ผู้คุ้มรีบเข้ามาคว้าเจี่ยนอี๋นั่วและถาม “เธอเป็นอะไรไป?”
เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วพร้อมกับตอบว่า “ฉัน..ฉันปวด…”
จากนั้นเจี่ยนอี๋นั่วได้สลบไปด้วยความเจ็บปวด เธอหลับตาลงและจมลงสู่ความมืด เมื่อเธอลืมตาขึ้นอีกครั้งเธอก็เห็นรอบด้านนั้นเป็นสีขาว เจี่ยนอี๋นั่วตัวสั่นด้วยความตกใจ เธอคิดว่าเธออาจสูญเสียลูกไปเหมือนครั้งที่แล้ว
อี๋นั่วตัวสั่นและลูบท้องของเธอเบาๆ เมื่อได้สัมผัสแล้วหน้าท้องของเธอยังคงโตอยู่ เจี่ยนอี๋นั่วก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นเจี่ยนอี๋นั่วก็ลุกขึ้นอย่างช้าๆ เธอเห็นว่านี่ไม่ใช่คุก แต่เป็นโรงพยาบาลด้านนอก เธอถูกล่ามโซ่ไว้กับราวเหล็กของเตียงโรงพยาบาลและมีเพียงมือข้างเดียวเท่านั้นที่ขยับได้
“เธอไม่ต้องขยับ เพื่อเลี่ยงการทำร้ายทารกในท้องของเธอ” ผู้คุมที่ยืนอยู่ด้านข้างกล่าวพลางขมวดคิ้ว
เจี่ยนอี๋นั่วสัมผัสท้องของเธอเบาๆจากนั้นก็นอนลงอย่างรวดเร็วและถาม “ลูกของฉันมีอะไรไม่ปกติหรือ?”
ผู้คุมส่ายหน้า “ไม่ได้มีปัญหาใหญ่อะไร แต่แพทย์จะต้องตรวจเธออย่างละเอียด พวกเขาบอกให้เธอพยายามทำให้อารมณ์ของตัวเองสงบนิ่ง อย่าให้อารมณ์ขึ้นๆลงๆมากนัก เธอคือหญิงตั้งครรภ์”
เจี่ยนอี๋นั่วกัดริมฝีปากของเธอและพยักหน้าเบาๆ “เข้าใจแล้ว หลังจากนี้ฉันจะพยายามควบคุมอารมณ์ตัวเองให้ดีกว่านี้”
“ตื่นแล้วหรือ?” แพทย์หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาจากด้านนอก
เจี่ยนอี๋นั่วเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย เหลือบมองไปที่แพทย์หญิงแล้วรีบพูดว่า “ตื่นแล้ว หมอ ตอนนี้อาการฉันเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ค่อนข้างคงที่ แต่คุณจะต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเพื่อคอยสังเกตการณ์ การหน้านี้เคยแท้งลูกใช่ไหม?” แพทย์ถามพลางจดบันทึก
เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้า “และเมื่อครบเดือนถึงจะแท้ง”
แพทย์ขมวดคิ้วและกล่าว “ร่างกายของคุณนั้นยังไม่แข็งแรงมากนัก ความเสี่ยงของเด็กคนนี้นั้นมีสูงมาก คุณตัดสินใจที่จะเก็บเด็กคนนี้ไว้หรือไม่? หากคุณรอให้เด็กอายุครบหนึ่งเดือน คุณก็จะไม่มีโอกาสเสียใจภายหลังแล้ว”
แพทย์หญิงกล่าวพลางมองไปที่กุญแจมือของเจี่ยนอี๋นั่วและกล่าวเบาๆว่า “ดูเหมือนว่าสถานการณ์ปัจจุบันของคุณนั้นไม่เหมาะแก่การมีลูกมากนัก”
เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าและกล่าวว่า “ฉันจะให้กำเนิดเด็กคนนี้และฉันจะไม่มีวันที่จะไขว้เขวอย่างแน่นอน”
แพทย์หญิงขมวดคิ้วและพยักหน้าเบาๆ “งั้นช่วงเวลานี้คุณก็พยายามควมคุมอารมณ์ของตัวเองเอาไว้และทางเราจะพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อรักษาลูกของคุณ”
เมื่อแพทย์หญิงพูดจบ เธอก็หันหลังกลับทันทีและเตรียมตัวออกไป เจี่ยนอี๋นั่วรีบตะโกนเรียกเธอไว้ “เดี๋ยวก่อน ฉันขอถามหน่อย ฉันท้องลูกแฝดหรือเปล่า?”
