คุณนายเหลิ่งหรี่ตามองมีดที่วางอยู่บนโต๊ะชา ก่อนจะขมวดคิ้วขึ้น แล้วยิ้มขึ้นมา : “เจี่ยนอี๋นั่ว เธอคิดว่าฉันกลัวเธอหรอ? คิดว่าฉันไม่กล้าทำอะไรเธองั้นหรอ?”
เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มก่อนจะพูดว่า : “ฉันรู้ค่ะว่าคูรนายเหลิ่งกล้าฆ่าฉัน สำหรับคุณฉันก็แค่มดตัวเล็กตัวนึง สามารถตายได้ตามที่คุณต้องการ แต่ว่าถ้าฉันตายแล้ว ความลับทั้งหมดในตระกูลเหลิ่งจะต้องถูกส่งไปยังหนังสือพิมพ์ของต่างประเทศทั้งหมด รวมทั้งเรื่องลูกของฉันที่ถูกลักพาตัวแล้วก็โดนคุณฆ่า”
คุณนายเหลิ่งค่อยๆขมวดคิ้วขึ้นทีละน้อยแล้องจ้องไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว : “เธอคิดว่าสำนักพิมพ์ไหนจะกล้าพิมพ์เรื่องของตระกูลเหลิ่งอย่างงั้นหรอ?”
เจี่ยนอี๋นั่วหรี่ตาแล้วพูดว่า : “ตระกูลฮั่วไงคะ เมื่อหลายวันก่อนฉันดูข่าว ฉันยังเห็นข่าวความขัดแย้งกันของตระกูลเหลิ่งกับตระกูลฮั่วอยู่เลยนะคะ ไม่คิดเลยนะคะว่าไม่กี่ปีมานี้ตระกูลฮั่วจะเติบโตมั่งคั่งได้ไวขนาดนี้ ไวจนขนาดที่จะเคียงบ่าเคียงไหล่กับตระกูลเหลิ่งอยู่แล้ว แล้วฉันก็ฆ่าคนเพื่อที่จะทรยศต่อตระกูลของคุณด้วย จนได้เข้าคุก ตอนนี้ฉันก็ถูกตัดสินแล้วด้วย แล้วยังไงล่ะคะ? เรื่องราวของฉันอาจจะไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้กับตระกูลเหลิ่ง แต่ก็สามารถทำให้ตระกูลเหลิ่งเป็นที่หัวเราะเยาะของคนอื่นได้ พอซวงซวงโตขึ้น เธอก็จะรู้ว่าทำไมฉันถึงตาย เธอก็จะเกลียดคัณนายเข้าไส้ไงล่ะคะ….”
คุณนายเหลิ่งขมวดคิ้วใส่เจี่ยนอี๋นั่ว ผ่านไปสักพักเธอถึงได้ใยเย็นขึ้น : “เป็นแม่ที่ดีจังนะ เธอกำลังตัดทางลูกสาวของเธออยู่นะ ถ้าฉันฆ่าเธอขึ้นมาจริงๆ แล้วเอาตัวเจี่ยนซวงกลับไป ลูกสาวเธอก็จะเกลียดฉันแล้วก็ต้องหาทางรับมือกับฉันแบบนี้ มันมีข้อดีตรงไหนล่ะ? ถ้าเธอรักลูกสาวของเธอจริงๆเธอต้องสอนให้ลูกเชื่อฟังแทนที่จะเกลียดชังสิ”
เจี่ยนอี๋นั่วหัวเราะ : “ฉันคิดว่าการเป็นแม่ที่ดีคือสอนให้ลูกของฉันอยู่ห่างจากคนตระกูลเหลิ่งแล้วคุณนายค่ะ ไม่ว่าจะวิธีใดก็ตาม”
“นี่เธอ!” คุณนายเหลิงขมวดคิ้วใส่เจี่ยนอี๋นั่วแล้วพูดอย่างเย็นชาว่า : “ไม่แปลกใจเลยทำไมลูกสาวเธอถึงได้ฉลาดพูด ที่แท้ก็ได้เธอสอนจนเสียคนนี่เอง มีเด็กบ้านไหนกันที่คิดมากอย่างลูกสาวเธอ? เธอคิดว่าฉันตัดเด็กนั่นไม่ได้หรอ? ตระกูลเหลิ่งมีหลานชายอีกตั้งคนนึง!”
