ตัวเอกพวกนั้นฉันฆ่าเองแหละ – ตอนที่ 47

ตอนที่ 47

พวกมนุษย์เหล่านั้นรับรู้ได้ถึงศัตรูที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดนี้แล้ว

ฉันได้ยิงพวกเขาไปสามคนในขณะที่คนที่เหล่าได้ลงไปซ่อนตัวที่พื้นดินก่อนที่ฉันจะได้ยิงพวกเขาที่เหลือ

แม้ว่าจากตอนแรกฉันตั้งใจที่เก็บให้ได้มากกว่านี้อีกสักหน่อยก็เถอะ

มันเป็นเพียงแค่ตอนนี้เท่านั้นที่พวกเขาพึ่งจะได้รับรู้ว่ามีตัวตนของศัตรูที่มีเทคโนโลยีสูงกว่าพวกเขาอยู่

ความกลัวจากการไม่รู้

ทำให้ในตอนนี้มนุษย์ที่เหลือเคลื่อนไหวกันเป็นกลุ่มขนาดใหญ่

ดังนั้นฉันจึงได้บอกให้พวกแฟรี่ย้ายตำแหน่งของตน

มันเป็นเรื่องง่ายสำหรับพวกเขาในจากย้ายหมู่บ้านเพราะว่าต้นไม้ที่อยู่บนเกาะนี้สามารถที่จะเปลี่ยนตนเองให้เป็นบ้านให้กับเหล่าแฟรี่ได้ทั้งหมดไม่ว่าจะต้นไหนก็ตาม

‘ช้าๆ’

เมื่อได้ยืนยันผ่านกล้องที่แสดงให้เห็นว่าศัตรูกำลังบินขึ้นมาจากค่ายของตน ฉันได้เก็บของอย่างรวดเร็วและตรงไปที่หน้าผาที่กำลังลอยอยู่

50 แล้วก็ 100 แล้วสุดท้ายก็ 150 คนได้บินขึ้นไปเป็นกลุ่มที่ได้รับการจัดรูปขบวนเอาไว้

เป็นศัตรูทั้งหมดทั้งสิ้น 300 คน

ไม่สำคัญว่าระดับของอาวุธพวกเขาจะเป็นเท่าใดหากต้องมาเจอกับจำนวนขนาดนี้หละก็แม้แต่ฮันเตอร์แรงค์ A ก็ไม่สามารถที่จะจัดการกับพวกเขาทั้งหมดได้ในครั้งเดียวเพราะว่าขีดจำกัดของพลังกายพวกเขา

แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่ว่ามันจะเป็นไปไม่ได้ด้วยการช่วยเหลือของอุปกรณ์ทั้งหลาย

‘คราวนี้ฉันคงจะต้องถังแตกอีกแล้วสินะ’

ฉันได้เอาแว่นกันแดดออกมาจากช่องเก็บของแล้วใส่มันจากนั้นก็ควบคุมลมหายใจของตนเอง

แว่นตาอันนี้มีระบบเรดาร์สดห.(แสดงหัว)ซึ่งมีเซนเซอร์อินฟาเรดที่สามารถเปิดปิดได้ขึ้นอยู่กับรูปแบบการใช้งาน ทั้งยังมีระบบการเฝ้าติดตามด้วยความร้อนอีกด้วย

เอาไว้ใช้ในจังหวะที่ฉันจำเป็นต้องระบุตำแหน่งของศัตรูแบบหยาบๆอย่างไม่มีทางเลือก…

‘พวกมันกำลังมา’

จุดที่ได้ทำเครื่องหมายไว้มีตั้งแต่ A ถึง F ได้แสดงบนจอภาพถัดไปจากฉันและในทันทีที่ฉันได้เห็นกองกำลังขนาด 30 คนผ่านไปทางจุด C ฉันได้กดสวิตช์ระเบิดที่ฉันได้ติดตั้งไว้ที่ตำแหน่งนั้น

…ตูมมมม!!

เสียงระเบิดได้ดังออกมา

เมื่อเช็คไปที่กล้องเกือบครึ่งของคนพวกนั้นล้วนบาดเจ็ดสาหัสหรือไม่ก็ล้มตายและอีกครึ่งที่เหลือไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ

ถึงฉันจะสามารถที่จะเห็นการเคลื่อนไหวของศัตรูได้อย่างเต็มที่และแม้ว่ามันจะห่างจากขอบเขตของแรงระเบิดออกไปเล็กนั้น แต่ปฏิกิริยาตอบสนองของพวกเขาก็ค่อนข้างที่จะรวดเร็ว

แล้วในทุกครั้งที่ศัตรูได้ผ่านไปในจุดต่างๆ เสียงเตือนจะดังขึ้นและฉันจะจุดระเบิดพวกนี้เป็นชุด

ในบางครั้งมันก็เป็นสนามไฟฟ้าที่ได้เจาะทะลุผ่านร่างของพวกเขา บางครั้งก็เป็นเปลวเพลิงที่ได้พุ่งขึ้นไปยังท้องฟ้า

ธรรมชาติที่เหล่าแฟรี่ทั้งหลายหวงแหนเป็นอย่างมากได้รับความเสียหายเล็กน้อยจากกระบวนการพวกนี้…

อย่างไรก็ดีฉันจะไม่ใช้คนที่จะมาสนใจเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

ตูม ตูม!!

