มั่วเชียนมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่วหัวเราะไปสักพัก พอเจี่ยนอี๋นั่วมองไปที่จักรยานที่ยังไม่ไปซ่อม มั่วเชียนก็กลับมามีสติอีกครั้งก่อนจะรีบลงไปนั่งยองๆข้างรถจักรยาน เจี่ยนอี๋นั่วมองมั่วเชียนซ่อมจักรยาน ตอนเริ่มนั้นมั่วเชียนค่อนข้างเก็ก แต่ผ่านไปอยู่นานสองนาน จักรยานก็ยังซ่อมไม่เสร็จ
เจี่ยนอี๋นั่วไม่ได้กินข้าวเที่ยงเธอจึงหิวมากๆ เธอเห็นว่ามั่วเชียนนั้นซ่อมจักรยานไม่เสร็จสักทีเธอก็อดที่จะไม่ถามไม่ได้ : “มันซ่อมยากมากใช่มั้ย ถ้ามันยาก ก็ไม่ต้องซ่อมแล้วนะ ฉันเข็นกลับก็ได้ มันไม่ได้ไกลอะไร”
มั่วเชียนเช็ดเหงื่อที่หน้าผากของตนเองก่อนจะรีบพูดขึ้นมาทันที : “ไม่เป็นไรครับ อีกนิดเดียวเอง ระยะทางมันไกลขนาดนี้ คุณจะเข็นกลับได้ยังไงล่ะครับ? เดี๋ยวผมก็…..”
ในขณะที่มั่วเชียนพูดอยู่ เนื่องจากเขาใช้แรงลงไปที่มือมากเกินไปเลยทำให้กรงเกียร์ของจักรยานเจี่ยนอี๋นั่วหลุดออกมาทันที มั่วเชียนเงยหน้ามามองเจี่ยนอี๋นั่วก่อนจะใบหน้าของเขาจะซีดลง
ตอนแรกเจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกขอบคุณมั่วเชียนมากที่เขาเก็นสร้อยมาคืนให้ ต่อมาเธอกับกลุ่มคนที่มากับมั่วเชียนนั้นพูดกันไม่ถูกคอเท่าไหร่ รวมถึงมั่วเชียนทำเป็นไม่รู้จักเธอ เจี่ยนอี๋นั่วก็รู้สึกไม่ชอบเด็กผู้ชายคนนี้เล็กน้อย เมื่อกี้ที่เธอเจอมั่วเชียน มั่วเชียนเอ่ยปากจะซ่อมจักรยานให้เธอ เธอจึงรู้สึกขอบคุณมากๆ
แต่เตี่ยนอี๋นั่วไม่คิดมาก่อนเลยว่ามั่วเชียนนั้นซ่อมจักรยานไม่เป็น แล้วทำไมเขายังจะมาถ่วงเวลาของเธออยู่อีกทำไมกันนะ? มั่นใจในตัวเองเกินไป แล้วหยิ่งผยองทำสิ่งที่มันเกินความสามารถของตัวเอง อาจจะเป็นเพราะบุคลิกเด็กผู้ชายทั่วไปในช่วงวัยนี้ล่ะมั้ง ถ้าเกิดเธอคือเจี่ยนอี๋นั่วเมื่อสิบปีที่แล้ว เธอคงไม่สนใจปัญหานี้ เพียงแค่รูปลักษณ์ภายนอกของเขาที่หล่อเหลานี้ หรือผู้ชายเล่นบาสก็สามารถดึงดูดความสนใจเธอได้แล้ว เธอน่ะชอบผู้ชายแนวนี้มากๆโดยสิ้นเชิง
แต่ตอนนี้เจี่ยนอี๋นั่วอายุเท่านี้แล้ว การที่เธอต้องสื่อสารกับเด็กชายอย่างมั่วเชียนแบบนี้รู้สึกว่าเหนื่อยหน่ายเล็กน้อย ความอ่อนโยนและความเกรงใจนั้นมันไม่ได้ติดตัวเด็กผู้ชายมาตั้งแต่เกิด จากเด็กวัยรุ่นที่ซื่อบื้อจนโตเป็นผู้ชายที่อบอุ่นสุภาพบุรุษแบบนี้ ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลามากมายแค่ไหน หรืออาจจะมีผู้ชายบางคนที่ไม่ได้รู้จักคำว่า ‘สุภาพบุรุษ’เลยทั้งชีวิตก็ได้
เจี่ยนอี๋นั่วพยายามรักษารอยยิ้มของเธอเอาไว้ ก่อนจะพูดกับมั่วเชียนด้วยรอยยิ้มว่า : “กรงเกียร์ตกหรอ? ไม่เป็นไรนะ ฉันคิดว่าจะไม่ใช้จักรยานคันนี้แล้วพอดี เธอทิ้งมันไว้ข้างทางเลยแล้วกัน ทำป้ายด้วยนะ พรุ่งนี้ถ้ามีคนมาส่งผักเดี๋ยวเขาก็คงจะเอากลับไปด้วยเอง”
มั่วเชียนขมวดคิ้วก่อนจะพูดว่า : “ได้ยังไงล่ะครับ? ผมทำมันเสีย เดี๋ยวผมจะชดเชยให้ครับ จะลองดูว่าผมจะซ่อมได้มั้ย…….”