เจี่ยนอี๋นั่วหัวเราะก่อนจะพูดขึ้น : “คุณนายก็ไม่ได้ชอบเจี่ยนซวงอยู่แล้วนะคะ งั้นก็ออกไปห่างๆชีวิตของเราหน่อยนะคะ ฉันกับเจี่ยนซวงแค่อยากใช้ชีวิตอย่างสงบสุข ไม่อยากมีข้อพิพาทอะไรเกี่ยวกับตระกูลเหลิ่งอีก ไม่อย่างนั้น…..”
เจี่ยนอี๋นั่วพูดถึงตรงนี้ก็ลดเสียงต่ำทันที : ถึงแม้ว่าเม็ดทรายจะเล็ก แต่ถ้ามันเข้าตามันก็ทำให้คนเราเจ็บปวดได้เหมือนกันนะคะ ถ้าฉันยิ่งตายไปแล้ว ฉันก็จะเป็นเม็ดทรายที่จะทำให้ตระกูลเหลิ่งรู้สึกแย่นั้นแหละค่ะ!”
“หึ…….” คุณนายเหลิ่งขมวดคิ้วแล้วยกยิ้ม ก่อนจะพูดกับเจี่ยนอี๋นั่วด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา : “ใจกล้าจริงๆนะ!”
ในดวงตาของคุณนายเหลิ่งนั้นส่อถึงความอาฆาตอยู่แล้ว เจี่ยนอี๋นั่วไม่สงสัยเลยที่คุณนายเหลิ่งอยากจะฆ่าเธอและคุณนายเหลิ่งทำมันได้ คุณนายเหลิ่งกับเหลิ่งหมิงอันสามารถทำให้เธอต้องไปอยูในคุกแบบนั้นได้ คุณนายเหลิ่งนั้นดูแลตระกูลเหลิ่งมานาน จึงสามารถกดให้คนในตระกูลอยู่ภายใต้เงื้อมมือของเธอได้ เลือกในมือของเธอนั่นมีไม่น้อยแน่นอน
ฆ่าคนอย่างเจี่ยนอี๋นั่วไป แล้วคุณนายเหลิ่งก็ขมวดคิ้วขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แต่เจี่ยนอี๋นั่วก็ยังไม่เลี่ยงคุณนายเหลิ่งแต่อย่างใด เธอทำเพียงมองหน้าคุณนายเหลิ่งต่อไม่หันหัวไปไหน ผ่านไปได้สักพัก คุณนายเหลิ่งถึงได้หันหน้าหนี ก่อนจะพูดอย่างกัดฟันว่า : “พวกเธอนี่นะ….รังแกคนแก่อย่างฉัน…”
คุณนายเหลิ่งพูดจบเธอก็เดินไปที่ประตูทันที เมื่อถึงประตูแล้วคุณนายเหลิ่งก็หยุด ก่อนที่เธอจะมองไปที่รูปภาพครอบครัวของเจี่ยนอี๋นั่วกับเจี่ยนซวง ใบหน้าของเจี่ยนซวงนั้นแนบชอดกับใบหน้าของเจี่ยนอี๋นั่ว เด็กน้อยยิ้มจนตาปิด คุณนายเหลิ่งยังจำความรู้สึกตอนที่เธออุ้มเด็กน้อยได้ เนื้อนุ่มนิ่มนั้น ราวกับว่าเธอกำลังอุ้มหมาน้อยยังไงอย่างงั้น
จริงๆแล้วการพาซวงซวงกลับเข้ามาในตระกูลเหลิ่งนั้น เป็นเพียงความคิดชั่วคราวของคุณนายเหลิ่งเท่านั้น ถ้ามาพิจารณาดีๆแล้ว หารที่เจี่ยนซวงได้กลับไปอยู่กับตระกูลเหลิ่งก็ไม่ใช่เรื่องที่เลวร้ายอะไร ถ้าเจี่ยนชวงได้กลับไปที่บ้านนั้น คุณนายเหลิ่งก็จะพูดเรื่องราวของเจี่ยนซวงให้กับคนอื่นๆ แล้วถ้ามีคนพูดถึงเจี่ยนอี๋นั่วขึ้นมา ครอบครัวเหลิ่งมาเป็นครอบครัวได้ยังไง? คนอื่นๆจะมองตระกูลเหลิ่งยังไง
