน้าที่ที่ต้องทำอีกหลายเรื่อง ทำได้เพียงหยุดคิดเรื่องนี้ไว้ก่อน พยายามหักห้ามใจตัวเองไม่ให้คิดเรื่องนี้อีก เจี่ยนอี๋นั่วยุ่งวุ่นวายทั้งวัน พอตกกลางคืนงานเลี้ยงก็เริ่มขึ้น เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกเหนื่อยล้าหน้ามืด ขนาดยืนยังแทบจะยืนไม่ไหวเลย
เจี่ยนอี๋นั่วตาเริ่มมัว เกือบจะเป็นลมล้มลงไป ทันใดนั้นมีมือของใครคนหนึ่งพยุงร่างของเธอไว้ เธอรีบหันหน้าไปมองด้วยรอยยิ้ม แต่พอเจี่ยนอี๋นั่วหันมองคนที่พยุงเธอกลับเป็นเหลิ่งหมิงอัน เธอก็ค่อยๆเก็บรอยยิ้ม พร้อมคิ้วขมวดพูดด้วยน้ำเสียงเบา:“ทำไมถึงเป็นคุณ?”
เจี่ยนอี๋นั่วคิดว่าคนที่พยุงเธอนั้นคือเหลิ่งเซ่าถิง เจี่ยนอี๋นั่วยุ่งกับการเตรียมงานเลี้ยงทั้งวัน และไม่มีเวลาเจอเหลิ่งเซ่าถิงเลย ถึงแม้เจี่ยนอี๋นั่วจะกลัวกับการเจอหน้าเหลิ่งเซ่าถิง แต่เหลิ่งเซ่าถิงพึ่งจะจูบเธอเอง เขากลับเงียบหายไปแบบนี้ ทำให้ในใจของเจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกอ้างว้าง
“เธอคิดว่าเป็นใคร? คิดว่าเป็นพี่ชายใหญ่เหรอ?”เหลิ่งหมิงอันเดินเข้าไปใกล้เจี่ยนอี๋นั่ว:“วางใจเถอะ เขาไม่มาหาเธอที่นี่หรอก ตอนนี้พี่ชายใหญ่กำลังอยู่ด้วยกันกับหลิวจื่อซิงอยู่”
เหลิ่งหมิงอันพูดจบ ยกมือชี้ไปทางบันได หัวเราะพูดขึ้นว่า:“เขาและหลิวขื่อซิงได้เลือกชุดราตรีที่สวยมากๆ พอถึงเวลางานเลี้ยงเริ่มขึ้น พวกเขาและคุณนายเหลิ่ง ก็เดินลงบันไดที่เธอเป็นคนจัดเตรียมไว้ จากนั้นพวกเขาก็จะเริ่มเต้นรำด้วยกันเพื่อเป็นการเปิดพิธี ถึงแม้ในนามแล้วคนที่จะเป็นคนเปิดพิธีงานเลี้ยงต้องเป็นคุณนายเหลิ่ง แต่พระเอกและนางเอกในงานคือพวกเขาทั้งสอง คุณนายเหลิ่งต้องการเปิดตัวให้คนรู้จักเหลิ่งเซ่าถิงมากขึ้น เพราะเหลิ่งเซ่าถิงป่วยติดเตียงไม่รู้สึกตัวมาแล้วหนึ่งปีเต็ม” ทุกอย่างรอบๆกายมันได้เปลี่ยนแปลงไปหมดแล้ว คุณนายเหลิ่งจำเป็นต้องให้เหลิ่งเซ่าถิงออกงานบ่อยๆ เพื่อให้คนรู้จักมากขึ้น นั้นมันเป็นทายาทผู้สืบทอดคนเดียวของตระกูลเหลิ่งฟื้นตืนมาเชียวนะ ลูกหลานที่เหลือในตระกูลเหลิ่งเป็นแค่ตัวแทนเท่านั้น มีเพียงเหลิ้งเซ่าถิงคนเดียวที่จะได้เป็นทายาทผู้สืบทอดตระกูลเหลิ่งจริงๆเท่านั้น และตอนนี้เขากลับมาแข็งแรงเหมือนเดิมแล้ว……”
