เจี่ยนซวงกระพริบตาปริบๆก่อนจะมองหน้าเจี่ยนอี๋นั่วแล้วพูดเสียงดังขึ้นมา : “แต่ว่าหนูรักหม่าม้านะคะ”
เจี่ยนซวงน่ะเป็นเด็กแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วล่ะ ในเวลาที่เธอรู้สึกผิดหรืออยากได้อะไร ก็มักจะพูดเน้นๆมาว่า “หนูรักหม่าม้านะคะ” ตลอด ทั้งๆที่รู้ว่าเจี่ยนซวงนั้นไม่ได้เข้าใจความหมายของคำว่า”รัก” เลยก็ตาม แต่ทุกครั้งที่เจี่ยนอี๋ชั่วได้ยินที่เจี่ยนซวงพูด เธอก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาทุกที ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเข้มว่า : “มานี่หน่อยค่ะ หม่าม้าจะมัดผมให้”
เจี่ยนซวงพยักหน้าขึ้นลง และจบการขอขนมลงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเข้าไปในห้องขังของเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วสูดอากาศเข้าปอดครั้งนึงแล้วพูดกับเจี่ยนอี๋นั่วว่า : “หม่าม้าคะ ถักเปียสองข้างแล้วก็ติดดอกไม้ที่คุณน้าเล่อเล่อให้หนูมาด้วยได้มั้ยคะ?”
เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้า เจี่ยนซวงหรี่ตาและยกยิ้มขึ้นมาทันที ก่อนจะยิ้มแล้วพูดข้างๆเจี่ยนอี๋นั่วว่า : “หม่า้มาดีจังเลยค่ะ”
“แล้วหนูยังจะไปให้คนอื่นเป็นแม่ของหนูอีกทำไมล่ะคะ?” เจี่ยนอี๋นั่วหวีผมให้เจี่ยนซวงพร้อมกับพูดกับลูกด้วยน้ำเสียงเข้ม
เจี่ยนซวงกระพริบตาปริบๆก่อนจะหัวเราะเอิ้กอ้ากก็ขึ้นมา : “หม่าม้าไม่ต้องหึงนะคะ นั่นมันเป็นแค่การเล่นสนุกเป็นครั้งคราวเองค่ะ คนเราหลีกเลี่ยงการเข้าสังคมไม่ได้นี่นา”
เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ไหวจึงหัวเราะออกมา : “เล่นสนุกเป็นครั้งเป็นคราวหรอคะ? การเข้าสังคม? หนูไปเรียนรู้คำพวกนี้มาจากไหนเนี่ย?”
เจี่ยนซวงเลิกคิ้วขึ้นราวกับว่าตนเองคิดไม่ออกว่าไปเรียนมาจากไหน เจี่ยนซวงอยู่ในเรือนจำเลยได้พบกับผู้คนมากมาย เธอเป็นคนเรียนรู้เก่ง เลยเรียนรู้คำที่ยุ่งเหยิงมาเยอะพอสมควร สิ่งเดียวที่เจี่ยนอี๋นั่วนั้นยังโชคดีก็คือเหล่านักโทษหญิงนั้นล้วนแล้วแต่ดูแลเธอ ไม่ได้พูดสบถอะไรต่อหน้าเจี่ยนซวง ไม่อย่างนั้นล่ะก็ตอนนั้นเจี่ยนซวงคงกลายเป็นเด็กผู้หญิงที่พูดจาไม่ดีไปแล้ว
ในขณะที่เจี่ยนอี๋นั่วหวีผมให้ลูกสาวเจี่ยนซวง เธอก็มองหน้าลูกสาวไปด้วย ใบหน้าที่กลมๆ ดวงตากลมโตของเจี่ยนซวง ดวงตาที่มักจะกระสับกระสายล่อกแล่กอยู่เสมอ ปากเล็กๆที่ยู่ๆ สีผิวขาวนวล แต่จมูกของเธอนั้นยุบหน่อยๆเพราะว่าเนื้อจมูกของเธอน้อย แต่เพราะเจี่ยนอี๋นั่วเห็นว่ามันจมูกเล็กนั้นเหมือนกันกับพ่อแม่ของเธอ เจี่ยนอี๋นั่วจึงรู้สึกว่าจมูกนั้นเป็นที่ตำแหน่งที่สวยที่สุดสำหรับเธอ
ทุกครั้งที่เจี่ยนอี๋นั่วมองลูกสสาวของเธอเจี่ยนซวง ก็อดที่จะคิดไม่ได้ว่าลูกชายของเธอที่ถูกลักพาตัวไปนั้นจะหน้าตาเป็นยังไง บุคลิกจะเป็นอย่างไร จะเติบโตมาแบบเจี่ยนซวงที่ไม่คิดอะไรและเข้าใจโลกของผู้ใหญ่ได้เร็วแบบนี้หรือเขาจะเป็นเด็กที่ช่างคิดกันนะ?