เสียงระเบิดได้ดังขึ้นมาจากทุกทิศทาง

แม้ว่าฉันไม่สามารถที่จะฆ่าพวกเขาทั้งหมดได้

แต่ในเมื่อเป้าหมายของฉันคือความต้องการที่จะขัดขวางพวกเขาจากการมุ่งตรงไปยังเหล่าแฟรี่แห่งรุ่งอรุณมันสามารถที่จะบอกได้เลยว่าฉันได้ประสบความสำเร็จในเรื่องนั้นแล้ว

การที่จะต้องจัดการกับคนทั้ง 3,000 คนนั้นอาจเป็นเรื่องยากแต่ว่า 300 นั้นไม่ใช่เรื่องยากอะไร

‘นี้น่าจะมีอย่างน้อย 100 คนแล้วที่ตายไป’

เหมือนที่คาดไว้ฉันไม่แม้แต่จะจัดการได้ถึงครึ่งแต่มันก็ยังคงไม่มีปัญหาอะไร

คนพวกนี้ได้สูญเสียจิตวิญญาณในการต่อสู้จากเทคโนโลยีบางอย่างที่ระบุไม่ได้นี้ไปแล้ว

พวกเขาก็จะกลัวการโจมตีที่เข้ามาในระลอกถัดไปเอง…

แต่ในความเป็นจริง มันไม่มีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น

ฉันไม่รู้ว่ามันมีคำสั่งฉุกเฉินหรืออะไรทำนองนั้นหรือป่าวแต่หลังจากนั้นสักพักหนึ่งเหล่าศัตรูทั้งหมดได้หายไปที่ไหนสักแห่งก็ไม่รู้

จำนวนผู้เสียที่ชีวิตทั้งหมดที่ฉันจัดการไปได้ในวันนี้คือ 80 คน

จนถึงตอนนี้ฉันได้ใช้ระเบิดไปแล้ว 20% ของที่ฉันมีเพื่อที่จะสร้างความเสียหายขนาดนี้

ฉันรู้สึกภูมิใจในช่องเก็บของที่มีอย่างถึงที่สุดแม้ว่ามันจะยังขาดแคลนอุปกรณ์ที่จะใช้จัดการกับคนทั้ง 3,000 คนก็ตาม

……………………………………………………..

หากชอบเรื่องนี้สามารถให้กำลังใจและสนับสนุนผู้แปลได้ทาง www.thai-novel.com หรือ www.amnovel.com หรือ mynovel.co แค่สามช่องทางนี้เท่านั้นนะครับ

……………………………………………………..

มันได้ผ่านไปสามวันแล้วนับตั้งแต่ตอนนั้น

นับตั้งแต่วันที่มีศัตรูที่ระบุตัวตนไม่ได้ซึ่งปรากฏตัวขึ้นมาจากที่ไหนไม่มีใครทราบ กำลังทำการขัดขวางกลุ่มมนุษย์บางส่วนจากการมุ่งหน้าไปยังค่ายของเหล่าแฟรี่

อย่างไรก็ตามความตั้งใจของ ‘มัน’ คือการทำให้เหล่ามนุษย์ทั้งหลายเหล่านั้นได้รับความสูญเสียครั้งใหญ่

ในเวลาเพียงแค่สามวันกลับมีมากกว่า 200 ไปแล้วที่ได้ตายลงไป

รวมกับคนที่ได้รับบาดเจ็บอีกเกือบ 300 คนที่กลายเป็นคนที่ไร้ความสามารถในการรบไป

ทางฝั่งของมนุษย์นั้นไม่สามารถแม้แต่จะบอกได้เลยว่าศัตรูนั้นมีจำนวนเท่าไหร,อยู่ที่ไหน หรือว่าอะไรคือเทคโนโลยีที่พวกเขาใช้

แต่มีสิ่งหนึ่งที่พวกเขาแน่ใจได้และนั้นก็คือ ฝ่ายตรงข้ามมีเทคโนโลยีที่เหนือกว่าพวกเขาเป็นอย่างยิ่ง

ทั้งการยิงไปที่หัวของพวกเขาอย่างแม่นยำจากระยะที่ไกลออกไปเป็นพันเมตร

เป็นการเตือนให้พวกเขาหยุดการต่อสู้โดยการแสดงให้เห็นถึงเทคโนโลยีที่เหนือกว่า

แต่ถึงอย่างนั้น…สำหรับพวกเขาแล้วการที่จะถอยกลับในตอนนี้นั้นไม่นับเป็นหนึ่งในทางเลือก

“มีคำสั่งมาจากผู้บัญชาการ”

แล้วในวันที่สาม

ผู้บัญชาการที่มักจะสงบอยู่เสมอจนกระทั้งถึงตอนที่มีคนของตนมากถึง 200 คนได้ตายไปในท้ายที่สุดก็ได้ออกคำสั่งลงมา

“ถึงเวลาแล้ว พวกเราจะทำการ ‘ออกรบ’ กับมัน”

“ครับท่าน”

ทางฝั่งของเหล่ามนุษย์นั้นมีหน่วยระดับสูงอยู่สองหน่วย

หนึ่งในนั้นเป็นกองกำลังเคลื่อนที่พิเศษลมกรด

และอีกหนึ่งเป็นกองกำลังเคลื่อนที่พิเศษพายุ

กองกำลังเคลื่อนที่พิเศษลมกรดมีความสามารถที่จะร่อนได้อย่างอิสระไปในอากาศใช้สำหรับการโจมตีระยะไกลและในตอนนี้ผู้บัญชาการได้ทำการตัดสินใจขั้นสุดท้ายในการที่จะใช้ไผ่ตายใบนี้