เธออยากพาซวงซวงกลับมาด้วยไม่ได้มีประโยชน์ อะไรต่อเธอ เป็นเพียงแค่การเดินผ่านร้านสัตว์เลี้ยง แล้วก็อยากซื้อสัตว์เลี้ยงมาแก้เบื่อก็เท่านั้น
ช่างมันเถอะ ปล่อยเด็กน้อยไปก็แล้วกัน ปลาอยไปพร้อมกับเจี่ยนอี๋นั่วอีกครั้งนึง
คุณนายเหลิางยะงไม่อยากยอมรับว่าตอนที่เธอเห็นเจี่ยนชวงกับเจี่ยนอี๋นั่วนั้นมีความสุขมากๆ ถึงได้ปล่อยเจี่ยนซวงกับเจี่ยนอี๋นั่วสองแม่ลูกนี้ไป
เมื่อเห็นคุณนายเหลิางเดินออกจากห้องไปเจี่ยนอี๋นั่วถึงล้มตัวลงไปกับโซฟา ก่อนจะถอนหายใจหลายๆครั้ง เมื่อกี้เธอคิดว่าเธอจะตายต่อหน้าของคุณนายเหลิ่งไปซะแล้วจริงๆ ตอนนี้เธอไม่มีใครดันหลัง นอกจากเงื่อนไขนี้ เจี่ยนอี๋นั่วไม่มีสิ่งใดที่สามารถเอามาต่อรองได้อีกแล้ว
เจี่ยนอี๋นั่วหลับตาลง ก่อนที่จะเปิดตาขึ้นมาอีกครั้ง เธอถึงได้ไปล้างหน้า เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกสงบขึ้นมาบ้างแล้วเธอก็ได้ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนออกจากห้องไปแล้วตรงไปที่ร้านขนมหวาน เมื่อถึงร้านขนมหวานเธอก็มองเข้าไปในร้านที่พนักงานต่างก็กำลังยุ่งๆเช่นนั้นทำให้เธอรู้สึกราวกับอยู่คนละโลก
เมื่อกี้เธอเกือบตายแล้ว ตอนนี้เธอก็อยู่ท่ามกลางความวุ่นวะวุ่นวาย เพื่อวางแผนเกี่ยวกับอนาคตของเธอและลูก เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ไหวที่จะยกยิ้มขึ้นมา ถึงแม้ว่าคิ้วของเธอนั้นยังขมวดอยู่แน่น แต่เธอก็ค่อยๆยิ้มออกมา เจี่ยนอี๋นั่วหวังแค่เพียงว่าเมื่อคุณนายเหลิ่งออกไปจากชีวิตของเธอแล้ว ปัญหาชีวิตของเธอจะน้อยลงมาบ้าง
เมื่อคุณเหลิ่งกลับมาถึงคฤหาสน์เหลิ่ง ภายในนั้นก็กระเซอะกระเซิงไปหมด คุณนายเหลิ่งขมวดคิ้วขึ้นมา : “นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
คนรับใช้รีบตอบทันที : “คุณนายคะ คุณหญิงถูก……ลักพาตัวไปแล้วค่ะ…….”
คุณนายเหลิ่งจ้องคนรับใช้คนนั้นพร้อมกับขมวดคิ้วขึ้น : “โดนลักพาตัวงั้นหรอ? หมายความว่ายังไง?”
คนรับใช้รีบตอบทันที : “วันนี้คุณหญิงพาคุณหนูออกไปด้วยค่ะ แล้วก็ไม่กลับสักที ผ่านไปได้ไม่นานก็มีคนโทรมา เขาเป็นคนที่จับคุณหญิงไปค่ะ”
“บอดี้การ์ดล่ะ?” คุณนายเหลิ่งพูดพร้อมกับขมวดคิ้ว : “บอดี้การ์ดไปไหน?”
