เมื่อกล่าวเช่นนี้ เจี่ยนอี๋นั่วก็หันไปมองเหลิ่งเซ่าถิง ตอนที่เธอกำลังเรียนรู้การถักทอไหมพรม นอกจากความคิดที่จะถักเสื้อผ้าและรองเท้าให้เจี่ยนซวงแล้ว เธอเองก็อดคิดไม่ได้ว่าเธอจะถักอะไรให้กับเหลิ่งเซ่าถิง
เสื้อกันหนาว? หรือผ้าพันคอ?
แต่ทันใดนั้นเจี่ยนอี๋นั่วก็ไม่อยากพูดคำเหล่านี้ออกมา หากว่าพูดออกมาแล้วอาจทำให้เพิ่มความลำบากใจให้กับเหลิ่งเซ่าถิงและเพิ่มความลำบากใจให้กับเธอด้วย พวกเขายังไม่รู้ว่าในอนาคตจะต้องเจอกับอะไร ทำไมจะต้องสร้างเรื่องราวความไม่ชัดเจนอีก?
เจี่ยนอี๋นั่วคิดได้เช่นนี้และกล่าว “เหลิ่งเซ่าถิง ครั้งนี้หลังจากที่จากกันไปแล้ว พวกเรายังมีโอกาสได้เจอกันอีกหรือเปล่า?”
เหลิ่งเซ่าถิงนิ่งงันไปชั่วขณะ จากนั้นเขามองเจี่ยนอี๋นั่ว “คุณยังอยากให้เราเจอกันอีกเหรอ?”
เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วและมองเหลิ่งเซ่าถิง เวลาผ่านไปชั่วครู่ เธอส่ายหน้าเบาๆ “ฉันอยากจะเริ่มใหม่อีกครั้ง บางทีฉันอาจจะตกหลุมรักผู้ชายคนอื่นและบางทีฉันอาจจะแต่งงานกับผู้ชายคนอื่น ก่อนหน้านี้ฉันให้เยี่ยหมิงจูบอกคุณแล้ว แต่ตตอนี้ฉันอยากบอกกับคุณเอง ฉัน..”
เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วกล่าวเช่นนี้ ทันใดนั้นหัวใจของเธอก็เจ็บปวด หลังจากผ่านไปชั่วครู่ เธอก็กล่าวเบาๆ “ฉันอยากเลิกกับคุณ เหลิ่งเซ่าถิง ฉันอยู่กับคุณและฉันไม่สามารถใช้ชีวิตอย่างที่ต้องการได้ ความรู้สึกของฉันที่มีต่อคุณ มันไม่เพียงพอที่จะสนับสนุนฉันให้รอคุณได้อีกต่อไป ขอโทษด้วย ฉันไม่ได้เข้มแข็งแบบที่คุณคิด ความรักของฉันนั้นไม่เพียงพอ”
เหลิ่งเซ่าถิงถอยหลังเล็กน้อยและซ่อนตัวในความมืด เขากำมือไว้แน่นและกำก้นบุหรี่ที่ไฟยังไม่มอดดับไว้ในฝ่ามือ แต่เหลิ่งเซ่าถิงนั้นไม่รู้สึกเจ็บปวดแม้แต่น้อย เขาถามด้วยเสียงที่เครือ “ถ้าหาก..ถ้าหากว่าผมสามารถจัดการเรื่องราวทุกอย่างได้ในเร็วๆนี้และทำให้คุณมีความปลอดภัยมากกว่านี้ล่ะ?”