แม้ว่าตั้งแต่ที่พวกเขาได้เริ่มทำการโจมตีเหล่าแฟรี่มาจนถึงตอนนี้จะยังไม่ได้ใช้เลยก็ตาม

เพราะว่านี้เป็นการเตรียมการสำหรับการรับมือกับ ‘สายพันธุ์เอเลี่ยน’ ที่มีตัวตนอยู่ในดินแดนอื่น

‘ท่านผู้บัญชาการจะต้องตัดสินใจแล้วว่าศัตรูตนนี้นั้นอันตรายยิ่งกว่าเหล่าเผ่าพันธุ่เอเลี่ยนพวกนั้นแน่’

เมื่อมาริก หัวหน้าของกองกำลังลมกรดนี้ได้เห็นคนของตนทั้ง 49 คนสวมใส่เครื่องจักรที่เรียกว่า ‘ปีกแห่งความหวัง’ เขาได้พูดออกมาด้วยสีหน้าที่มั่นคง

“รายงานของท่านผู้บัญชาการกล่าวไว้ว่าศัตรูที่พวกเรากำลังจะไปฆ่านั้นมีแค่ ‘หนึ่ง’ ดังนั้นพวกเจ้าไม่ต้องเกรงกลัวไป”

“…”

ชายคนนี้ได้มองไปรอบๆที่ละคน

นี้มันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้

ไม่สำคัญว่าพวกเขาจะมองดูมันอย่างไรก็มีอย่างน้อย 9 ถึง 10 คนที่ดูมีสีหน้าที่ไม่มีความมั่นใจเอาเสียเลย

“นี้เป็นข้อสรุปของท่านผู้บัญชาการ”

“อย่างนั้นเหรอครับท่าน…”

ผู้บัญชาการท่านนี้นั้นมีอำนาจเหนือกว่าอย่างสมบูรณ์และยังเป็นทหารที่แข็งแกร่งที่สุดในที่นี้เช่นกัน

และโดยส่วนใหญ่แล้ว การตัดสินใจของเขาก็มักจะแม่นยำเสมอ

ดังนั้นตามหลักฐานและข้อสรุปที่พวกเขาได้คาดเดา เหล่าทหารพวกนี้ทำได้แต่ต้องเชื่อคำพูดเหล่านั้นอย่างไม่มีทางเลือกใดๆ

“นับจากนี้ นี้จะเป็นเพียงการคาดเดาของท่านผู้บังคับบัญชา ศัตรูตนนี้ได้ใช้งาน ‘ปืนใหญ่’ ที่ได้รับการพัฒนามาในระดับที่สูงกว่าพวกเรา ซึ่งเป็นวัตถุที่สามารถระเบิดได้จากในระยะไกลโดยที่ไม่ต้องทำการยิงแถมอาวุธปืนของศัตรูยังมีระยะการยิงที่เหนือกว่าของพวกเราอย่างน้อยก็ 20 เท่า”

แค่ได้ฟังเรื่องพวกนี้ก็สิ้นหวังแล้ว

อาวุธปืน

ในตอนที่มันเป็นสิ่งที่มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่ได้ครอบครองด้วยเทคโนโลยีเช่นนั้นมันเป็นสิ่งที่น่าเชื่อถือยิ่งกว่าสิ่งไหนๆก็ตามที่พวกเขามี แต่ในตอนนี้มันเป็นสิ่งที่สุดแสนจะหน้าสะพรึงกลัวที่แค่คิดว่าศัตรูก็มีมันเช่นเดียวกัน

มากไปกว่านั้น ลูกระเบิดที่สามารถระเบิดออกได้จากระยะไกล

“แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าหากว่าสิ่งนั้นไม่ได้รับการตั้งค่าไว้ล่วงหน้ามันจะไม่ก็ให้เกิดการระเบิดในอีกความหมายก็คือพวกเราจะต้องหลีกเลี่ยงสถานที่ที่ศัตรูน่าจะวางกับดักเอาไว้ดังนั้นถ้าพวกเจ้าคนไหนก็ตามอยู่ในระยะระเบิดของสิ่งนั้นหละก็…”

แล้วจากนั้นผู้บัญชาการก็ชี้ไปยังจุดสามจุดบนแผนที่ให้กับมาริก

“ตรงนี้ ตรงนี้และก็ตรงนี้”

มาริกดูไปที่แต่ละจุดที่ที่ถูกชี้แล้วผู้บัญชาการก็ได้พูดขึ้น

“ศัตรูตนนี้จะต้องแสดงตัวออกมาจุดใดจุดหนึ่งในนี้เป็นแน่”

……………………………………………………..

หากชอบเรื่องนี้สามารถให้กำลังใจและสนับสนุนผู้แปลได้ทาง www.thai-novel.com หรือ www.amnovel.com หรือ mynovel.co แค่สามช่องทางนี้เท่านั้นนะครับ

……………………………………………………..