อ่า………เด็กผู้ชายคนนี้ยังมีข้อบกพร่องอะไรบางอย่างอยู่ ก็คือความดื้อรั้นของเขานั่นเอง
เจี่ยนอี๋นั่วถอนหายใจก่อนจะยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า : “งั้นเธอก็ค่อยๆซ่อมไปนะ ฉันขอตัวก่อน”
เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ เธอก็หันหลังแล้วเดินลงเขาทันที
“เห้ เดี๋ยวก่อนสิครับ” เมื่อมั่วเชียนเห็นว่าเจี่ยนอี๋นั่วเดินจากไป เขาก็รีบปล่อยจักรยานแล้วก็รีบตามเจี่ยนอี๋นั่วไปทันที
มั่วเชียนพูด : “ขอโทษนะครับ คุณโกรธรึเปล่าครับ?”
เจี่ยนอี๋นั่วมองมั่วเชียน ก่อนจะยิ้มแล้วก็พยักหน้า : “อืม โกรธมาก ถึงเธอจะใจดีออกปากช่วยเหลือฉัน แต่ก็เห็นได้ชัดว่ามันเกินกำลังของเธอ สุดท้ายไม่ใช่แค่จะช่วยฉันไม่ได้นะ แล้วก็ยังจะเสียเวลาของฉันอีก แล้วตอนนี้ฉันทั้งเหนื่อยแล้วก็ทั้งหิว แต่เธอมีน้ำใจ ดังนั้นถึงฉันจะโกรธมากๆก็ตาม ยังไงก็มาใส่อารมณ์กับเธอไม่ได้อยู่ดี”
ราวกับมั่วเชียนไม่ได้คาดไว้ว่าเจี่ยนอี๋นั่วนั้นจะพูดออกมาตรงๆว่าเธอโกรธเขา ใบหน้าของมั่วเชียนขึ้นสีแดงก่อนจะขมวดคิ้วขึ้นมาพร้อมกับเดินไปข้างๆเจี่ยนอี๋นี่วเงียบๆ โดยที่ไม่ได้พูดอะไรออกมา
จนพวกเขาลงมาจากเขา มั่วเชียนถึงได้พูดขึ้นว่า : “ผมใจดีก็จริง ผมเห็นว่าคนอื่นซ่อมได้ ผมเลยคิดว่าตัวเองก็ซ่อมได้เหมือนกันน่ะครับ”
“นี่พ่อหนุ่ม ต่อไปมั่นใจในตัวเองให้มันน้อยๆหน่อยนะ แล้วก็ประเมินความสามารถของตัวเองให้เป๊ะๆด้วยล่ะ” เจี่ยนอี๋นั่วพูดก่อนจะเดินตรงกลับไปที่บ้านของตนเอง
เพิ่งจะพูดจบ มั่วเชียนก็มาขวางหน้าเธอทันที ก่อนจะขมวดคิ้วแล้วถามขึ้นว่า : “คุณเกลียดผมมากใช่มั้ยครับ? เพราะตอนเช้าผมกับเพื่อนๆของผมเสียมารยาทกับคุณ แล้วผมก็ยังทำเป็นไม่รู้จักคุณอีก หรือว่าเพราะผมทำจักรยานของคุณเสียหรอครับ?”
เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยรอยยิ้ม : “ไม่หรอก แต่ที่ฉันไม่ชอบที่สุดก็คือการที่เธอมาขวางฉันอยู่แบบนี้ต่างหาก ช่วยหลบไปด้วยนะ โอเคมั้ย?”
มั่วเชียนขมวดคิ้วพร้อมกับมองหน้าเจี่ยนอี๋นั่ว ผ่านไปได้สักพักเขาถึงได้รวบรวมความกล้าแล้วพูดไปว่า : “จริงๆแล้วผม………….”
“จริงๆแล้วฉันไม่ชอบเธอ” เจี่ยนอี๋นั่วพูดตัดประโยคของเขาด้วยรอยยิ้ม : “ฉันไม่ชอบเด็กผู้ชายอย่างเธอหรอก ดังนั้นไม่ต้องมาเสียเวลากับแม่เลี้ยงเดี่ยวอย่างฉันเลย”
มั่วเชียนขมวดคิ้วก่อนจะพูดอย่างโกรธๆว่า : “ผมไม่ได้บอกว่าผมชอบคุณนี่ครับ!”
เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยรอยยิ้ม : “ใช่ เธอไม่ได้พูด ฉันก็แค่ปฏิเสธเธอก่อนเท่านั้นเอง ตอนนี้เธอจะให้ฉันไปได้รึยัง?”
เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบเธอก็ยิ้มแล้วเดินผ่านมั่วเชียนไปทันที มั่วเชียนดึงสายคล้องดล้องของเขาสักพัก ก่อนจะขมวดคิ้วแล้วรีบหันหลังก้าวตามเธอไปอย่างรวดเร็ว
“คุณหิวไม่ใช่หรอครับ? ผมทำอาหารให้คุณได้นะครับ” มั่วเชียนรีบตามไปข้างๆเจี่ยนอี๋นั่วก่อนจะถามขึ้น
เจี่ยนอี๋นั่วส่ายหน้าก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มว่า : “ไม่ต้องหรอก ฉันชอบอาหารที่ฉันทำเองน่ะ”
มั่วเชียนรีบพูดทันที : “ผมก็ทำให้คุณกินได้นะครับ”
เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วได้ยินมั่วเชียนพูดเช่นนั้น เธอก็หยุดเดินทันที ก่อนเธอรอยยิ้มของเธอจะค่อยๆหุบลง พร้อมกับพูดกับมั่วเชียนด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า : “ฉันไม่ชอบที่คนอื่นมารบกวนฉันแบบนี้ เธอช่วยออกห่างฉันหน่อยนะ ตอนที่เธอนิ้มน่ะก็หล่อแล้วก็สดใสอยู่ แต่มาวุ่นวายกับฉันแบบนี้ มันทำให้คนอื่นรำคาญรู้มั้ย เธอเคยช่วยฉัน ฉันเลยจะบอกอะไรให้นะ ต่อไปก็ยิ้มให้เยอะๆ แล้วก็วุ่นวายกับคนอื่นให้น้อยลงด้วย”
ราวกับมั่วเชียนไม่เคยได้ยินใครพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาและรุนแรงขนาดนี้มาก่อน จึงยืนนิ่งอย่างเหม่อลอย เจี่ยนอี๋นั่วรีบเดินไปที่บ้านของตัวเองทันที เมื่อถึงแล้วเธอดื่มน้ำก่อนจะถอนหายใจออกมา ความโกรธของเธอถึงได้ค่อยๆหายไป
หลายปีมานี้เจี่ยนอี๋นั่วเจอผู้ชายแบบมั่วเชียนอยู่ไม่น้อย มีความรู้สึกดีๆกับเธอ ตามจีบเธอ แต่ทันทีที่ฝ่ายตรงข้ามเริ่มรุกเธอ เธอก็รู้สึกเหนื่อยหน่ายขึ้นมาทันที เกิดอะไรขึ้นกับเธอกันนะ? หรือว่าเธอเกิดมาพร้อมกับการที่จะไม่ได้เจอผู้ชายที่’ดี’กันนะ? ผู้ชายที่เธอเคยเจอมาส่วนมากก็เป็นผู้ชายที่’แย่ๆ’ทั้งนั้น
ฉู่หมิงเซวียน ผู้ชายที่โคตรแย่
สวี่อี้เฟย ผู้ชายแย่ๆ
ส่วนเหลิ่งหมิงอัน……
เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วนึกถึงเหลิ่งหมิวอันสามคำนี้ เธอก็รู้สึกหนาวๆเย็นๆขึ้นมาทันที ถึงแม้ว่าชื่อนี้ได้เลือนหายจากชีวิตของเจี่ยนอี๋นั่วมานานแล้ว แต่ทุกครั้งที่เธอนึกถึงเขา ก็เหมือนกับว่าเธอนั้นหวนกลับไปในฝันร้ายเหล่านั้น
พอเจี่ยนอี๋นั่วลองมาคิดๆดูแล้ว หนึ่งในคนที่ไม่ใช่ผู้ชาย ‘แย่ๆ’ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเธอก็คือเหลิ่งเซ่าถิง เพราะเขาไม่เคยทำร้ายเธอ ไม่เคยทำให้เธอรำคาญ และเขาก็เป็นคนตรงไปตรงมาว่า เขาเปลี่ยนไปแล้ว เขาไม่ได้รักเธอแล้ว แต่เหลิ่งเซ่าถิงก็ยังทำให้เธอได้หายจากที่ตรงนั้นแล้วมาโผล่อยู่ที่หมู่บ้านเล็กๆแห่งนี้ แม้แต่ความทรงจำเธอยังต้องเลี่ยงผู้ชายคนนี้เลย
เมื่อก่อนเจี่ยนอี๋นั่วเคยพูดกับเหลิ่งเซ่าถิงอย่างภูมิใจว่าเธอจะชอบผู้ชายคนอื่นได้ และอาจจะแต่งงานกับผู้ชายคนอื่นได้ แต่ไม่เคยคิดเลยว่าเธอไม่เคยจะทำมันให้เป็นจริงเลย ถึงแม้ว่าช่วงปีหลังๆมานี้เหลิ่งเซ่าถิงไม่ได้ปรากฏตัวให้เห็นในข่าว แต่บางครั้งข่าวของเขาก็จะมีมาให้เห็นในหนังสือพิมพ์บ้าง เดี๋ยวก็แต่งงาน เดี๋ยวก็หย่า แล้วก็แต่งงานอีก เจี่ยนอี๋นั่วไม่รู้เลยว่าข่าวพวกนี้เป็นข่าวจริงหรือข่าวปลอมกันแน่
เจี่ยนอี๋นั่วคิดถึงตรงนี้เธอก็เอามือขึ้นมาเขกหัวตัวเองหนึ่งที ตอนนี้ราวกับว่าเธอเป็นรื้อฟื้นความทรงจำของแฟนเก่าขึ้นมายังไงอย่างนั้น
“ผ่านไปแล้ว…..ก็ให้มันผ่านไป…” เจี่ยนอี๋นั่วเงยหน้าขึ้นก่อนจะพูดออกมาเบาๆ
เมื่อเธอพูดจบ เธอก็ได้ยินเสียงเตาะประตูดังขึ้นมาทันที เจี่ยนอี๋นั่วรีบลุกขึ้นก่อนจะเดินตรงไปที่ประตู แล้วก็เปิดประตูออก กลังจากที่เธอเปิดประตูแล้ว เธอก็เห็นมั่วเชียนที่ยืนอยู่ตรงนั้น
เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มว่า : “จะมาอะไรกับฉันอีกล่ะ?”
ราวกับว่ามั่วเชียนนั้นยืนอยู่ตรงนั้นมานานแล้ว ใบหน้าของเขาขึ้นสีแดง เมื่อเห็นว่าเจี่ยนอี๋นั่วเปิดประตูแล้วเขาก็ยกยิ้มขึ้นมาทันที เผยให้เห็นฟันเสน่ห์สองซี่ออกมา : “ถ้าคุณคิดว่าผมยิ้มแล้วดูดี ต่อไปผมจะยิ้มให้คุณเยอะๆนะครับ”
มั่วเชียนพูดถึงตรงนี้เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆครั้งหนึ่ง ก่อนจะพูดกับเจี่ยนอี๋นั่งว่า : “คุณพูดถูกครับ ผมชอบคุณ และผมก็เคยชอบผู้หญิงคนอื่นมาแล้วเช่นกัน แต่ความรู้สึกนั้นไม่เหมือนกันกับที่ผมมีต่อคุณนะครับ แค่ผมเจอคุณผมก็ประหม่า ไม่รู้ว่าจะสารภาพกับคุณยังไง แล้วก็กลัวด้วยว่าคนอื่นจะรู้ว่าผมชอบคุณ กลัวคุณรู้ กลัวเพื่อนๆรู้ ผมอาจจะทำหลายๆเรื่องที่ทำให้คุณไม่ชอบ แต่ผมจะค่อยๆเปลี่ยนนะครับ ผมไม่รู้อะไรแล้ว รู้แค่ว่าผมชอบคุณ อยากคบกับคุณ”
เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วใส่มั่วเชียนก่อนจะพูดว่า : “แต่ฉันเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวนะ…….”
มั่วเชียนพูดขึ้นมาทันที : “ผมชอบเด็กมากๆครับ ผมเข้ากันกับเด็กมากๆด้วย”
เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มพร้อมกับส่ายหน้า : “ชีวิตมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้นนะ อีกอย่างฉันก็ไม่ได้ชอบเธอด้วย ถ้าเธอยังทำแบบนี้มันจะทำให้ชีวิตของเราทั้งสองฝ่ายยุ่งเหยิงนะ เธอไม่ได้มาเพื่อถ่ายรูปหรอ? พอกิจกรรมของพวกเธอจบพวกเธอก็กลับไปแล้ว ถ้าเธอทำงานแล้ว แล้วผ่านไปอีกสักสองสามปี แล้วฉันยังไม่แต่งงานเธอมาคุยเรื่องนี้อีกครั้ง ฉันน่าจะเก็บไปคิดนะ”
มั่วเชียนลดสายตาลงสักครู่ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองเจี่ยนอี๋นั่วอีกครั้ง แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า : “คุณหิวไม่ใช่หรอครับ? ผมทำบะหมี่เก่งนะครับ ให้ผมทำให้คุณกินนะ”
เจี่ยนอี๋นั่วยกมือขึ้นมาห้าม แต่มั่วเชียนก็ยังเดินเข้าไปในเขตบ้านของเจี่ยนอี๋นั่วอยู่ ตอนที่เจี่ยนอี๋นั่วรีบตามเข้าไปนั้น มั่วเชียนก็ได้เข้าไปในห้องครัวเรียบร้อยแล้ว ก่อนที่เขาจะพับแขนเสื้อแล้วพูดกับเจี่ยนอี๋นั่วด้วยรอยยิ้มว่า : “คุณยังไม่ได้ทานข้าวใช่มั้ยครับ? ผมจะทำบะหมี่ให้คุณกิน”
เจี่ยนอี๋นั่วหันหลังมาพบกับร่างของคนที่คุ้นเคยอยู่ข้างนอกประตู ก่อนเธอจะส่ายหน้าไปมา คนคนนั้นถึงได้เดินจากไป เจี่ยนอี๋นั่วมองไปที่กล้องที่ติดไว้ในสวนของเธอ เป็นเพราะมีคนเห็นว่ามีคนแปลกหน้า้ข้ามาในบ้านหรือเกิดปัญหาอะไรขึ้นแน่ๆ
เจี่ยนอี๋นั่วถอนหายใจ ก่อนจะพูดกับมั่วเชียนว่า : “บ้านฉันไม่มีบะหมี่หรอกนะ”
มั่วเชียนเอาบะหรี่กึ่งสำเร็จรูปออกมาสองห่อ ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มว่า : “ไม่เป็นไรครับ ผมเอามาด้วย คุณอยากกินรสจืดหรือว่าจัดจ้านล่ะครับ?”
เจี่ยนอี๋นั่วถอนหายใจอยู่ที่ประตูอย่างช่วยไม่ได้ : “เอารสที่จืดหน่อยแล้วกัน”