“ขอบคุณมากนะคะที่อธิบายให้ฉันฟังเรื่องราวทั้งหมดนี้ให้ฟัง ถ้าหากพวกเขาเดินลงจากบันได นั่นก็หมายความว่าการที่พวกเขาเดินลงจากบันไดนั้นมันเป็นจุดสนใจของแขก ดูอีกทีดอกไม้ตรงบันไดยังต้องจัดใหม่อีกครั้ง ขอโทษนะคะ ขอตัวก่อนนะคะ ” เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบหัวเราะแล้วเดินจากไป
แต่หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วหันหลังก็เก็บรอยยิ้มทันที ในใจของเธอรู้สึกอึดอัดมาก ก่อนหน้านี้เธอรู้มาก่อนแล้วว่าหลิวจื่อซิงจะเป็นคู่ควงของเหลิ่งเซ่าถิง แต่เธอก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดใจขนาดนี้ แต่เมื่อวานเหลิ่งเซ่าถิงพึ่งจะจูบเธอ? มาตอนนี้เหลิ่งเซ่าถิงจะควงคนอื่นออกงาน เจี่ยนอี๋นั่วในใจรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาทันที และมันจุกอยู่ที่กลางอก
เจี่ยนอี๋นั่วหน้าคิ้วขมวด เดินไปถึงข้างบันได เธอจัดดอกไม้อีกครั้งอย่างระมัดระวัง ในระหว่างที่กำลังจัดดอกไม้อยู่นั้นคนรับใช้เดินเข้ามาพอดี ยิ้มและพูดกับเจี่ยนอี๋นั่วว่า:“คุณหญิงคะ งานเลี้ยงจะเริ่มขึ้นแล้วค่ะ คุณนายเหลิ่งสั่งให้คุณออกไปจากตรงนี้ค่ะ คุณสามารถไปช่วยตรงครัวได้นะคะ ตอนนี้ในครัวกำลังขาดคนพอดีค่ะ”
เธอเตรียมและจัดงานเลี้ยงมาทั้งวัน ตอนนี้จำเป็นต้องหลบออกไปอย่างนั้นเหรอ? ยังต้องไปห้องครัวอีกเหรอ? นี่จะกลายเป็นคนรับใช้แล้วจริงๆซินะ?
เจี่ยนอี๋นั่วใช้แรงเม้มปากอย่างแรง พยายามอดทนอดกลั้นพูดด้วยน้ำเสียงเข้มว่า:“ในเมื่อเป็นคำสั่งของคุณนายเหลิ่ง ฉันต้องทำตามคำสั่งแน่นอน ฉันจะออกไปเดี๋ยวนี้แหล่ะ”
เจี่ยนอี๋นั่วเดินไปจนถึงห้องครัว ด้านหน้าห้องโถงมันมีแค่กำแพงกั้นไว้เท่านั้น แต่ว่าเมื่อดนตรีในงานเริ่มบรรเลงขึ้น คนที่อยู่ในครัวทำได้เพียงแอบมองไปทางห้องโถงนั้น งานเลี้ยงในคืนนี้เป็นอาหารบุฟเฟ่ต์ อาหารตะวันตก จัดเตรียมไว้ตั้งแต่เช้าแล้ว งานในครัวมีแค่การเสิร์ฟพวกเครื่องดื่มเท่านั้น
“โอ้โห……คุณชายใหญ่กับคุณหนูหลิวเดินลงมาแล้ว คู่นี้ช่างเหมาะสมกันเหลือเกิน…….”