คำสั่งออกรบได้รับการถ่ายทอดลงมา

เมื่อครั้งที่พวกเขาได้รู้ว่าศัตรูสามารถที่จะยิงได้จากระยะทางที่ไม่มีทางที่จะมองเห็นได้ ทำให้พวกเขาไม่มีเหตุผลที่จะอยู่ในพื้นที่เปิดโล่งที่พวกเขาจะถูกเห็นได้อย่างชัดเจนดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะบินต่ำลงเพื่อปกปิดตัวตนของพวกเขาเอง

ก้อนหินและเหล่าพืชพันธุ์หลายร้อยอันที่กำลังลอยอยู่กลางอากาศก็ยังช่วยเป็นที่กำบังชั้นเลิศอีกทั้งแสงจันทร์จางๆจากช่วงพลบค่ำก็กลายมาเป็นม่านหมอกที่บดบังพวกเขาเอาไว้

‘เหมือนที่คิดไว้เลยมันไม่สามารถที่จะระเบิดได้ถ้าพวกเราเลือกเส้นทางที่อ้อมจากเดิมในการไปยังค่ายของแฟรี่เหล่านั้น’

“พวกเราเกือบที่จะถึงจุดสำคัญแล้ว ทุกคนระวังตัวเอาไว้ให้ดี”

หลังจากที่มาริกออกคำสั่งไปเขาได้พูดกับรองหัวหน้าหน่วยไบค์ว่า

“ไบค์ภารกิจของเจ้ามีความสำคัญเป็นอย่างมากในการกำจัดศัตรูตนนี้ เจ้าทำมันได้ใช่ไหม?”

“ข้าแน่ใจครับ”

“โอเค ไปแล้วกลับมาอย่างมีชีวิตด้วย”

มาริกรู้สึกไม่สบายใจในตอนที่ส่งไบค์ไป

เพราะว่าไบค์กำลังไปเสี่ยงชีวิตของตนเองอยู่

‘ไม่สิ เพื่อที่จะฆ่าศัตรูที่ระบุไม่ได้คนนี้ลงเรื่องนี้เป็นสิ่งจำเป็นอย่างมาก’

มาริกที่ได้แสดงสีหน้าที่แนวแน่กำลังที่จะสั่งการคำสั่งต่อไปแต่ว่า…

…ปัง!

“เอือก!”

เสียงปืนได้ดังออกมาจากที่ไหนสักแห่งแล้วก็มีทหารที่ล้มลง

“เหนือขึ้นไป 30 องศาทางตะวันตกเฉียงเหนือ! ศัตรูอยู่ห่างออกไปในระยะ 300 เมตรจากที่นี้”

เสียงตะโกนดังออกมาจากทหารนายหนึ่งที่มีสายตาที่ยอดเยี่ยม แล้วมาริกก็ได้หันหน้าของเขาไป

มันมีใครบางคนหรือบางสิ่งบางอย่างที่สวมใส่อยู่ในชุดเกราะเหล็กและกำลังยกอาวุธปืนที่ใหญ่ยิ่งกว่าปืนโดยทั่วไป

การยิงที่ปกติมักจะมาจากระยะที่ห่างออกไปเป็นพันเมตรในแต่ละครั้งแต่ว่าในครั้งนี้มันเข้ามาใกล้ยิ่งกว่าครั้งพวกนั้นoyd

‘เขาจะต้องกำลังร้อนใจอยู่แน่ถึงได้เร่งรีบที่จะกำจัดเราจากการใช้เส้นทางนี้ซึ่งจะนำไปสู่เหล่าแฟรี่’

‘นี่เป็นโอกาสของพวกเรา’

“ทุกคน ใช้รูปแบบกระจายตัว”

เพื่อที่จะผ่านเหล่าก้อนหินและต้นไม้ต่างๆและเข้าไปใกล้เท่าที่จะเป็นไปได้ในขณะที่หลีกเลี่ยงการมองเห็นของศัตรู

แต่อย่างไรก็ตามระยะห่าง 300 เมตรนี้เป็นระยะทางที่ช่างแสนยาวไกลกว่าที่ใครจะได้คิดไว้

ปังปังปัง!!

“อึก!”

“เอื้อก!”

ทักษะในการยิงของศัตรูนั้นสูงเกินกว่าที่มาริกได้คิดไว้

แค่ช่วงว่างที่อยู่ระหว่างที่ซ่อนตัวของพวกเขาก็ทำให้ศัตรูคนนี้สามารถที่จะยิงโดยพวกเขาได้และไม่เหมือนกับปืนที่พวกเขามีปืนของศัตรูนั้นสามารถที่จะยิงได้อย่างต่อเนื่อง

พวกเขาเสียคนไปเจ็ดคนไปเรียบร้อยแล้วแต่พวกเขายังแทบจะไม่สามารถที่จะเข้าไปอยู่ในระยะที่ปืนไรเฟิลของพวกเขาจะยิงถูกเป้าหมายได้เลย

และในที่สุดระยะห่างระหว่างพวกเขาและศัตรูคนนี้ก็ได้น้อยกว่า 100 เมตรแล้ว

“ทุกหน่วยโหลดกระสุน”

ทหารทุกนายที่กำลังลอบมองศัตรูได้ยกไรเฟิลของพวกเขาชี้ไปที่จุดเดียวกันโดยได้ทำการล้อมรอบศัตรูตนนี้ไว้จากทุกทิศทาง

ไม่ว่าขอบเขตการยิงของศัตรูจะไกลหรือไม่ว่ามันจะยิงได้อย่างต่อเนื่องแค่ไหนก็ตามเขาก็ไม่สามารถที่จะยิงทหารทุกนายจากทุกทิศทางได้อยู่ดี

“ยิงได้!”

ปัง ปัง ปัง!

เหล่าทหารได้ยิงไปที่เหล่าศัตรูที่มีผมสีดำคนนี้

…ติ้งติ้งติ้ง!