“หม่าม้าคะ งืมงืม ดอกไม้……….” สองนิ้วของเจี่ยนซวงยกขึ้นพร้อมกับบีบดอกไม้เล็กๆนั้น เพื่อเป็นกาเตือนคนเป็นแม่ว่าอย่าลืมติดดอกไม้ให้เธอด้วย
เจี่ยนอี๋นั่วหัวเราะก่อนที่จะหยิบดอกไม้จากมือของลูกน้อยเจี่ยนซวงขึ้นมา หลังจากที่เธอติดดอกไม้ให้เจี่ยนซวงแล้วเธอก็พูดขึ้นว่า : “ลองส่องกระจกสิคะ เป็นยังไงบ้าง?”
เจี่ยนซวงพยักหน้าก่อนที่จะพูดขึ้นด้วยรอยยยิ้มว่า : “หนูสวยจังเลยค่ะ”
จากนั้นเจี่ยนซวงก็จับผมเปียทั้งสองข้างของเธอพร้อมกับมองดูดอกไม้ที่ติดอยู่บนนั้น ก่อนที่จะพูดด้วยน้ำเสียงโทนต่ำว่า : “หม่าม้าคะ ดอกไม้สองดอกนี้เอาไปแลกของกินได้มั้ยคะ? หนูได้ยินเขาพูดกันว่า ดอกไม้อันนี้มีค่ากว่าสองพันหยวนเลยนะคะ สองพันกว่าหยวนซื้อเค้กกับนมได้เยอะแน่เลยค่ะ”
“ดอกไม้นี้คุณน้าเล่อเล่อเป็นคนให้หนูมานะคะ หนูชอบมันมั้ย?” เจี่ยนอี๋นั่วถามด้วยรอยยิ้ม
เจี่ยนซวงพยักหน้าขึ้นลง : “ชอบค่ะ”
เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยรอยยิ้ม : “งั้นก็พอแล้วค่ะ สิ่งของต่างๆมันสร้างขึ้นมาเพื่อมาสร้างความสุขให้กับคนเรา ถ้าหนูชอบมัน มันก็คุ้มแล้วค่ะ”
เจี่ยนซวงหันหน้ากลับมาก่อนที่จะเข้าไปอยู่ในอ้อมอกของคนเป็นแม่ ก่อนจะกระพริบตาปริบๆ : “หม่าม้าคะ หม่าม้าเป็นคนทำให้หนูเกิดมามา หม่าม้ามีความสุขมั้ยคะ?”
เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าพร้อมกับพูกับลูกด้วยรอยยิ้ม : “มีความสุขมากๆค่ะ ซวงซวงเป็นของขวัญที่ดีที่สุดที่ห่าม้าได้รับในชีวิตนี้เลยค่ะ”
ถ้าหากเธอไม่มีซวงซวงล่ะก็ เจี่ยนอี๋นั่วจินตนาการไม่ออกเลยว่าเธอจะผ่านสามปีที่ยาวนั้นมาได้อย่างไร แต่ตั้งแต่ที่เธอมีเจี่ยนซวงแล้ว ไม่ว่าเจี่ยนอี๋นั่วจะต้องอยู่ไปอีกนานแค่ไหนเธอก็จะยืนหยัดต่อไปได้
เจี่ยนซวงยู่ปากก่อนจะพูดด้วยเล็กๆขอเธอว่า : “หนูทำให้หม่าม้ามีความสุขมากขนาดนี้ หนูขออะไรหม่าม้าอย่างนึงได้มั้ยคะ?”