บางคนอดไม่ได้ที่จะเปล่งเสียงอุทานออกมาด้วยน้ำเสียงที่ตกอกตกใจ แต่ยังไม่ทันจะพูดจบ ก็มีคนรีบสกัดเอาไว้ หันหน้าไปเหลือบมองเจี่ยนอี๋นั่ว รีบร้อนพูดว่า:“อย่าพูดไปเรื่อยเปื่อย”
“โห……ขอโทษด้วยค่ะคุณผู้หญิง ดิฉันลืมไปค่ะว่าคุณยังอยู่นี่” คนๆนั้นพูดกับเจี่ยนอี๋นั่วด้วยน้ำเสียงที่เบา
ก่อนหน้านี้เจี่ยนอี๋นั่วไม่เคยได้รู้จักคุ้นเคยคนรับใช้ในคฤหาสน์ของตระกูลเหลิ่ง คิดว่าคนรับใช้ที่อยู่ในตระกูลเหลิ่งต้องเป็นคนที่มีมารยาทอย่างมาก บางครั้งดูแล้วเหมือนหุ่นยนต์ที่ไม่มีความรู้สึก เป็นเพราะเจี่ยนอี๋นั่วต้องจัดเตรียมงานเลี้ยง มันเลยทำให้เธอสนิทสนมกับคนรับใช้มากขึ้น และเธอก็ได้รู้ว่าคนรับใช้ในตระกูลเหลิ่งก็เหมือนคนปกติทั่วไป พูดได้หัวเราะได้ ทุกครั้งเป็นเพราะคำว่า“เจ้านาย”เลยไม่สามารถแสดงตัวตนที่แท้จริงออกมาได้
เจี่ยนอี๋นั่วหัวเราะรีบพยักหน้าตอบรับ:“ไม่เป็นไร นี่ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไรหรอก”
หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ ก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองไปทางห้องโถง เจี่ยนอี๋นั่วมองเห็นเหลิ่งเซ่าถิงใช่ชุดสูทสีดำทั้งชุด เขายืนอยู่กลางแสงไฟในห้องโถง คนที่ยืนอยู่ข้างๆของเหลิ่งเซ่าถิงคือหลิวจื่อซิง เธอสวมชุดราตรีสีฟ้า ใบหน้าของเธอมีร้อยยิ้มที่น่ารักน่าเอ็นดู ชุดราตรีที่ใส่นั้นเหมือนราวกับนางฟ้าที่ลอยลงมาจากฟากฟ้า
เหมาะสมกันจริงๆ เหมือนกิ่งทองกับใบหยก!
เจี่ยนอี๋นั่วกัดฟันและกำลังคิด แต่ถ้าหากเมื่อคืนเหลิ่งเซ่าถิงไม่ได้จูบเธอ และเขาไม่ใช่พวกรักร่วมเพศ เขาและหลิวจื่อซิงคงจะเป็นคู่ที่เหมาะสมกันมากจริงๆ
คิดถึงนี่ เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกเสียวฟันมาก จนเธอรู้สึกว่าฟันจะหักออกมา เจี่ยนอี๋นั่วยกมือขึ้นแตะที่หน้าผากของตัวเอง คิดอยากจะเดินหนี แต่วินาทีนั้นสายตาของเธอก็หยุดที่จะมองเหลิ่งเซ่าถิงและหลิวจื่อซิงไม่ได้ ในใจยังคิดอิจฉาตาร้อนและสาปแช่งอยู่:“รีบล้มซะ รีบล้มเถอะ หลิวจื่อซิงใส่ชุดราตรียาวขนาดนั้นคงเดินไม่สะดวก และน่าจะล้มได้ง่ายๆ ถ้าอย่างนั้นเธอคงขายขี้หน้าเอามากๆ”
แต่ว่าเมื่อเหลิ่งเซ่าถิงและหลิวจื่อซิงเดินลงมาจากบันไดนั้น ก็ไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ทุกอย่างราบรื่น มีเพียงเจี่ยนอี๋นั่วคนเดียวที่ยืนอยู่มุมมืดๆในห้องครัว มือแตะที่หน้าผากรู้สึกละอายใจที่เธอคิดอิจฉาริษยา
ให้ตายเถอะ ทำไมถึงไม่ใช่เธอคนเดิมแล้วนะ ทำไมถึงกลายเป็นคนขี้อิจฉาขนาดนี้ แล้วยังคิดไม่ดีอีก?
แต่เจี่ยนอี๋นั่วกำลังสำนึกผิดเพียงชั่วครู่ เมื่อเพลงบรรเลงขึ้น เหลิ่งเซ่าถิงก็เต้นกับหลิวจื่อซิงเพื่อเป็นการเปิดพิธี ในใจเจี่ยนอี๋นั่วก็คิดไม่ดีอีกครั้ง:หกล้มเถอะ ล้มเถอะ มือของเหลิ่งเซ่าถิงที่โอบเอวหลิวจื่อซิงไว้นั้นคงรับน้ำหนักไม่ไหวหรอกต้องล้มลงทั้งคู่แน่ๆ ถ้าอย่างนั้นงานนี้คงขายขี้หน้าทั้งคู่
แต่ก็ไม่ได้เป็นไปตามที่ใจของเจี่ยนอี๋นั่วคิดไว้ แล้วทุกอย่างก็จบอย่างสวยงาม จากนั้นเสียงปรบมือให้เหลิ่งเซ่าถิงและหลิวขื่อซิงดังก้องไปถึงหลังครัว เสียงปรบมือดังจนคนในครัวต้องเอามือปิดหู ถึงจะไม่สะเทือนถึงหู
เจี่ยนอี๋นั่วสูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วหลับตาลง ในใจด่าว่า:ไปตายซะ!