แต่กระสุนที่พวกเขายิงไปทั้งหมดเด้งออกมา

“นี้มันบ้า…!”

โดยที่ไม่ให้เวลาพวกเขาได้จิตตกใดๆ ศัตรูได้ทำท่าทางบางอย่าง

ถัดจากนั้นไม่นานหน้าผาหินที่อยู่เหนือพวกเขาขึ้นไปได้ระเบิดออกส่งหินที่แตกออกทั้งหมดลงไปยังเหล่าทหารที่อยู่ด้านล่าง

“บ้าเอ้ย! ศัตรูได้ติดตั้งปืนใหญ่เอาไว้! ทุกคนออกให้ห่างจากสิ่งต่างๆโดยรอบ!”

แต่ว่ามันได้ผลอย่างนั้นเหรอ?

มีเพียงแค่การอยู่ใกล้กับสิ่งต่างรอบตัวเท่านั้นที่สามารถที่จะทำให้พวกเขาซ่อนตัวจากสายตาของศัตรูได้แต่ในตอนนี้พวกเขาต้องถอยห่างออกจากมัน

แน่นอนว่าปืนใหญ่ของศัตรูนั้นมีขีดจำกัดและไม่ใช่ทุกอย่างรอบตัวของพวกเขาที่จะถูกติดตั้งเอาไว้

ตั้งแต่ที่พวกเขาไม่รู้ว่าที่ไหนที่จะถูกติดตั้งเอาไว้บ้างทำให้พวกเขาถูกบังคับให้ออกมาอยู่ในตำแหน่งนี้

อย่างไรก็ตามมันไม่มีเวลาที่จะเสียไปอีกแล้ว

ถึงแม้ว่ามันจะมีศัตรูเพียงแค่หนึ่งคนก็ตามแต่ฝั่งของพวกเขาเหล่ามนุษย์ก็ยังเสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัดเจน

“หน่วยปืนใหญ่ โหลดกระสุน!”

ในทันทีที่มาริกได้ตะโกนออกไปทหารสิบคนได้ปรากฏขึ้น

“ยิง!”

ปืนใหญ่ 10 นัดได้ถูกยิงออกไปพร้อมกันในทันที

นี้เป็นครั้งแรกที่ศัตรูได้เริ่มที่จะเคลื่อนที่ออกจากจุดเดิม

ปัง ปังปัง!!

ในทันทีที่กระสุนปืนใหญ่ได้ระเบิดออก ศัตรูได้ดึงเอาปืนขนาดเล็กสีเงินออกมาจากหน้าอกของเขาและยิงมันไปที่หน้าผาอีกที่ซึ่งกำลังลอยอยู่

แล้วก็มีแสงประกายสีน้ำเงินได้พุ่งออกไป

‘นี่…?’

สิ่งที่ซอดัมได้ยิงออกไปนั้นเป็น ‘ปืนพลังแม่เหล็ก’

แม่เหล็กไฟฟ้าที่ทรงพลังได้เชื่อมต่อกับปืนพกที่ใช้ในการสร้างแรงผลักหรือแรงดึง

ด้วยการใช้งานร่วมกับสกิลก้าวสายลม (D) อย่างเต็มศักยภาพทำให้ซอดัมสามารถที่จะวิ่งไปบนด้านข้างของหน้าผาและกระโดดจากหน้าผาหนึ่งไปยังอีกหน้าผาหนึ่งที่อยู่ถัดไปได้โดยการใช้ปืนอันนี้

มาริกกัดฟันของเขาในขณะที่เขาเอาปืนใหญ่ออกมา

ศัตรูตนนี้ไม่ได้ไร้ความสามารถโดยสิ้นเชิงในตอนที่อยู่กลางอากาศ

‘ต้องจัดการศัตรูในจังหวะที่มันกำลังจะก้าวลงสู่หน้าผา’

ตูม…ตูม!!

“อย่างนั้นแหละ!”

ราวกับว่าซอดัมไม่สามารถที่จะหลบหลีกปืนใหญ่ได้ และมาริกก็ได้ยิงโดนเขาแบบเต็มๆ…

ในตอนที่หมอกควันได้จางหายไป เงาร่างภายในได้เผยตัวออกมาโดยที่ไม่มีร่องรอยของการบาดเจ็บแม้เพียงแต่นิดเดียว

‘เชี่ย…!’

มีม่านโปร่งแสงบางอย่างได้เคลือบร่างกายของศัตรูเอาไว้และมาริกที่ไม่รู้ว่ามันคือบาเรียอีเทอร์รู้สึกว่าช็อกไป

แต่

‘ยังมีเรื่องดีที่เราได้เห็นว่าเขาหลบหลีกปืนใหญ่พวกนี้หมายความว่าความรุนแรงของปืนใหญ่พวกนี้บางส่วนยังสามารถสร้างความเสียหายให้กับเขาได้ดังนั้นการโจมตีในครั้งนี้ถือได้ว่าประสบความสำเร็จ’

ตั้งแต่เริ่มการต่อสู้ว่า ซอดัมได้โจมตีทหารกลุ่มนี้โดยการจุดชนวนระเบิดที่เขาได้ติดตั้งไว้ล่วงหน้าหรือไม่ก็โยนระเบิดไปกลางอากาศ

แต่ด้วยการกางปีกของพวกเขาออกในตอนที่อยู่กลางอากาศทำให้พวกมนุษย์หลายคนสามารถที่จะหลบหลีกระเบิดพวกนี้ได้ซึ่งแสดงให้เห็นว่าความสามารถทางร่างกายของพวกเขาจะต้องเป็นอย่างน้อยก็แรงค์ E บนโลกมนุษย์

เพราะว่ามันไม่มีทางที่มนุษย์ธรรมดาจะสามารถมีปฏิกิริยาตอบสนองระดับนั้นได้

ติ้ง ติ้ง!