“บอดี้การ์ดตายแล้วค่ะ” คนรับใช้เงยหน้ามองคุณนายเหลิ่ง ก่อนจะก้มหน้าลงอย่างรวดเร็ว
คุณนายเหลิ่งถอนหายใจก่อนจะขมวดคิ้วแล้วพูดว่า : “เธอก็รู้ว่าเธอเป็นไม่สบายใจ แต่นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว? ไม่รู้รึไงว่ามีหลายสายตาจับจ้องเธออยู่? ยังจะกล้าออกไปข้างนอกอีก? จะไม่เอาชีวิตแล้วจริงๆใช่มั้ย!
คุณนายเหลิ่งพูดถึงตอนนี้ เธอก็เห็นเหลิ่งเซ่าถิงเดินเข้ามาจากข้างนอก ก่อนจะพูด : “เซ่าถิง หลานรู้มั้ยว่าใครเป็นคนจับกู้เค่อหยิงไป ถ้าเธอน่ะไม่อะไรหรอก แต่เธอพาลูกไปด้วยน่ะสิ”
“เหลิ่งเฉิงถิงครับ” เหลิ่งเซ่าถิงพูจนจบด้วยน้ำเสียงโทนต่ำ : “น่าจะเป็นเพราะการตายของเหลิ่งเฉิงอวี้ไปกระตุ้นให้เขาทำน่ะครับ ผมเพิ่งจะสอบสวนเขาไป เขาก็จับตัวกู้เค่อหยิงไปแล้ว”
คุณนายเหลิ่งขมวดคิ้วก่อนจะอดไม่ไหวที่จะตำหนิ : “ย่าบอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่ารีบ ตอนนี้เลยทำให้คนพวกนี้เขาเคืองเข้าไปใหญ่ อีกหน่อยต้องมีเลือดตกยางออกแน่ๆ ตอนนี้ยิ่งไม่ใช่แค่ตระกูลเหลิ่งที่มีอำนาจมาก ตระกูลอื่นก็ตั้งหน้าตั้งตารอล้มตระกูเหลิ่งอยู่ แล้วพวกมันก็จะทำให้เรานองเลือดกันทั้งหมด”
เหลิ่งเซ่าถิงหันหน้าไปมองคุณนายเหลิ่ง ก่อนจะพูดด้วน้ำเสียงโทนต่ำว่า : “คุณย่าครับ เรื่องนี้ไม่ต้องพูดแล้วนะครับ พวกเรารู้ดี ตอนนี้ภายในตระกูลของเราก็เกิดปัญหาขึ้นมากมาย ตอนนี้ทางแก้ก็คือต้องฆ่าคนบางคน คนภายนอกจะได้รับผลประโยชน์ แต่ถ้าเราไม่ทำในอนาคตอาจจะไม่เหลือตระกูลเหลิ่งแล้วก็ได้ครับ ตระกูลของเราก็จะสลายไปจากคนใน แล้วถึงตอนนั้นเราก็ไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะช่วยเหลือตัวเองแล้วครับ”
คุณนายเหลิ่งเม้มปากแน่นก่อนจะหันหน้าไปถอนหายใจแล้วพูดด้วยเสียงที่เคร่งขรึมว่า : “แล้วเราควรทำยังไง? เหลิ่งเฉิงถิงเขาต้องการอะไร?”
เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้วขึ้น : “เขาอยากได้เงินครับ เขาไม่อยากให้ผมเป็นประธานใหญ่อีกต่อไป อยากให้ผมวางมือจากทุกอย่าง แล้วก็อยากให้ผมประกาศให้ทุกคนรับรู้ว่าทรัพย์สินทุกอย่างให้เขาทั้งหมด”
เมื่อคุณนายเหลิ่งได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของเธอก็สลดลงทันที ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า : ถ้าอยากได้เงินยังไงก็ให้ได้อยู่แล้ว แต่นอกจากเงินมันจะทำให้หลานสูญสิ้นอำนาจทุกอย่างไปอย่างสิ้นเชิงเลยนะ”
เหลิ่งเซ่าถิงพูดด้วยรอยยิ้ม : “ผมก็เลยปฏิเสธไงครับ ให้เขาฆ่ากู้เค่อหยิงกับเหลิ่งเฉิงเยี่ยไปเถอะครับ ผมจะได้ไปแต่งงานกับคนอื่น”
คุณนายเหลิ่งรู้ว่านี่คือการตัดสินใจเลือกที่ถูกต้องเหลิ่งเซ่าถิงเลือกอย่างนี้แล้ว มันพิสูจน์ให้เห็นว่าเขาเป็นคนที่เพอร์เฟคที่สุดสำหรับการสืบทอดตระกูลเหลิ่งต่อไป แต่คุณนายเหลิ่งก็ยังอดไม่ได้ที่จะเหม่อไปชั่วขณะ เธอหันหน้ากลับมามองเหลิ่งเซ่าถิง เธอก็คิดถึงคนที่คิดจะปกป้องลูกของตัวเอง เลยมาสั่งเธอไม่ให้ไปยุ่งด้วยอย่างเจี่ยนอี๋นั่งทันที
คุณนายเหลิ่งพูดด้วยน้ำเสียงเข้ม ; “เพราะหลานไม่ได้มีกู้เค่อหยิงในใจใช่มั้ยล่ะ”
คุณนายเหลิ่งพูดพร้อมกับกดเสียงต่ำ เพื่อให้เสียงนั้นมีแค่เธอและเหลิ่งเซ่าถิงที่ได้ยิน : “ แล้วถ้าเป็นเจี่ยนอี๋นั่วล่ะ?”