เมื่องานเลี้ยงเริ่มขึ้น ในครัวสถานการณ์ก็กลับมาเป็นปกติ ต่างคนต่างจับกลุ่มคุยกัน เจี่ยนอี๋นั่วก็ยืนอยู่ในมุมหนึ่ง คิดวนไปวนมา เมื่อกี้นี้เธออิจฉาหลิวจื่อซิงที่ได้อยู่ใกล้ชิดเหลิ่งเซ่าถิง และได้คิดไม่ดีแล้วยังคิดสาปแช่งอีก พอมาคิดอีกทีรู้สึกสำนึกผิดมาก
เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าเมื่อกี้เธอไม่ต่างจากผู้หญิงที่ร้ายกาจและเธอก็ไม่ต่างจากผู้หญิงที่เลวมากๆ เธอสำนึกผิดกับคนที่เคยสั่งสอนและอบรมเธอมา และสำนึกผิดกับประสบการณ์ที่เคยผ่านมา และยิ่งรู้สึกผิดต่อศักดิ์ศรีของตัวเอง แต่ทั้งหมดนี้ต้องโทษเหลิ่งเซ่าถิงเพียงคนเดียว ถ้าหากเขาไม่จูบเธอ ไม่งั้นเหตุการณ์แบบนี้คงไม่เกิดขึ้นหรอก?
ทำไมเหลิ่งเซ่าถิงต้องให้เรื่องมันเป็นแบบนี้? ทำให้เธอกลายเป็นคนที่แปลกประหลาด เธอรู้สึกว่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นล้วนเป็นความผิดเพราะเหลิ่งเซ่าถิงคนเดียว!
เจี่ยนอี๋นั่วหน้าคิ้วขมวด เม้มริมฝีปากขึ้น สูดหายใจเข้าลึกๆแล้วหลับตาลง
“นี่คือห้องครัวเหรอคะ? ห้องน้ำไปทางไหนคะ?” มีใครคนหนึ่งถามด้วยเสียงที่อ่อนหวาน
ทุกคนในครัวหันหน้ามองไปทางเจี่ยนอี๋นั่วพร้อมกัน ผู้หญิงคนนั้นจ้องมองไปทางเจี่ยนอี๋นั่วด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม :“คุณเป็นคนที่ดูแลรับผิดชอบเหรอคะ? ถ้าอย่างนั้นรบกวนคุณพาฉันไปส่งที่ห้องน้ำหน่อยได้ไหมคะ ฉันอยากเติมเครื่องสำอางค่ะ วันนี้แขกของตระกูลเหลิ่งมาร่วมงานเยอะเหลือเกิน ห้องน้ำไม่ว่างเลยค่ะ ฉันได้ยินมาว่าทางด้านนี้ยังมีห้องน้ำอยู่ห้องหนึ่ง ฉันสามารถใช้ห้องน้ำหน่อยได้ไหมคะ? ”
เจี่ยนอี๋นั่วเห็นคนรับใช้ทุกคนกำลังจ้องมองมาที่เธอ เจี่ยนอี๋นั่วเลยทำได้เพียงยิ้มแล้วตอบกลับ:“ได้ค่ะ เชิญตามมาทางนี้ค่ะ”
เจี่ยนอี๋นั่วเดินออกจากห้องครัว เดินนำพาผู้หญิงคนนั้นไป พอเดินไปไม่กี่ก้าว เดินถึงที่ที่ลับตาคน เจี่ยนอี๋นั่วก็ได้ยินเสียงหัวเราะจากผู้หญิงคนนั้นถาม:“เธอก็คือเจี่ยนอี๋นั่วเหรอ? ภรรยาของเหลิ่งเซ่าถิง? หน้าตาก็ธรรมดานี่ หลิวจื่อซิงไม่เหมาะสมกับเหลิ่งเซ่าถิง แต่ว่าเธอยิ่งไม่เหมาะสมมากกว่าซะอีกนะ”