แพทย์หญิงถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาทันที “ใครบอก?”
เจี่ยนอี๋นั่วรีบตอบเธอ “ไม่มีใครบอกอะไร แต่ท้องของฉันดูเหมือนจะใหญ่กว่าของหญิงตั้งครรภ์ในช่วงเวลาเดียวกัน ฉันก็เลยสงสัยว่าจะเป็นฝาแฝด”
“ไม่ใช่ฝาแฝด คุณต้องฟังความเห็นของโรงพยาบาลเท่านั้น อย่าไปเดาเมาซั่ว”
หลังจากที่แพทย์หญิงพูดจบเธอก็ขมวดคิ้วและพูดกับเจี่ยนอี๋นั่วอย่างเย็นชา “พวกคุณที่กำลังท้องก็จะชอบคิดเรื่องราวต่างๆมากมายอาจจะทำให้กระทบกับเด็กทารกในครรภ์ ตอนนี้คุณท้องโตขึ้นอาจเป็นเพราะตำแหน่งของทารกในครรภ์ สิ่งที่คุณต้องทำตอนนี้คือผ่อนคลายและไม่ต้องไปคิดอะไร ในกรณีนี้คุณต้องการให้กำเนิดเด็กและได้ทำเรื่องที่ผิดพลาดไปแล้ว คุณก็ต้องเลิกคิดเรื่องราวต่างๆที่จะกระทบต่อเด็กได้แล้ว หากว่าเกิดการคลอดก่อนกำหนดหรือคลอดตายก็เป็นความรับผิดชอบของคุณ เมื่อถึงเวลานั้นก็อย่าคร่ำครวญและกล่าวโทษสิ่งนั้นล่ะ”
“หมอ เธอเป็นหญิงมีครรภ์ดังนั้นเธอจะคิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คุณอย่าก้าวร้าวกับเธอ ถึงแม้ว่าเธอจะทำผิดพลาด แต่เธอก็เป็นผู้ป่วยเช่นกัน เธอควรได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกันไม่ใช่หรือ?” ผู้คุมที่กำลังมองดูแพทย์แสดงท่าทีก้าวร้าวต่ออี๋นั่ว เธอนั้นก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมาอย่างเสียงดัง
แพทย์หญิงมองไปที่ผู้คุมของเธออย่างว่างเปล่าและเดินออกไปด้วยความเย็นชา ผู้คุมมองอี๋นั่ว เธอยิ้มและปลอบโยน “อย่าไปคิดมากเลย ปล่อยวาง”
เจี่ยนอี๋นั่วมองผู้คุม เธอยิ้มเบาๆ จากนั้นเธอก็ใช้มือลูบหน้าท้องของเธออย่างอ่อนโยน เธอควรจะปล่อยวางความกังวลในใจของเธอ ไม่มีประโยชน์ที่จะคิดถึงปัญหาเหล่านั้น นับจากนี้ไปเธอจะเป็น “แม่ที่โง่เขลา” ที่มีเพียงแต่ลูกอยู่ในสายตาของเธอ เพียงแค่จ้องมองไปที่ท้องที่โตขึ้นของเธอ เธอก็ไม่สนใจและไม่คิดถึงสิ่งใดอีกเลย
“ลูกแม่ แม่รอหนูคลอดออกมาอยู่นะลูก” เจี่ยนอี๋นั่วลูบท้องของเธอ เธอยิ้มและกล่าว
เจี่ยนอี๋นั่วหวังว่าจะมีลูกสาว เมื่อเทียบกับเด็กผู้ชาย เจี่ยนอี๋นั่วชอบผู้หญิงมากกว่า เด็กหญิงตัวเล็กๆ ส่งเสียงร้องเบาๆวิ่งไล่ตามหลังเธอ เกาะติดเธอ มีเสี้ยงเจี๊ยวจ๊าวและคอยเรียกเธอว่า “แม่ แม่…”