รอยยิ้มบนใบหน้าของเหลิ่งเซ่าถิงนั้นปรากฏให้เห็นชัดเจนมากยิ่งขึ้น ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มของเขา : “คุณย่าครับ ไม่ใช่ว่าผมเลือกไปแล้วหรอครับ คุณย่าน่าจะรู้ ทำไมผมถึงปล่อยเจี่ยนอี๋นั่วไป ไม่ใช่ผมไม่รู้ว่าเธอเธอถูกใส่ความนะครับ แต่เธอเป็นแค่ผู้หญิงคนนึง ทำไมผมต้องปกป้องแล้วก็เสียสละเพื่อเธอขนาดนั้นด้วย ?”
คุณนายเหลิ่งขมวดคิ้วก่อนจะถาม : “แล้วหลานไม่เกลียดย่าหรอ?”
เหลิ่งเซ่าถิงพูดด้วยรอยยิ้ม : “ไม่ครับ ในทางกลับกัน ผมต้องขอบคุณคุณย่าด้วยซ้ำ ไม่อย่างนั้นพี่ชายคนนั้นก็คงยังไม่ตาย เขาอาจจะเป็นภัยต่อตัวผม ถ้าไม่เอาเรื่องนี้ใส่ความให้เจี่ยนอี๋นั่ว ผมก็ไม่สามารถหาจุดแข็งของเหลิ่งหมิงอันได้ ในเรื่องนี้ถึงแม้ว่าผมจะต้องเสียผู้หญิงคนนึงไป แต่ผมได้อะไรกลับมามากกว่านั้น พี่ชายของผมเคยเจอผม เขาเคยบอกผมมาบ้าง เลยทำให้ผมยืนได้อย่างทุกวันนี้ ขอบคุณคุณย่าแล้วก็ลูกพี่ลูกน้องคุณแม่ด้วยนะครับ ถ้าไม่ใช่เพราะทั้งสองคน เขาคงไม่ทิ้งมกดกมากมายขนาดนี้ไว้กันผม”
คุณนายเหลิ่งมองเหลิ่งเซ่าถิงราวกับคนแปลกหน้าเจอกันพร้อมกับขมวดคิ้วขึ้น : “นี่ย่าเป็นเหลิ่งอวิ๋นเซียวหรือเหลิ่งเซ่าถิงกันเนี่ย?”
เหลิ่งเซ่าถิงยิ้มก่อนจะพูด : “ทำไมครับ คุณย่าไม่พอใจหรอ? ไม่คิดว่าผมกลายเป็นแบบนี้แล้วดีหรอครับ?”
ผ่านไปสักพักคุณนายเหลิ่งถึงได้ส่งรอยยิ้มที่อบอุ่นมา : “ไม่หรอก ดีซะอีก แต่ดีซะจนทำให้ย่ากลัวน่ะสิ”
เหลิ่งเซ่าถิงยกมือขึ้นมากุมมือคุณนายเหลิ่งเบาๆ ก่อนจะพูดด้วยเสียงโทนต่ำว่า : “คุณย่าเตรียมจิตใจไว้ให้ดีเลยนะครับ อีกหน่อยผมจะทำให้คุณย่ากลัวได้มากกว่านี้อีก”