“ขออะไรคะ?” เจี่ยนอี๋นั่วถาม
“หม่าม้าเปลี่ยนชื่อให้หนูหน่อยได้มั้ยคะ?” เจี่ยนซวงหัวเราะเอิ้กอ้ากก่อนที่จะพูดขึ้นมาว่า : “หนูอยากชื่อว่า……….เจี่ยนมี่เซวี๋ยเอ๋อร์ค่ะ……….ชื่อนี้สิถึงจะเหมือนชื่อเจ้าหญิง พอหนูเป็นเจ้าหญิงแล้วหนูก็จะได้กินของอร่อยๆเยอะๆ”
“ไม่ได้ค่ะ” เจี่ยนอี๋นั่วทำหน้าเคร่งพร้อมกับพูดเสียงเข้ม
เจี่ยนซวงที่ได้ยินคนเป็นแม่อย่างเจี่ยนอี๋นั่วพูดเช่นนั้นก็สูดจมูกก่อนที่จะหดตัวตัวเองลงไป และไม่กล้าพูดเรื่องเปลี่ยนชื่ออีกเลย ถึงแม้จะมีบางครั้งที่เจี่ยนชวงนั้นจะซนเอามากๆ แต่ว่าเธอเองก็กลัวคนเป็นแม่อย่างเป็นธรรมชาติ เพียงแค่เจี่ยนอี๋นั่วทำหน้าดุเท่านั้น เจี่ยนชวงก็ไม่กล้าดื้อหรือซนอีก
เจี่ยนซวงเงียบจนถึงเวลาของกิจกรรมตอนกลางคืน เธอถึงกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เพราะว่าการได้อยู่ในเรือนจำนั้น มีเพียงกิจกรรมตอนกลางคืนเท่านั้นถึงจะสามารถดูหนังได้ และวันนี้เป็นวันที่มีรายการแอนนิเมชั่นที่ยาวถึงชั่วโมงครึ่งอีก เจี่ยนอี๋นั่วเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เจี่ยนซวง เจี่ยนซวงก็หยิบเก้าอี้ของตนแล้ววิ่งไปประจำที่อย่างกระดี้กระด้า
เจี่ยนซวงหมกมุ่นอยู่กับการดูโทรทัศน์ เพื่อที่ตนจะได้ดูโทรทัศน์เจี่ยนซวงนั้นสามารถที่จะไม่กินขนมก็ได้ การที่เจี่ยนซวงนั้นเติบโตมากับการอยู่ในเรือนจำ เธอจึงสามารถเห็นโลกภายนอกอันกว้างขวางผ่านทางโทรทัศน์เท่านั้น ถึงแม้ว่ายังไม่มีการเปิดโทรทัศน์ ในตอนนี้ เจี่ยนซวงก็นั่งอยู่ยนเก้าอี้ตัวเล็กพร้อมกับวางมือทั้งสองข้างของตนบนเข่าเล็กนั้น พร้อมกับเงยหน้าและจับจ้องไปที่จอโทรทัศน์สีดำตรงหน้าเรียบร้อยแล้ว
เจี่ยนอี๋นั่วย่อตัวลงนั่งข้างลูกน้อย เธอมองไปที่เจี่ยนซวงก่อนจะยกยิ้มขึ้นมา จากนั้นก็เงยหน้าดูโทรทัศน์ เพียงผ่านไปได้ไม่นานโทรทัศน์ก็เปิด เจี่ยนซวงลืมตาโตและดูโทรทัศน์อย่างไม่กระพริบตาของตน ถึงแม้ตอนแรกโทรทัศน์นั้นจะเป็นข่าว แต่เจี่ยนซวงก็ดูอย่างตั้งอกตั้งใจ เธอดูไปด้วยพร้อมกับขยับปากน้อยๆของตนตามข่าว : “สถานการณ์ของประเทศกำลังอยู่ในช่วงที่ตึงเครียด ประเทศของเราก็กำลังเผชิญกับ……..”