ถึงแม้ว่าอาวุธปืนของพวกเขาจะตกยุคมากเกินไปก็ตาม ทักษะการยิงและความแม่นยำจากการยิงปืนกลางอากาศของพวกเขาก็ค่อนข้างที่จะดีเลยทีเดียว

กระสุนจำนวนมากได้ขูดขีดไปทั่วร่างกายของซอดัมแต่เนื่องจากว่าเขาได้ใส่ชุดสูทเกรด 1 อยู่ซึ่งเป็นชุทเกรดสูงทำให้บาเรียของมันก็ไม่ได้ลดลงมากนัก

“ทีมสกัดกันที่สาม เตรียมปืนใหญ่!”

“ทีมสกัดกันที่หนึ่ง ออกบินและบล็อกเส้นทางหลบหนีของศัตรู”

ชะวิ้ง!

“…”

เหล่ามนุษย์ได้กระจายตัวออกอย่างรวดเร็วและบินขึ้นไปในท้องฟ้า พวกเขาได้เริ่มที่จะยิงปืนใหญ่ไปที่ซอดัม

พลังของปืนใหญ่พวกนั้นไม่ได้ดีมากนักแต่แม้ว่าจะเป็นเหล่าพวกยอดมนุษย์จะคงจะต้องย่ำแย่เช่นกันหน้าต้องมารับความเสียหายพวกนี้โดยที่ปราศจากชุดสูทอีเทอร์

ความสามารถของซอดัมก็เป็นเพียงแค่แรงค์ D เท่านั้นและเขาไม่ได้มีร่างกายที่เป็นของยอดมนุษย์สายเสริมความแข็งแกร่ง

แต่ถึงอย่างั้นเขาก็ยังสู้ต่อไปเพราะว่าเขาเชื่อมั่นในชุดสูทของตนเอง

และเพราะว่าเขานั้นมีเพียงแค่มีปืนพลังแม่เหล็กไฟฟ้าอยู่ในมือของตนทำให้ความคล่องตัวของซอดัมนั้นมีอยู่อย่างจำกัดเป็นอย่างมากไม่เหมือนกับเหล่าทหารที่กำลังบินได้อย่างอิสระในอากาศซึ่งกำลังเริ่มที่จะต้อนเขาให้จนมุม

‘เหอะ ไอ้เจ้าพวกนี้ก็ค่อนข้างเก่งใช่ได้เลยนิ?’

ซอดัมนั้นแทบที่จะไม่มีประสบการณ์การต่อสู้ทางอากาศเลย

ไม่สิ มันไม่สามารถที่จะพูดได้เต็มปากว่าเขาไม่ดีเลยซะทีเดียว

ในทางตรงกันข้าม เหล่าทหารพวกนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นเหล่าปรมาจารย์ในการต่อสู้ทางอากาศซะมากกว่า

การเผชิญหน้ากับศัตรูเช่นนี้ที่ทำราวกับว่าปีกของพวกเขาร่างกายเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งที่เพิ่มออกมาจากร่างกายของตนเองทำให้แม้แต่ซอดัมก็พบว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะจัดการ

แต่ถึงอย่างนั้นคนพวกนี้ก็ยังไม่มีข้อมูลของอาวุธที่ซอดัมครอบครองไว้อยู่ดี

เปรี๊ย เปรี๊ย!!

“อ๊ากกก!!”

“อ-อะไรกัน! ข้าก็บินอยู่ด้านหลังก้อนหินแล้วนะ”

พวกเขาได้บินอย่างระมัดระวังเป็นอย่างดีดังนั้นจึงไม่ได้ไปโดนกับดักหรือว่าเข้าไปอยู่องศาการยิงของศัตรูแต่ว่ากลับไปปะทะเข้ากับลวดสายฟ้าที่อยู่ระหว่างผาหินเหล่านี้แทน

เป็นเส้นสนามแม่เหล็กไฟฟ้า

ที่ถูกติดตั้งไว้ที่ทั้งสองด้านที่มีเส้นลวดสายฟ้าได้เชื่อมต่ออุปกรณ์สีฟ้าทั้งคู่เข้าด้วยกันดังนั้นในตอนที่ทหารทั้งสามนายนั้นได้ผ่านมาในเส้นทางนี้พวกเขาได้ชนเข้ากับมันหลังจากนั้นก็ถูกช็อตด้วยไฟฟ้า

การเคลื่อนที่ในทางที่มีผ่าหินขนาบสองด้านเป็นทางที่ดีที่จะสร้างระยะห่างและหลีกเลี่ยงระเบิดของศัตรู แต่ว่า…

นั้นหมายถึงการโจมตีในรูปแบบอื่นที่จะมาแทน

เส้นสนามแม่เหล็กก็นับเป็นหนึ่งในการโจมตีรูปแบบอื่นพวกนั้น

‘เหล่าทหารระดับสูง 50 นายนั้นแน่นอนว่ายากเอาการอยู่ ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องมาใช้อะไรที่มันแพงแบบนี้เลย’