“จากนั้นเมื่อเจอเรื่องราวอันตราย คุณก็จะผลักไสฉันออกไปงั้นเหรอ? และ…”
เจี่ยนอี๋นั่วถอนหายใจเบาๆ “ก่อนหน้านี้ฉันเคยพูดกับเยี่ยหมิงจูแล้ว ฉันพูดไปแล้วว่าฉันไม่กลัวตาย แต่หลังจากการลักพาตัวของเหลิ่งหมิงอัน ฉันรู้สึกว่าตัวเองคิดผิด ฉันไม่กลัวตาย แต่ฉันกลัวว่าซวงซวงจะโชคร้ายเพราะฉัน ฉันสามารถเลือกที่จะอยู่กับเหลิ่งหมิงอันได้เพราะว่าซวงซวง ทำไมถึงตัดไม่ขาดจากคุณเสียที? สิ่งที่สำคัญที่สุดคือฉันไม่รู้ว่าตอนนี้ฉันรักคุณอยู่หรือไม่ เหลิ่งเซ่าถิง เราผ่านอะไรมามากมาย ตอนนี้แค่ฉันได้ยินคำว่า เหลิ่ง ก็สามารถทำให้ฉันเกือบหยุดหหายใจ ตอนนี้ฉันมองคุณ ฉันรู้สึกอ่อนล้าเสียมากกว่า ฉันรู้สึกเจ็บปวดไปกับคุณ เป็นห่วงคุณ แต่บางทีจริงๆแล้วฉันอาจจะไม่ได้รักคุณแล้ว…”
เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้วและมองเจี่ยนอี๋นั่ว ดวงตาของเขาส่องประกาย “ความรักแค่พูดว่าหมดไปมันก็หมดไปเลยแบบนั้นเหรอ? เราทั้งสองเคยมีช่วงเวลาที่ดี เราทั้งสองเคยมีความสุขด้วยกันภายในห้องนี้”
“นั่นคือเมื่อก่อน” เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและกล่าว “ตอนนี้ฉันเปลี่ยนไปแล้ว คุณเองก็เปลี่ยนไป คุณยังมองเห็นฉันเป็นเหมือนเมื่อก่อนเหรอ?”
เหลิ่งเซ่าถิงเอื้อมมือออกมาและจับข้อมือของเจี่ยนอี๋นั่วจากนั้นไปสัมผัสหน้าอกของเขา เหลิ่งเซ่าถิงต้องการตัดความสัมพันธ์กับเจี่ยนอี๋นั่วมาโดยตลอด เขาปล่อยให้เจี่ยนอี๋นั่วใช้ชีวิตอย่างสงบสุขและมีความสุข แต่เมื่อเขาได้ยินในสิ่งที่เจี่ยนอี๋นั่วพูดกับเขาว่าเธออาจจะไม่ได้รักเขาอีกแล้ว เหลิ่งเซ่าถิงก็ไม่สามารถปล่อยวางได้ เขาอยากจะบอกกับเจี่ยนอี๋นั่วว่าเขาก็เหมือนเดิม เขายังคงเหมือนกับเมื่อก่อน ตั้งแต่ที่เขาได้พบเธอ เขาก็อยากจะสัมผัสเธอ จูบเธอและกอดเธอเอาไว้
ในขณะนี้เหลิ่งเซ่าถิงรู้สึกเสียใจอย่างกะทันหัน เขาไม่ควรที่จะผลักไสเจี่ยนอี๋นั่วไป แค่คิดว่าเจี่ยนอี๋นั่วอาจจะไปตกหลุมรักผู้ชายคนอื่น เจี่ยนซวงอาจจะเรียกคนอื่นว่า “พ่อ” ด้วยน้ำเสียงหวานๆ เหลิ่งเซ่าถิงไม่อาจทนได้ เหลิ่งเซ่าถิงไม่ได้คิดจะผลักเจี่ยนอี๋นั่วไปไกลจากเขา เขาเพียงแค่พยายามที่จะปกป้องเธอ หากพวกเขาเสียชีวิตในขณะที่พบเจออันตรายล่ะ? ถ้าเสียชีวิตทั้งครอบครัวแล้วจะทำอย่างไร?