เจี่ยนอี๋นั่วคิดว่าเธอจะให้ลูกสาวของเธอ …
เมื่อเธอคิดถึงเรื่องราวตรงนี้ ทันใดนั้นสีหน้าเศร้าหมองก็ได้ปรากฎขึ้น เธอไม่สามารถให้อะไรลูกสาวของเธอได้เลย ไม่มีทางที่จะให้เสื้อผ้าสวยๆใส่ ให้ของเล่นน่ารักๆก็ไม่ได้ เจี่ยนอี๋นั่วคิดว่าในวันหนึ่งบางทีลูกสาวของเธออาจจะไม่พอใจเธอ เนื่องจากเธอไม่สามารถดูแลเด็กน้อยและมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับเธอได้ แล้วทำไมถึงอยากจะมีลูกขึ้นมาล่ะ?
เจี่ยนอี๋นั่วไม่สามารถคิดคำอธิบายได้ เพราะเธอต้องการให้กำเนิดเด็กคนนี้ด้วยจุดประสงค์ที่เห็นแก่ตัวที่สุด เธอต้องการเด็กคนนี้ เธออยากให้กำเนิดเด็กคนนี้ เพียงเพื่อที่จะประคับประคองเธอให้ผ่านการจำคุกที่ยาวนานนี้
“ขอโทษด้วย” แม้ว่าเจี่ยนอี๋นั่วจะรู้สึกเจ็บจี๊ดขึ้นมาในใจเธอ แต่เธอก็ยังพยายามอย่างเต็มที่ที่จะยิ้ม บางทีสิ่งเดียวที่เธอสามารถทำให้เด็กคนนี้ได้อย่างดีที่สุดคือรอยยิ้มของเธอ ไม่ว่าจะเป็นตอนที่เธอตั้งครรภ์หรือหลังจากที่เด็กคนนี้เกิดมา
ถึงฤดูหนาวแล้ว ตระกูลเหลิ่งที่หนาวเย็นอยู่แล้วนั้นก็เพิ่มความหนาวเย็นเข้าไปอีก แม้แต่คุณนายเหลิ่งยังต้องเอาผ้าคลุมไหล่มาคลุมผ้านวมไว้ จากนั้นเธอจึงเอนกายพิงหลังได้อย่างสบายใจและรอฟังการรายงานจากชายหนุ่มวัยกลางคน
“เป็นแฝดหรือ?” เมื่อคุณนายเหลิ่งได้ยินการรายงานจากชายหนุ่มวัยกลางคน เธอก็อดขมวดคิ้วไม่ได้
ชายหนุ่มวัยกลางคนนั้นพยักหน้า “และยังเป็นฝาแฝดต่างเพศ ชายหนึ่ง หญิงหนึ่ง”
คุณนายเหลิ่งยิ้ม “เจี่ยนอี๋นั่วนี้เป็นคนที่ไม่ธรรมดาจริงๆ เธอท้องลูกฝาแฝดต่างเพศ”
คุณนายเหลิ่งกล่าวจบ เธอลดสายตาลงและพูดอย่างเย็นชา “ฉันต้องการเด็กชายคนนั้น ปกปิดเรื่องนี้จากอี๋นั่วต่อไป เธอเองก็กำลังสงสัยเรื่องท้องฝาแฝด ให้เธอคิดว่าเธอกำลังตั้งครรภ์เด็กหญิงคนหนึ่งเท่านั้น ทันทีที่เด็กคลอดจะถูกส่งไปยังสถานที่ที่เราจัดไว้ เลี้ยงเอาไว้ก่อน ฉันหวังว่าฉันจะไม่ต้องใช้งานเด็กชายคนนั้น”
ชายวัยกลางคนขมวดคิ้ว “ตอนนี้คุณชายกำลังเตรียมตัวสำหรับการแต่งงานและดูเหมือนว่าเขาจะลืมเจี่ยนอี๋นั่วไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นคุณชายดูแลคุณกู้เป็นอย่างดี ดูห่วงใยคุณกู้เป็นอย่างมาก การเลี้ยงดูเด็กคนนี้จะเป็นปัญหาใหญ่ในอนาคตหรือไม่”
“ดูพูดเข้า ทำไมคุณคิดน้อยแบบนั้น?”