ตามจริงแล้ว ทหารพวกนี้เป็นกำลังรบทางอากาศชั้นยอดดังนั้นถึงแม้ว่าซอดัมจะมีเทคโนโลยีที่ก้าวหน้ามากกว่า มันก็ยังเป็นเรื่องยากที่จะต่อกรกับพวกเขา

ใช้ปืนพลังแม่เหล็กอีกครั้ง ซอดัมได้พุ่งออกไปยังหน้าผาที่กำลังลอยอยู่ด้านหลังของเขาแล้วได้เล็งปืนพกของตนลงไป

แต่…ทหารพวกนั้นได้หายไปแล้ว

บางทีพวกเขาแต่ละคนคงกำลังซ่อนตัวอยู่ด้านหลังของก้อนหินหรือไม่ก็ต้นไม้ที่กำลังลอยอยู่ในอากาศและอยู่นอกระยะสายตาของซอดัม

ถึงแม้ว่ามันจะยังมีเส้นสนามแม่เหล็กไฟฟ้า แต่ของพวกนี้ก็ยังไม่ใช่บางสิ่งที่เหมือนระบบเตือนภัยศัตรู

คนพวกนั้นไม่ได้แสดงตัวออกมาอีกเลยกว่าพวกเขาจะได้รวมตัวกัน ดังนั้นก่อนที่จะเป็นแบบนั้นซอดัมได้ตัดสินใจที่จะทิ้งระยะห่างจากศัตรูเพิ่มขึ้นอีกนิด

ชู่!

“…!”

ทันใดนั้นเอง

ซอดัมก็สัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่ผิดไปจากปกติและได้รีบที่จะกางบาเรียขึ้นแต่แทนที่มันจะเป็นการซุ่มโจมตีอย่างที่คิดไว้มันกลับเป็นของเหลวสีแดงบางอย่างที่ได้ปกคลุมไปทั่วร่างกายของเขา

‘นี้อะไรนะพวกเขามาตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไหนกัน?’

เขาคิดว่าเขาได้เช็คตำแหน่งของศัตรูไว้หมดแล้ว

เมื่อแหง่นหน้าขึ้นไปมองช้าๆเขาเห็นบางสิ่งที่…สิ่งมีชีวิตประเภทปลาซึ่งดูคล้ายกับปลาโลมาที่ถูกผูกไว้ด้วยเชือกและทหารอีกสองนายที่ได้เทเลือดของอะไรสักอย่างลงมา

“นี้มันอะไร…?”

กลิ่นคาวของเลือดได้ปกคลุมไปตามตัวของฉัน

แล้วมาริกก็ได้ตะโกนออกมา

“ทำดีมาก ไบค์”

ซอดัมไม่รู้เลยสักนิดว่าเลือดพวกนี้คือจุดที่สำคัญที่สุดในการเข้าโจมตีของพวกเขา

ว่าของเหลวสีแดงที่ได้ปกคลุมร่างกายของเขาเป็นเลือดจากลูกของ ‘นักล่าแห่งท้องฟ้า’ และนักล่าตัวนี้เป็นก็สิ่งมีชีวิตที่รักลูกของตัวเองมาก…

…กวูวววว!!!

เสียงร้องคล้ายแตรยักษ์ได้ดังขึ้นมาจากที่ไหนสักแห่ง

ไม่สิมันเป็นบางสิ่งที่คล้ายกับเสียงคร่ำครวญ

และชีวิตตัวนี้ก็คือปลาวาฬยักษ์

วาฬยักษ์ตัวนี้ที่ได้แหวกว่ายอยู่อย่างอิสระผ่านท้องฟ้าด้วยการใช้ครีบทั้งเจ็ดของมันคล้ายกับปีก

ซึ่งมอนสเตอร์เช่นนี้กำลังเปิดปากของมันเพื่อจะยิงบางอย่างออกมาด้วยพลังทั้งหมดที่มันจะทำได้ตรงไปยังซอดัม

เป็นตอนนี้เท่านั้นเองที่ซอดัมเข้าใจถึงความตั้งใจของอีกฝ่ายในขณะเดียวกันเขาก็ได้หัวเราะออกมา

“…ว้าว ฉันเข้าใจแล้ว ไอ้พวกสารเลวพวกนี้นิ”

คำพูดเหล่านี้ถูกพูดออกมาโดยคนแปลกหน้าที่มีเส้นผมสีดำคนหนึ่ง

ฟิ้ว!

[บาเรียคงเหลือ : 19.08%]

…เปรี๊ย!!

……………………………………………………..

หากชอบเรื่องนี้สามารถให้กำลังใจและสนับสนุนผู้แปลได้ทาง www.thai-novel.com หรือ www.amnovel.com หรือ mynovel.co แค่สามช่องทางนี้เท่านั้นนะครับ

……………………………………………………..

ตึง!

กองกำลังลมกรดได้ทำอาวุธของตนเองหลุดมือ

‘นักล่าแห่งท้องฟ้า…ถูกฆ่า…?’