เขาไม่เพียงต้องการให้เจี่ยนอี๋นั่วอยู่กับเขาเพียงเท่านั้น เขายังต้องการให้เจี่ยนอี๋นั่วและลูกของเขาอีกคนนั้นมาอยู่ด้วยกัน แม้ว่าอี๋นั่วจะไม่ได้รักเขาแล้วก็ไม่เป็นไร เขาจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อตามจีบอี๋นั่วอีกครั้ง เขาจะทำให้เจี่ยนอี๋นั่วตกหลุมรักเขาอีกครั้งและกลับมาอยู่ด้วยกัน
เหลิ่งเซ่าถิงจ้องมองเจี่ยนอี๋นั่ว น้ำเสียงของเขานั้นทุ้มลึก “แน่นอนว่าผมยังคงเป็นเหมือนเดิม…”
เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงพูดเช่นนี้โทรศัพท์มือถือของเขาก็สั่น เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้วจากนั้นเขาก็รับสายโทรศัพท์ ปลายสายคือเสียงของจางหมิน “ประธานเหลิ่ง อาเหวินและเด็กคนนั้นเกิดอุบัติเหตุ”
เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้ว “เกิดอะไรขึ้น?”
จางหมินสูดลมหายใจเข้าและกล่าว “ประธานเหลิ่ง คุณควรมาดูด้วยตนเอง”
เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้วและกล่าว “แต่ตอนนี้ฉันกำลัง…”
“ประธานเหลิ่ง….”
จางหมินขัดจังหวะคำพูดของเหลิ่งเซ่าถิง “เหตุการณ์นี้เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของคุณเจี่ยนและคุณหนู”
เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงได้ยินเช่นนี้ เขาก็ปล่อยมือของเจี่ยนอี๋นั่วและกล่าวกับอี๋นั่ว่า “ผมต้องไปธุระ ห้องถัดไปและประตูด้านล่างมีการ์ดคอยดูแลคุณอยู่ หากว่าใครมาเคาะประตู คุณไม่ต้องเปิด ผมมีกุญแจ”
หลังจากที่เหลิ่งเซ่าถิงพูดจบเขาก็เดินออกไป เมื่ออี๋นั่วได้ยินเสียงปิดประตูราวกับว่าเธอถูกปลุกให้ตื่นจากความฝัน ทันใดนั้นร่างกายของเธอก็สั่นเทาจากนั้นลมหายใจของเธอก็สั่นเครือ เมื่อครู่ ในตอนที่มือของเธอสัมผัสกับหน้าอกของเหลิ่งเซ่าถิง หัวใจของเจี่ยนอี๋นั่วก็เต้นเร็วขึ้นอย่างช่วยไม่ได้
เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะพึมพำกับตัวเอง “ความรักแค่เพียงพูดว่าหมดไปมันก็จะหมดไปเลยแบบนั้นใช่ไหม?”
เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน เพียงแต่ชีวิตที่ผ่านอะไรมามากมายทำให้รู้สึกว่ารับอะไรไม่ไหวอีกต่อไป จากนั้นก็ปลอบตัวเองด้วยคำว่าไม่รัก ทำให้ตัวเองรู้สึกว่าหากยอมแพ้ในครั้งนี้ก็เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยและไม่มีค่าอะไรสำหรับตัวเธอ ตราบใดที่คุณมีคนที่คุณรักอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหนต่อให้เป็นเพียงปีเดียวหรือสิบปี แต่แค่เพียงคุณได้เห็นเขาอีกครั้ง ได้สัมผัสเขาอีกครั้งก็สามารถทำให้หัวใจเต้นเร็วได้เช่นเคย
มือของเจี่ยนอี๋นั่วปล่อยลงอย่างไร้เรี่ยวแรง ควันที่ยังไม่จางหายไปก็ร่วงหล่นลงบนพื้น เจี่ยนอี๋นั่วพิงศีรษะของเธอบนกระจกเย็นเฉียบ หัวใจของเธอในขณะนี้นั้นกำลังตื่นตระหนก ตอนนี้เธออยากรู้ว่าคำพูดที่เหลิ่งเซ่าถิงกล่าวไม่จบเมื่อครู่นั้นคืออะไรกันแน่?
เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงไปถึงโกดังรกร้างก็เห็นว่าจางหมินกำลังรอเขาอยู่ด้วยสีหน้าที่ว่างเปล่า เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้วและถามทันที “เกิดอะไรขึ้นกันแน่? ไม่ใช่ว่าอาเหวินกับเด็กคนนั้นออกไปแล้วหรือไง?”
จางหมินพยักหน้าและพูด “ใช่ แต่ผิดคนเข้าใจผิดว่าอาเหวินนำตัวเหลิ่งเฉิงเย่ไป เพื่อที่จะหาสถานที่ปกป้องเหลิ่งเฉิงเย่ดังนั้นจึงส่งนักฆ่าไปฆ่าพวกเขาและยังส่งศพกลับมาพร้อมกับบอกว่านี่คือคำเตือน”
เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้วและมองจางหมิน “ศพ? ศพอยู่ที่ไหน?”
“ศพถูกแยกชิ้นส่วน ประธานเหลิ่งต้องการดูหรือไม่?” ใบหน้าของจางหมินซีดเซียว แม้ว่าเขาจะเห็นเรื่องราวแบบนี้มามากมาย แต่ในขณะที่เขาก็ยังคงขมวดคิ้วแน่นอย่างไม่สบายใจ สามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่าการตายของเหลิ่งเฉิงเย่และอาเหวินนั้นน่ากลัวมากเพียงใด
เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้าเบาๆ “ฉันต้องการดู”
แม้ว่าเหลิ่งเซ่าถิงเคยคิดที่จะปล่อยให้เหลิ่งเฉิงเย่อยู่เคียงข้างเขาในฐานะเกราะป้องกันของเจี่ยนซวง แต่เขาไม่คาดคิดว่า เมื่อเขาล้มเลิกความคิดนี้ เหลิ่งเฉิงเย่ที่รับหน้าที่เป็นลูกชายของเขาจะต้องตายเพราะความแค้นของผู้อื่น
จางหมินสวมถุงมือ เขาเดินไปที่ถุงผ้าสีแดงและสีน้ำเงินหลายใบที่อยู่ด้านข้างเขา เขาก้มตัวลงพร้อมกับขมวดคิ้วเล็กน้อยจากนั้นก็เปิดถุงผ้า ในเวลานี้ไฟในโกดังบางเบา เหลิ่งเซ่าถิงเห็นมือของเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะโผล่ออกมาจากถุงผ้าที่เปิดอยู่ นอกจากนี้ยังมีด้ายสีแดงที่ข้อมือของเขา แม้ว่าเหลิ่งเฉิงเย่จะไม่ใช่ลูกแท้ๆของเขา แต่หลังจากที่อยู่ด้วยกันมานานแล้ว เหลิ่งเซ่าถิงยังคงจำด้ายสีแดง ในวันคล้ายวันเกิดของเหลิ่งเฉิงเย่ กู้เค่อหยิงสวมด้ายเส้นนี้ให้กับเขาและบอกว่าเมื่อสวมใส่แล้วจะปลอดภัย
เหลิ่งเซ่าถิงค่อยๆเดินไปยังถุงผ้า เขาก้มศีรษะลงและเห็นกองเนื้อ ซึ่งแตกต่างจากเนื้อหมูตรงที่ไขมันของมนุษย์มีสีเหลือง เมื่อเรียงซ้อนกันแล้วกองเนื้อเหล่านั้นก็มีสีแดงและเหลืองปะปนกัน เหลิ่งเซ่าถิงแทบไม่สามารถแยกแยะนิ้วของเด็กกับหูของผู้ใหญ่จากกองเนื้อเหล่านั้นได้เลย
จากนั้นจางหมินก็เปิดถุงผ้าอีกใบ “นี่เป็นอีกส่วนหนึ่ง ในถุงนี้นั้นไม่ได้มีแค่ศพของอาเหวินและเหลิ่งเฉิงเย่เท่านั้น แต่ยังมีศพของคนที่ปกป้องพวกเขาจากการหลบหนีในครั้งนี้ดังนั้นจึงส่งถุงใหญ่มาสองสามถุง”
“ใครเป็นคนทำ? ส่งมาได้อย่างหยิ่งผยอง แน่นอนว่าจะต้องทิ้งร่องรอยไว้มากมาย” เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้วและถาม
จางหมินสูดลมหายใจเข้าอย่างลึกๆและกล่าว “เป็นลูกนอกสมรสของเหลิ่งเฉิงรุ่ย เขาส่งสิ่งเหล่านี้มาและได้ฆ่าตัวตาย เขาบอกว่านี่คือคำเตือนให้คุณทำ…”
เหลิ่งเซ่าถิงเงยหน้าขึ้นมองจางหมิน เขาขมวดคิ้วและถาม “คำเตือนอะไร? พูดต่อไป!”
จางหมินขมวดคิ้วและพูดด้วยเสียงเบา “เวลาทำเรื่องบางอย่าง อย่าเด็ดเดี่ยวโหดเหี้ยมจนเกินไปจนไม่เหลือช่องว่างสำหรับคนอื่นและทิ้งคนอื่นไว้เบื้องหลังเพราะคุณเองก็จะไม่เหลือทางให้เดินต่อไปเช่นกัน”
เหลิ่งเซ่าถิงหลับตาลงอย่างยากลำบาก แสงเหนือศีรษะกระทบลงมาส่องผ่านเปลือกตาของเขาและทำให้ดวงตาของเขาเจ็บปวดเล็กน้อย หลังจากนั้นไม่นานนัก เขาก็ค่อยๆลดศีรษะลงและพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก “เขาเป็นคนที่เด็ดขาดมากจริงๆ ในเมื่อเขาสามารถทำเรื่องแบบนี้ได้ นั่นแสดงว่าฉันยังคงใจกว้างอยู่ เรื่องบางอย่างหากว่าไม่ยอมตัดรากถอนโคน มันอาจจะปล่อยให้คนอย่างเขามีโอกาสที่จะใช้ประโยชน์จากมัน! จางหมิน เตรียมตัวไว้ให้ดี หลังจากนี้มีเรื่องให้พวกเราได้จัดการอีกมาก”
เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงกล่าวเช่นนี้ เขาก็ก้มศีรษะลง ยกมือขึ้นและลูบนิ้วก้อยที่เปื้อนเลือดของเหลิ่งเฉิงเย่ เขากล่าวเบาๆว่า “ขอโทษด้วยที่ปล่อยให้เธอตายแทนของลูกฉันโดยเปล่าประโยชน์”
หลังจากที่เหลิ่งเซ่าถิงพูดจบเขาก็หรี่ตาและมองไปที่กองซากศพที่นองเลือดด้วยสายตาพร่ามัว ราวกับว่าสิ่งที่เขาเห็นนั้นไม่ใช่อาเหวินและเหลิ่งเฉิงเย่แต่กลับเป็นเจี่ยนซวงและเจี่ยนอี๋นั่ว นิ้วที่เขาลูบนั้นเหมือนกับนิ้วเล็กๆอ้วนๆของเจี่ยนซวงที่เขาได้สัมผัสในวันนี้
เหลิ่งเซ่าถิงปิดปากของเขาจากนั้นก็ก้าวเท้าถอยหลังไป เขาหันหน้าหนีไปทางอื่นจากนั้นเขาก็อาเจียนออกมา อาหารที่เขากินไปในวันนี้ ทุกอย่างก็ได้อาเจียนออกมาทั้งหมด นี่คืออาหารทั้งหมดที่เขาเตรียมการไว้อย่างดีเพื่ออี๋นั่วและเจี่ยนซวง เขารอคอยวันนี้มาหลายปีแล้ว เขาอยากจะทำอาหารให้กับเจี่ยนอี๋นั่วและเจี่ยนซวงสักมื้อจากนั้นก็นอนหลับไปพร้อมกับพวกเธอ
แม้ในคืนนี้เขาอยากจะอยู่ร่วมกับเจี่ยนซวงและเจี่ยนอี๋นั่ว ใช้ชีวิตร่วมกันโดยไม่สนใจอันตรายใดๆ
แต่เหลิ่งเซ่าถิงก็ไม่สามารถควบคุมอาการอาเจียนนี้ได้ เมื่อเขารับรู้ว่าอาหารที่ได้ลงไปในท้องของเขาในวันนี้กลับอาเจียนออกมาหมด เหลิ่งเซ่าถิงค่อยๆยิ้มและหัวเราะออกมา เสียงหัวเราะนั้นแหบแห้งและน้ำเสียงดูสิ้นหวัง