เมื่อคุณนายเหลิ่งกล่าวเช่นนี้ เธอก็เอาผ้าคลุมไหล่ของเธอมาพันไว้และพูดอย่างเย็นชา “คุณกู้คนนั้น ถึงแม้ว่าฉันจะเลือก เมื่อมองดูแล้วเธอนั้นเชื่อฟังฉันมาก แต่ก่อนหน้านี้ก็มีเจี่ยนอี๋นั่วอยู่แล้ว ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่คุณกู้จะจะเปลี่ยนความคิดและเปลี่ยนใจอีกครั้ง หากว่าเหลิ่งเซ่าถิงถูกเธอเล่นแง่และเธอแตกแยกความสัมพันธ์กับฉัน ก็จะมีเด็กคนนี้และยังเป็นเด็กชายอีกแถมยังเป็นลูกคนแรกของเหลิ่งเซ่าถิง ในเวลานั้นหากว่าเธอไม่ยอมฟังคำพูดฉัน ฉันก็สามารถทำให้เธอตกอยู่ในสภาวะที่ยากลำบากได้เช่นกัน”
“ผู้หญิงพวกนี้ ไม่ว่าจะดุร้ายหรืออ่อนน้อมก็มาที่นี่เพื่อทรัยพ์สินของตระกูลเหลิ่งกันทั้งนั้น ฉันอยากให้พวกเธอรู้ว่าพวกเธอเป็นเพียงเครื่องประดับสำหรับการให้กำเนิดเด็กของเซ่าถิงเท่านั้น พวกเธอเข้ามาในตระกูลได้เพียงกี่วัน? คิดอยากจะเสพสุขกับเงินของตระกูลที่ฉันหามาได้? จะเชื่อฟังและรับใช้ฉันตลอดไปจนแก่เฒ่าได้อย่างไร?”
คุณนายเหลิ่งสบถและกล่าว “หึ พ่อของเหลิ่งเซ่าถิงเองก็โดนผู้หญิงหลอกและได้จบชีวิตไป หลานของฉันก็ต้องฟังฉันสั่งฉันถึงจะมีชีวิตที่สงบสุข สิ่งนี้…”
เมื่อคุณนายเหลิ่งพูดเช่นนี้เธอก็ไออย่างรุนแรง หลังจากไอเป็นเวลานาน คุณนายเหลิ่งก็แทบไม่หายใจ เธอผลักชายวัยกลางคนออกไป เพื่อให้เขาไปเอาน้ำมาให้เธอ เธอรีบดื่มน้ำอย่างรวดเร็วจากนั้นเธอก็หายใจและกล่าวต่ออย่างเยือกเย็น “ตระกูลเหลิ่งนี้ ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของฉัน ตระกูลจึงจะมั่นคง พวกเขาแต่ละคน อย่าพูดถึงการกระทำที่ขัดต่อความคิดของฉันอย่าแม้แต่จะคิดถึงมัน!”
ขณะที่คุณนายเหลิ่งกล่าวน้ำเสียงก็เบาลง เธอห่อผ้าคลุมไหล่ไว้แน่นขมวดคิ้วและพูดว่า “ทำไมหนาวขนาดนี้? เกิดอะไรขึ้น? หรือว่ามีอะไรผิดปกติ?”
ชายวัยกลางคนโค้งคำนับและกล่าวว่า “คุณนาย คฤหาสน์นี้เก่าเล็กน้อย อุปกรณณ์การก่อสร้างก็พุพังไปบ้าง แม้ว่าจะได้รับการตกแต่งใหม่ แต่ก็มีปัญหาในบางครั้ง หากว่าคุณนายไม่ค่อยสะดวกสบาย ก็ลองหาที่ใหม่…”
“อะไรที่ใหม่?” คุณนายเหลิ่งเหลือบมองชายวัยกลางคนอย่างเย็นชาและพูดอย่างเยือกเย็น “คุณกำลังพูดถึงคฤหาสน์หลังใหม่งั้นหรือ? ฉันจะบอกให้นะ อย่าได้พูดถึง คฤหาสน์เหลิ่งหลังนี้ ฉันสร้างเองกับมือ คุณบอกว่าเก่า? กำลังจะบอกว่าฉันแก่? ใช่ไหม?”
ชายวัยกลางคนรีบส่ายหน้าและรีบตอบ “คุณนาย ผมไม่กล้าคิดแบบนั้นเลยแม้แต่น้อย”
คุณนายเหลิ่งกล่าวอย่างเย็นชา “ทางที่ดีก็ต้องเป็นแบบนั้น ฉันจะบอก ฉันไม่แก่อย่างที่คิดและบ้านหลังนี้ไม่ได้ไร้ประโยชน์อย่างที่คิด ความรุ่งเรืองของตระกูลเหลิ่งเริ่มจากฉัน เริ่มต้นจากคฤหาสน์หลังนี้ เมื่อมันเจิดจรัสรุ่งเรืองมากขึ้นก็ต้องเป็นเพราะฉันและจะต้องเกิดขึ้นในบ้านหลังนี้!”
ชายวัยกลางคนพยักหน้าอย่างรวดเร็ว: “ใช่…ใช่…”
“ช่างเถอะ ไปซะ อยู่ไปฉันก็ปวดหัวและโกรธเปล่าๆ รอให้ฉันดีขึ้นก่อน ฉันจะเปลี่ยนพวกคุณให้หมด ไม่มีประโยชน์สักคน!” คุณนายเหลิ่งกล่าวเอนกายบนเก้าอี้และโบกมือให้ชายวัยกลางคนออกไป
ชายวัยกลางคนเดินถอยหลังออกจากห้องของคุณนายเหลิ่งจากนั้นมองไปที่ประตูห้องของคุณนายอย่างว่างเปล่าและสาปแช่งอย่างเงียบๆ “แก่แล้วไม่เจียม!”
ชายวัยกลางคนพูด จากนั้นเขาหันหลังและเดินออกไป ในเวลานี้โทรศัพท์ของเขาสั่น เขาก้มศีรษะมองลงบนหน้าจอ เมื่อเห็นว่าบัญชีธนาคารของเขาได้รับเงินห้าสิบล้าน เขาก็เม้มริมฝีปากและค่อยๆหัวเราะ ในเวลานี้ ลมหนาวกระทบเข้ากับชายวัยกลางคน เขาจึงต้องหดคอและกอดอกเอาไว้แน่น
ชายวัยกลางคนมองไปรอบๆ เขาสัมผัสได้ถึงลมหนาว แต่มองไม่เห็นว่าลมมาจากไหน ทำให้ห้องโถงคฤหาสน์เหลิ่งที่ตกแต่งอย่างหรูหรา แต่เดิมที่ดูน่ากลัวแล้วยังน่ากลัวขึ้นอีกเท่าตัว ชายวัยกลางคนหดคอและกล่าว “คฤหาสน์นี้เก่าขนาดนี้แล้วควรจะต้องรีบเปลี่ยนแปลงบ้างแล้ว”
แม้ว่าจะดูหรูหราและงดงาม แต่ด้านในก็ดูเก่าและทรุดโทรมแล้ว
มันก็เหมือนตระกูลเหลิ่ง ถึงเวลาแล้วที่จะมีเจ้าของคนใหม่