เมื่อข่าวภายในประเทศได้จบลงก็เปลี่ยนเป็นข่าวในพื้นที่ทันที ผู้ประกาศข่าวนั้นรายงานข่าวประจำวันอย่างรวดเร็ว เจี่ยนอี๋นั่วที่กำลังยิ้มกับข่าวที่รายงานอยู่ พอได้ยินข่าวอีกอีกข่าวรอยยิ้มของเธอก็ค่อยๆหายไปทันที นั่นคือข่าวการฆ่าตัวตาย แต่คนที่ฆ่าตัวตายนั้นเป็นไปได้น้อยมากที่จะทำแบบนั้น เขาคือคนในตระกูลเหลิ่ง ภาพคนตายที่ถูกฉายผ่านทางโทรทัศน์นั้นทำให้เจี่ยนอี๋นั่วนึกถึงบางอย่าง ตอนที่เธอเข้าไปอยู่ในคฤหาสน์ตระกูลเหลิ่ง ตอนที่เธอเข้าร่วมงานเลี้ยงของตระกูลเหลิ่งนั้นเธอเคยเห็นคนๆนี้มาก่อน คนๆนี้ถือว่าเป็นคนที่มีตำแหน่งในตระกูลเหลิ่งคนนึงเลยก็ว่าได้
แต่คนๆนี้กลับฆ่าตัวตายเนี่ยนะ และคนในตระกูลเหลิ่งก็ไม่ได้ผิดข่าวแต่กลับประกาศข่าวแบบนี้ เกิดอะไรขึ้นกับตระกูลเหลิ่งกันนะ?
“หม่าม้าคะ กระโดดตึกก็ตายแล้วหรอคะ?” เจี่ยนชวงเกาตาก่อนจะหันหน้ามาถามเจี่ยนอี๋นั่ว
เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วก่อนจะพยักหน้าช้าๆ : “ค่ะ เขาตายแล้ว”
เจี่ยนซวงเม้มปากก่อนจะพูดด้วยเสียงโทนต่ำว่า : “ตายไปแล้วก็ไม่ได้กินอาหารอร่อยแล้วสิคะ คุณปู่คนนี้นี่โง่จริงๆเลย”
“อย่าไปว่าคนที่ตายไปแล้วแบบนั้นสิคะ” เจี่ยนอี๋นั่วกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา
เจี่ยนซวงยู่ปากและไม่กล้าพูดอีก หลังจากข่าวนั้นก็มีแต่ข่าวของตระกูลเหลิ่ง การปรับแผนของบริษัทเหลิ่งบ้าง ข่าวของคนในบ้านบ้าง ต่างก็ออกข่าวทั้งหมด ในตอนท้ายปรากฏให้เห็นใบหน้าซีดของเหลิ่งเซ่าถิงที่กำลังเผชิญหน้ากับกลุ่มนักข่าว เขาไม่ได้ตอบคำถามของเหลนักข่าวและรีบเดินเดินผ่านหน้านักข่าวเหล่านั้นไปด้วยใบหน้าที่เย็นชาของเขา
เหลิ่งเซ่าถิงดูซีดและผอมลงมาก ด้วยความเย็นชาของเขานั้นทำให้เขาดูเหมือนกันดาบที่คมกริบ
“หม่าม้าคะคนนั้นดูน่ากลัวจังเลยค่ะ เหมือนเขาจะดุเก่งมากๆ คนอื่นถามเขา เขาก็ไม่ตอบสักคำเลย ไม่มีมารยาท!” เจี่ยนซวงชี้ไปที่บุคคลในโทรทัศน์เหลิ่งเซ่าถิงก่อนจะพูดออกมา
เจี่ยนอี๋นั่วหายใจเข้าลึกๆหนึ่งทีก่อนจะสงบสติอารมณ์ของตัวเอง แล้วหันหน้ามาพูดกับเจี่ยนซวงด้วยรอยยิ้มว่า “เขาน่าจะมีงานที่เขาต้องจัดการไงคะ ถึงไม่มีเวลามาตอบคำถาม”
เจี่ยนซวงเม้มริมฝีปากของตนเองก่อนจะบ่นออกมาว่า : “งั้นซวงซวงก็ยุ่งทั้งวันเหมือนกันนี่คะ เพราะซวงซวงต้องกินของอร่อยๆในทุกๆวัน แต่ซวงซวงก็ยังตอบคำถามที่หม่าม้าถามได้ ซวงซวงก็เหนื่อยเหมือนกันนะคะ……..”
เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วฟังสิ่งที่เจี่ยนซวงลูกสาวบ่นออกมา ในใจของเธอก็นึกถึงข่าวที่เพิ่งออกเมื่อกี้นี้ทันที เมื่อเทียบตระกูลเหลิ่งกับเศรษฐีตระกูลอื่นๆแล้วนั้นเทียบไม่ได้เลยด้วยซ้ำ นอกจากงานแต่งงานของเหลิ่งเซ่าถิงเมื่อสองปีที่แล้วที่จัดอย่างยิ่งใหญ่อลังการ ก็น้อยมากที่ข่าวๆอื่นๆของตระกูลนี้จะถูกเปิดเผย ยิ่งเป็นข่าวเรื่องคนในตระกูลเหลิ่งฆ่าตัวตายอีก เกิดอะไรขึ้นกับตระกูลเหลิ่งกันนะ? มันดีกระตระกูลเหลิ่งหรือไม่ดีกับตระกูลเหลิ่งกันแน่?
แล้วก็ลูกอีกคนของเธออีกคนด้วย มันจะกระทบกับลูกของเธอมั้ยนะ?
เจี่ยนอี๋นั่วนั่งอย่างเหม่อลอย เจี่ยนซวงที่ดูแอนนิเมชั่นจบแล้วนั้นพิงเข้าหาเจี่ยนอี๋นนั่วคนเป็นแม่ทันที ก่อนจะพูดเบาๆว่า : “หม่าม้าคะ หนูง่วงแล้วค่ะ”
เจี่ยนอี๋นั่วได้สติกลับมาก่อนจะหันไปอุ้มลูกน้อยแล้วเก็บเก้าอี้ พร้อมกับพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มของเธอ : “โอเคค่ะ เดี๋ยวหม่าม้าพาซวงซวงไปนอนนะคะ”
เจี่ยนอี๋นั่วอุ้มลูกไว้อยู่ในอ้อมอก เจี่ยนซวงพิงไหล่ของคนเป็นแม่อย่างนุ่มนวล เจี่ยนอี๋นั่วถึงได้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ปัญหาที่เธอคิดเมื่อกี้นั้นก็หายไป เธอไม่ควรคิดอะไรที่เกี่ยวกับตระกูลเหลิ่งอีกแล้ว เหลิ่งเซ่าถิงก็แต่งงานแล้ว แล้วก็เพิ่งมีลูกไป เธอจะเกี่ยวข้องอะไรกับเหลิ่งเซ่าถิงอีกล่ะ? เหลิ่งเซ่าถิงจะเป็นยังไงก็ไม่เกี่ยวกับเธออยู่แล้ว
เจี่ยนอี๋นั่วยังจำงานแต่งที่ยิ่งใหญ่อลังการของเหลิ่งเซ่าถิงได้ดี ถึงแม้ว่าในข่าวได้เปิดเผยรูปเพียงส่วนหนึ่งของงานเท่านั้น แต่ก็สามารถรับรู้ได้ถึงความยิ่งใหญ่ของงานได้ เหลิ่งเซ่าถิงและภรรยาของเขาเหมือนกันเจ้าชายและเจ้าหญิงที่เดินไปท่ามกลางผู้คนที่อวยพแก่พวกเขา พร้อมกับดอกไม้ที่โปรยลงมาไม่หยุด
เหลิ่งเซ่าถิงและกู้เค่อหยิงนั้นเหมาะสมกันมากๆ ส่วนงานแต่งงานที่สวยงามของเจี่ยนอี๋นั่วกับเหลิ่งเซ่าถิงนั้นดูไร้ค่าเหลือเกิน
ในตอนนั้นเจี่ยนอี๋นั่วมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิงและภรรยาของเขากู้เค่อหยิงอย่างไม่ละสายตา สมองของเธอขาวโพลนไปหมด ในตอนนั้นเจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกเหมือนตัวเองจะตายเลย แต่เธอก็ไม่เคยร้องไห้ฟูมฟายกับเจี่ยนซวงเลย การร้องไห้ในครั้งนั้นทำให้เธอกลับมามีชีวิตอีกครั้ง
“หม่าม้าคะหนูรักหม่าม้านะคะ…….” เจี่ยนซวงเอนตัวพิงบนร่างของเจี่ยนอี๋นั่ว พร้อมกับพูดออกมาพึมๆพำๆด้วยเสียงเล็กของเธอ
เจี่ยนอี๋นั่วที่ได้ยินที่เจี่ยนซวงพูด เสียงหัวเราะ “ฮิฮิ” ของลูกน้อยที่หลับอยู่บนไหล่ของเธอ ที่หลับไปด้วยพึมพำไปด้วยว่า : “อร่อยจัง…….อร่อยจริงๆเลย……..ซวงซวงจะกินให้หมดเลย!”