มองไปที่นักล่าขนาดยักษ์ที่ได้ระเบิดเป็นชิ้นๆ กองกำลังนี้ได้สูญเสียจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของตนเองไป

มันเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อ

อาวุธปืนและปืนใหญ่

ต่อกรกับสิ่งมีชีวิตที่อยู่บนสุดของโลกไปนี้อย่างเด็ดขาดเช่นนี้ ทั้งๆที่ไม่ควรจะมีการโจมตีใดส่งผลกับมันได้

แต่ในตอนนี้ นักล่าแห่งท้องฟ้าตนนี้ได้เจอกับจุดจบของตัวมันเอง…

ทั้งๆที่แผนนี้นั้นสมบูรณ์แบบแล้วแท้ๆ

พวกเขาเคยคิดว่าถ้าหากเป็นนักล่าตัวนี้หละก็มันจะต้องฆ่าศัตรูที่ระบุไม่ได้คนนี้อย่างแน่นอน

“นี่มันไม่เห็นจะสมเหตุสมผลเลย…”

พวกเขาที่เคยมั่นใจในความเหนือล้ำของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของตนเองมาโดยตลอด

แต่ในตอนนี้หลังจากที่ได้เจอกับสิ่งที่มีความเป็นวิทยาศาสตร์อย่างท่วมท้นและสมบูรณ์แบบยิ่งกว่าของพวกเขาแล้ว

ความมั่นใจของพวกเขาก็ได้กระจัดกระจายหายไป

เมื่อเหล่าทหารที่ได้สิ้นหวังอย่างงถึงสุดจนถึงเกือบถึงขั้นที่คุกเข่าของตนเองลงไป

ใครบางคนจากด้านหลังก็ได้พยุงเขาเองไว้

“ท-ท่านรองผู้บัญชาการ?”

มันเป็นเหมยหยาน หญิงสางที่มีใบหน้าคมพร้อมด้วยเส้นผมสีน้ำตาล

เมื่อเธอเห็นว่าศัตรูที่แสนลึกสับคนนี้ได้กำลังทำการสังหารหมู่เพื่อนพ้องของเธอจากระยะไกล เหมยหยานก็เริ่มที่จะรู้สึกโกรธแค้นขึ้นมา

แล้วเธอก็พูดกับท่านหัวหน้าหน่วยที่ได้เข้ามาหาเธอจากด้านหลังที่จุดไหนสักแห่ง

“ท่านบัญชาการค่ะ ข้าคิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องเรียบรื่นเสียอีกหลังจากที่ได้ท่านได้หลอกแฟรี่ตัวเมียหน้าโง่นั้น…”

“…”

เหมยหยานได้หยุดพูดลงเมื่อสังเกตเห็นได้ว่าผู้บัญชาการได้มองไปที่ไหนสักแห่งที่อยู่ไกลออกไป

“แล้วท่านจะทำยังไงต่อหรือค่ะ?”

แทนที่จะตอบคำเธอกลับไปเขาได้ดึงดาบยาวที่แหล่มคมออกมาแทน

ทหารที่แข็งแกร่งที่สุดในดินแดนแห่งนี้,ท่านผู้บังชาการ,อัจฉริยะแห่งการประดิษฐ์,ผู้บุกเบิกชั้นยอด,ฮีโร่ของเหล่ามวลมนุษยชาติ และเป็นราชันผู้อยู่เหนือเหล่าทหารกล้าทั้งหลาย

ฮานิล แม็กซิมอฟ

“ข้าจะจัดการมันด้วยตนเอง”

พร้อมด้วยทหารชั้นยอดของเขาอีก 20 นาย กองกำลังเคลื่อนที่พิเศษพายุซึ่งมีเขาผู้นำ

ตัวเอกพวกนั้นฉันฆ่าเองแหละ

ตัวเอกพวกนั้นฉันฆ่าเองแหละ

ไม่ว่าจะเป็นคนที่กลับชาติมาเกิด,คนที่ย้อนเวลากลับมา,คนที่วนลูปได้,พวกที่ไปยึดร่างคนอื่นมา,นักเดินทางต่างมิติ,คนรู้อนาคตมากจากทางไหนสักทาง

ฉันจะล่าเจ้าพวกตัวเอกเหล่านี้เอง ไอ้พวกคนที่มีตัวตนอยู่ในโลกใบต่าง ๆ ที่มีอยู่มากมายนับไม่ถ้วนแล้วฉันก็จะดูดกลืนพรสวรรค์ของพวกเขาซะ

เหล่าพวกตัวเอกทั้งหลายที่ไม่ว่าจะเป็น

ความหวังของทวีป

ฮีโร่ที่จะช่วยโลกไว้ได้อนาคต

ฮีโร่ที่ในตอนนี้มีหลุมอยู่ตรงกลางอก!

ปาร์คแทรยอง คนที่จะปลดปล่อยเหล่าคนแคระให้เป็นอิสระและได้รับความเชื่อถือจากคนพวกนั้น

ชำระล้างสิ่งปนเปื้อนที่เป็นพิษในป่าแห่งจิตวิญญาณและได้กลายมีเป็นผู้มีพระคุณของเหล่าแฟรี่

ทวงคืนรูปปั้นหินโบราณที่เคยถูกปิดผนึกอยู่ในซากปรักหักพังในยุคอดีตกาล

กำจัดงูทะเลยักษ์ที่โผล่ออกมาจากทะเล

ปราบจักพรรดิปีศาจของโลกใต้พิภพตนที่ 47 ลงได้

“นอกเหนือไปจากการข่มขืนและฆาตกรรมแล้วยังมีเหตุการณ์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของคนจำนวนมากไม่ว่าจะเป็นการฆ่าอันป่าเถือน,การลอบวางเพลิง และ……”

“ช-ช่วยฉันด้วย..”

แกร๊ก!

นี้ก็เป็นตัวเอกเช่นกัน

แต่ในตอนนี้เขาได้ตายคามือฉันซะแล้วหละ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท