ตัวเอกพวกนั้นฉันฆ่าเองแหละ – ตอนที่ 60

ตอนที่ 60

ดวงตาของมิสคลีนปิดสนิทในขณะที่เธอทำสมาธิอยู่ด้านใต้ของน้ำตก

เมื่อไหรก็ตามที่เธอได้ทำให้จิตใจของตนเองว่างเปล่าลงและปล่อยให้น้ำตกพวกนี้ตกกระทบไปทั่วทั้งร่างกายของเธอ เธอจะรู้สึกราวกับว่าสิ่งต่างๆที่อยู่ภายในหัวของเธอกระจ่างชัดมากขึ้นเล็กน้อยแม้ว่ายูซอดัมจะได้พูดเรื่องงี่เง่าอย่างเช่นว่า ‘แน่นอนอยู่แล้ว น้ำตกนะต้องเป็นสถานที่สำหรับการฝึกฝนอยู่แล้ว’ เมื่อเขาได้เห็นเธอนั่งอยู่ด้านใต้น้ำตก มิสคลีนก็ไม่ได้ให้ความสนใจเขาอีกต่อไป

เดิมทีแล้วมิสคลีนได้ใช้ดาบใหญ่เป็นอาวุธของเธอ อาวุธหนักซึ่งแม้ว่าจะเป็นนักดาบที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดีแล้วก็ตามการก็จำเป็นที่จะต้องใช้สองมือเพื่อที่จะถือมันแต่ดาบใหญ่เช่นนี้กับสมบูรณ์แบบสำหรับเธอที่มีกล้ามเนื้อที่พิเศษจนกระทั้งถึงเธอได้รู้ว่า…

‘ดาบยาวนั้นเหมาะสมกับฉันมากกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับดาบใหญ่’

แม้ว่าเธอจะรับรู้ได้ว่ามันควรที่จะเป็นเช่นนี้แต่ร่างกายของเธอก็เฉื่อยชาเกินไป สำหรับมิสคลีนดาบใหญ่นั้นไม่ใช่ทางเลือกของเธอแต่เป็นสิ่งที่จำเป็นมันเป็นดาบที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการเอาชีวิตรอดของเธอดังนั้นเธอเลยคิดว่าเธอจะใช้ดาบใหญ่ในทั้งชีวิตที่เหลือของเธอทั้งหมด

อย่างไรก็ตามเธอกลับสูญเสียความแข็งแกร่งของตนเองไปในตอนที่เธอได้ต่อสู้กับอโดเนนและด้วยการช่วยเหลือของยูซอดัมทำให้เธอสามารถที่จะเรียกคืนความแข็งแกร่งของตนเองกลับคืนมาได้

และในตอนนี้ มันทำให้เธอสามารถที่จะกระจายค่าสถานะของตนเองได้ตามที่เธอต้องการ

“….”

เมื่อเธอลืมตาขึ้นมา เธอก็ได้เห็นว่ายูซอดัมกำลังทำสมาธิอยู่ใต้น้ำตกตรงหน้าของเธอ

เธอค่อยๆลุกขึ้นจากที่นั่งของเธอและดึงดาบของตนออกมา มันไม่ใช่ดาบใหญ่เล่มที่เธอเคยใช้มาทั้งชีวิตของเธอแต่เป็นดาบสั้นที่เพรียวบาง

ค่อยๆ อย่างช้าๆ เธอเหวี่ยงดาบของตนเองไปทางด้านข้างเธอรู้สึกได้เลยว่าดาบเล่มนี้นั้นเป็นดาบที่เบาที่สุดท่ามกลางดาบทั้งหมดที่เธอเคยผ่านมือของเธอนับตั้งแต่เธอเรื่องถือดาบและมันก็ยังเป็นดาบที่เร็วที่สุดอีกด้วย

[สกิลของมิสคลีน ‘เพลงดาบเลือดเหล็ก (SS)’ ได้รับการเปลี่ยนแปลงไปเป็น ‘เพลงดาบสายลมเหล็กไหล’]

น้ำตกได้แยกออกจากกันในตอนที่เธอเหวี่ยงดาบออกไป

……………………………………………………..

หากชอบเรื่องนี้สามารถให้กำลังใจและสนับสนุนผู้แปลได้ทาง www.thai-novel.com หรือ www.amnovel.com หรือ mynovel.co แค่สามช่องทางนี้เท่านั้นนะครับ

……………………………………………………..

“เจ้าค่อนข้างที่จะมีพรสวรรค์เลยนิ มันดีกว่าพวกก้อนกรวดริมทางพวกนั้นมากมายเลยหละ”

“….”

ฉันอยู่อย่างเงียบๆฟังในสิ่งที่มิสคลีนพูดออกมา ฉันไม่มีข้อโต้แย้งใดๆไม่ว่าอะไรก็ตามไม่มีเลยแม้ว่าเธอจะเปรียบเทียบพรสวรรค์ระดับ (A+) ของเขาเป็นเพียงแค่สิ่งที่ดีกว่าพรสวรรค์ของก้อนกรวดริมทางก็ตาม

เหตุผลที่ว่าทำไมฉันถึงได้มานั่งอยู่เงียบๆแบบนี้โดยที่ไม่เถียงอะไรกลับไปนั้นเป็นเพราะว่าเธอนั้นมีพรสวรรค์ในเรื่องของวิชาดาบที่เหนือยิ่งกว่าตัวของฉันเองมากโข เห้อ พรสวรรค์ดังเดิมของฉันก่อนที่จะได้รับความช่วยเหลือของระบบก็คงจะเป็นระดับเดียวกับพวกก้อนกรวดริมทางพวกนั้นหละมั้งเพราะงั้นแล้วฉันเลยไม่ต้องการที่จะโต้เถียงเรื่องนี้กับเธอ

“แต่ว่าด้วยระดับของเจ้าในตอนนี้นั้นมันยังคงไม่เพียงพอที่เจ้าจะเรียนรู้เพลงดาบของข้าได้”

เธอเพียงแค่ใส่เสื้อผ้าบางๆพร้อมกับเส้นผมสีเงินของเธอที่ถูกถักยาวลงไปที่ด้านหลังของเธอ รวมเข้ากับผิวสีแทนของเธอที่ไม่มีร่องรอยของแผลเป็นใดๆมันทำให้ฉันรู้สึกสงสัยขึ้นมาว่านี้มันเป็นผิวของคนที่เป็นนักรบจริงๆแน่เหรอ

มิสคลีนได้ขอให้ฉันแสดงเพลงดาบของตัวเองออกมาให้เธอเห็น

ดังนั้นฉันเลยแสดงมันให้เธอดู มันเป็นเพลงดาบที่เกิดจากการเหวี่ยงดาบด้วยวิถีง่ายๆไร้ซึ่งรูปแบบใดๆมันเป็นเพียงแค่เพลงดาบที่เหมาะสมกับตัวฉันเอง

เธอมองดูมันอย่างเงียบๆในขณะที่ฉันได้ควงดาบไปในอากาศแล้วเธอก็ได้เปิดปากของตนขึ้น

“ไม่ธรรมดาๆ มันไม่ใช่ว่าใครก็สามารถจะมีดวงตาที่สามารถจะรับรู้ได้อย่างง่ายดายว่าเพลงดาบไหนที่เหมาะสมกับตัวเขาเองมากที่สุดหรอกนะ เจ้านะเป็นคนที่ได้รับการอวยพร”

“ฉันก็ว่างั้นแหละ”

ความจริงของเหตุผลที่ว่าทำไมฉันถึงสามารถที่จะค้นหาเพลงดาบที่เหมาะสมกับตัวเองได้เช่นนี้คงต้องยกความดีความชอบให้กับ ‘เพลงดาบสีขาว’

“แต่ว่า…”

เธอคิดอยู่ชั่วขณะหนึ่งและมองไปที่ดาบอีเทอร์ของฉัน ความยาวของดาบอีเทอร์เล่มนี้สามารถที่จะปรับได้คล้ายกับมีดคัตเตอร์ ในตอนนี้มันมีความยาวเพียงแค่ 120 เซนติเมตรเท่านั้นโดยที่ยังไม่ได้มีพลังงานใดๆไหลผ่านมัน

“ความยาวของดาบอันแสนประหลาดของเจ้าเล่มนั้นสามารถที่จะปรับได้ตามใจนึกใช่ไหม?”

“ใช่แล้ว”

“ถ้างั้นแล้วทำไมเจ้าถึงได้ใช้มันแบบนี้หละ?”

“มีอะไรผิดไปอย่างงั้นเหรอ?”

“ถ้าหากว่ามันเป็นดาบที่สามารถจะปรับความยาวได้อย่างง่ายดายแล้วหละก็ เจ้าก็สามารถที่จะใช้งานมันให้รูปแบบที่แตกต่างกันได้นิ ไม่ว่าจะเป็น ดาบยาว,ดาบใหญ่,ดาบสั้น และกริซขึ้นอยู่กับสถานการณ์”

“นั้นก็ถูกแหละ…แต่ฉันคิดว่ามันไม่มีประสิทธิภาพมากนักที่จะใช้งานมันเช่นนั้น”

“ไม่ เจ้าผิดแล้วหละ! นั้นเป็นหนทางที่จะแสดงศักยภาพของมันออกมาได้มากที่สุดต่างหาก”

“เธอหมายความว่ายังไงกันแน่?”

มิสคลีนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะเปิดปากของเธอขึ้นอีกครั้ง

“เพลงดาบที่เจ้าได้แสดงออกมาก่อนหน้านี้นั้นก็คล้ายกับว่าเป็นแค่กระดาษดาบรูปแผ่นหนึ่ง เป็นเพียงกระดาษวาดรูปที่ยังคงว่างเปล่าแม้ว่ามันอาจจะมีร่องรอยถูกย้อมไปด้วยสีอยู่บ้างบางแต่ก็เป็นเพียงแค่บางส่วน เช่นนั้นข้าจะใช้ตัวตนของข้าเป็นสีให้กับการวาดของเจ้าเอง”

มิสคลีนลุกขึ้นมาพร้อมกับดาบสั้นในมือของเธอแล้วตั้งท่าของตน

ฉันทำได้เพียงแค่รู้สึกประหลาดใจกับการตั้งท่าของเธอ

ความประทับใจที่เธอได้มอบให้มานั้นคล้ายกับใครสักคนที่ถือดาบใหญ่ที่มีน้ำหนักมหาศาลขึ้นมาและเมื่อเธอเหวี่ยงดาบลงมาอากาศก็ถูกแบ่งแยกออกอย่างรุนแรง

หลังจากที่แสดงจากโจมตีเช่นนั้นแล้วเธอก็ได้แสดงเพลงดาบอื่นๆอีกหลายอย่าง บางครั้งมันจะรวดเร็วบางครั้งมันก็เชื่องช้า บางครั้งมันจะหนักหน่วงและในบางครั้งมันก็เบาบาง

[มิสคลีนได้ใช้กระบวนท่า ‘ดาบเร็ว (S)’]

[มิสคลีนได้ใช้กระบวนท่า ‘ดาบช้า (S)’]

[มิสคลีนได้ใช้กระบวนท่า ‘ดาบหนัก (S)’]

[มิสคลีนได้ใช้กระบวนท่า ‘ดาบเบา (S)’]

ฉันถึงกับหยุดชะงักไปกับความจริงที่ว่ามิสคลีนสามารถที่จะใช้เพลงดาบที่แตกต่างกันได้ด้วยดาบเพียงเล่มเดียวในมือเธอเท่านั้น

“นี้เป็น ‘สี’ ที่ข้าจะมอบมันให้กับเจ้า”

พรสวรรค์แรงค์ A เป็นพรสวรรค์ที่ปรากฏขึ้นทุกๆครั้งในรอบหนึ่งร้อยปีชัดเจนเลยว่าพรสวรรค์ด้านดาบของฉันในตอนนี้นับเป็นอัจฉริยะท่ามกลางเหล่าอัจฉริยะ

แต่ฉันจะสามารถพัฒนาเพลงดาบของตนเองได้มากเพียงใดกันด้วยการใช้งานเพลงดาบสีขาวที่ได้รับมาจากการขโมยเพลงดาบของคนอื่นโดยปราศจากการสอนที่ถูกต้อง?

ในประวัติศาสตร์จำนวนมากมายนับไม่ถ้วนของโลกเองก็มีเหล่าอัจฉริยะมากมายที่ได้ถือกำเนิดมา บางคนท่ามกลางคนเหล่านั้นก็มีพรสวรรค์เหนือยิ่งกว่าของฉันมันจะเป็นไปได้อย่างนั้นหรือที่ฉันจะสามารถไล่ตามคนเหล่านั้นได้ทันด้วยการใช้เพลงดาบที่ถูกพัฒนาและปรับปรุงมาโดยอัจฉริยะคนอื่นได้นะ? แล้วฉันจะสามารถใช้มันอย่างเต็มประสิทธิภาพได้อย่างนั้นนะเหรอ?

แน่นอนว่าไม่มีทาง

เพลงดาบของมิสคลีนที่อยู่ตรงหน้าของฉันในตอนนี้ได้เปลี่ยนเพลงดาบที่ฉันพึงจะแสดงไปให้กลายเป็นเศษขยะในทันที

“เจ้าคงจะต้องตกตะลึงมากแน่นอนแต่ไม่ต้องกังวลไป รากฐานของเจ้ามั่นคงยิ่งนักก็เหมือนกับที่ข้าได้พูดไปก่อนหน้านี้แหละว่าไม่ต้องกังวลเกี่ยวเพลงดาบของตนเองไปเพราะว่าสิ่งที่ข้าพึ่งจะแสดงไปมันจะกลายมาเป็นสีให้กับเจ้า”

“….”

เมื่อฉันคิดว่าฉันเองก็สามารถที่จะเรียนรู้เพลงดาบที่มิสครีนพึ่งจะแสดงออกมาเมื่อกี้นี้ได้

ก็ราวกับว่าหลอดไฟที่อยู่เหนือหัวของฉันได้ถูกเปิดขึ้น

“ลุกขึ้น”

“ครับ”

“นับจากตอนนี้ไปเจ้าจะต้องประลองกับข้าจนกระทั้งเจ้าเรียนรู้ดาบเหล่านั้นไปทั้งหมด”

“ช่วยพูดอีกทีได้ไหมครับ?”

ด้วยใบหน้าที่ปราศจากร่องรอยของการหัวเราะใดๆ เธอได้พูดบางสิ่งที่ดูเหมือนกับว่าจะเป็นมุขตลกที่ไม่ตลกเลยสักนิดออกมา

“มันเป็นครั้งแรกของข้าที่ได้สอนใครสักคนดังนั้นข้าจะระบายสีเจ้าด้วยตัวข้าเอง”

“…ครับ?”

หลังจากวันนั้นมา ประตูนรกก็ได้ถูกเปิดออก

……………………………………………………..

หากชอบเรื่องนี้สามารถให้กำลังใจและสนับสนุนผู้แปลได้ทาง www.thai-novel.com หรือ www.amnovel.com หรือ mynovel.co แค่สามช่องทางนี้เท่านั้นนะครับ

……………………………………………………..

[รูปแบบที่สองของสกิล ‘เพลงดาบสีขาว (S)’ กำลังจะเปิดออก]

รูปแบบแรกของเพลงดาบสีขาวเป็นการสะท้อนตนเองออกมา ฉันต้องคิดว่าตนเองเป็นกระดาษอันว่างเปล่าและทำการค้นหาคิดขีดจำกับของตนเองจากนั้นทำการเลือกเพลงดาบที่เหมาะสมกับฉันที่สุด,รูปแบบของดาบที่ควรใช้,วิธีไหนที่ควรใช้ในการหายใจให้เข้ากัน ในวินาทีที่ฉันสามารถที่จะเข้าใจเรื่องพวกนั้นทั้งหมด รูปแบบที่สองก็จะเปิดออก

เวลาที่พระอาทิตย์ขึ้นโดยเฉลี่ยของทวีปรอสติสลาฟโลกที่ดาบเป็นทุกสิ่งทุกอย่างนั้นช้ากว่าที่โลกมนุษย์อยู่หนึ่งชั่วโมง ฉันมักจะตื่นขึ้นและเดินออกไปที่ลานบ้านในทุกๆเช้าในช่วงสองถึงสามชั่วโมงก่อนที่พระอาทิตย์จะขึ้นเพื่อเหวี่ยงดาบไม้ไปมา

พวกเรานั้นอยู่ภายในหุบเขาซึ่งค่อนข้างที่จะห่างไกลออกมาจากตัวเมือง กระท่อมเล็กๆแห่งนี้คือสิ่งที่มิสคลีนบอกว่าเป็นบ้านของเธอเมื่อเธอต้องการที่จะพักผ่อน แน่นอนว่าฉันได้ทำงานทุกประเภทไม่ว่าจะเป็นการขนน้ำจากแม่น้ำ,การตัดฟืนและอื่นๆอีกมากมาย มันเป็นคล้ายกับว่าฉันได้กลายเป็นศิษย์ของปรมาจารย์จากในหนังหรือนิยายกำลังภายในสักเรื่อง

“…..”

ในขณะที่ฉันกำลังเหวี่ยงดาบไม้ของตนเองไปมา ฉันจะคิดย้อนกลับไปถึงประสบการณ์ที่ฉันได้รับมาในช่วงเวลาสองเดือนที่ผ่านมานี้

ฉันโดนมาหนักมากจริงๆ หนักมากๆเลย

ฉันถูกทุบตีราวกับว่าเป็นกระสอบทรายของนักมวยในยิมอยู่เสมอ

และเลเวลปัจจุบันของฉันก็คือ 49

หน้าต่างสถานะ

ชื่อ : ยูซอดัม (LV.49)
ความแข็งแกร่ง: 46 ความอึด: 45
ความว่องไว: 49 พลังงาน: 1
มานา: 50
พรสวรรค์
ความชำนาญดาบ (A+) การลดทอน (A)
สัญชาตญาณ (A) นักแม่นปืน (C)
การล่า (D+) การทำอาหาร(D-)
อื่น…
ทักษะ
นักล่าตัวเอก LV.3 การหมุนเวียนมานาของอาราเซลลี (SS)
เพลงดาบสีขาว (S) ทำอย่างไรถึงจะราวกับเป็นสายลม (A)
ช่องเก็บของ (B) สัมผัสที่หก (F)
ห้องสมุดของแม่มดขาว (F) เพ่งจิต (S)

สิ่งที่ทำให้ฉันประหลาดใจก็คือเวลาได้ผ่านไปเพียงแค่สองเดือนเองแต่กลับเหลือเพียงแค่ค่าสถานเดียวเท่านั้นที่ยังไม่ถึงขีดจำกัดของมัน(ผู้แปล : ดูยังไงหนึ่งค่า 555) นี้เป็นครั้งแรกที่ค่าสถานะพวกนี้ได้เพิ่มขึ้นหลังจากที่ผ่านมาเนินนานจากครั้งล่าสุดยังไม่รวมถึงสถานะมานาที่ได้ทะลุขีดจำกัดออกไปแล้ว

ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณมิสคลีน

‘ทำไมเจ้าถึงได้ใช้เวทมนตร์เช่นนั้นหละ?’

‘ทำไมหรือ? ฉันว่าฉันก็ใช้งานมันอย่างเต็มประสิทธิภาพแล้วนิ?’

‘นี้เจ้าพ่นเรื่องไร้สาระอะไรออกมากัน? เจ้าควรไม่ควรที่จะเผาไหม้มานาเพื่อที่จะเคลื่อนย้ายมัน ทำไมเจ้าถึงไม่ปล่อยให้ไปตามที่มันต้องการหละ?’

เมื่อฉันได้คิดตามในสิ่งที่มิสคลีนได้พูดออกมามันปัญหาที่แก้ไม่ได้ของเขาก็ถูกแก้ไขลงได้อย่างง่ายดาย

เหล่ายอดมนุษย์นั้นใช้พลังงานที่ระบุไม่ได้ซึ่งเรียกกันว่า ‘อีเทอร์’ เพื่อที่จะเสริมความแข็งแกร่งของร่างกายพวกเขาแต่ฉันไม่ได้เสริมความแข็งแกร่งให้กับร่างกายด้วยอีเทอร์หรือมานา แต่ความแข็งแกร่งที่ฉันได้รับนั้นเกิดจาก ‘สกิล’ ที่ตนเองได้รับมาเพียวๆ ดังนั้นอะไรหละที่จะเกิดขึ้นถ้าหากว่าพลังงานที่ระบุไม่ได้เช่นมานาได้ถูกเพิ่มเข้ามาในร่างกายของฉัน? แน่นอนว่าการปลดปล่อยพลังงานของฉันก็คงจะเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว

แน่นอนว่าการกระจายมานาออกไปทั่วทั้งร่างกายเพื่อเสริมความแข็งแกร่งและความเร็วนั้นไม่ได้ง่ายดายเหมือนอย่างที่มันฟังดูเป็น เพราะถ้าหากว่ามันเป็นเช่นนั้นแล้วเขาคนจะทำมันได้สำเร็จอย่างง่ายดายไปเรียบร้อยแล้ว

[สกิล ‘เพ่งจิต (S)’ ถูกเปิดใช้งาน]

ก็นะ มันคงจะเป็นเรื่องยากหากว่าไม่ได้สกิลนี้

ในขณะที่มองดูไปที่หุ่นไล่กาที่อยู่ห่างออกไปจากฉันเพียงเล็กน้อย โลกก็เริ่มค่อยๆเคลื่อนไหวช้าลงในทันทีที่ฉันได้เปิดใช้งานสกิลนี้

มันเป็นสภาวะที่ฉันสามารถที่จะรู้สึกได้ถึงทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างชัดเจน ฉันสามารถที่จะรู้สึกได้ถึงสายลมที่เกิดจากลมหายใจของตนเอง,เม็ดเหงื่อแต่ละเม็ดที่อยู่ตามตัว แม้แต่สายลมเพียงเล็กน้อยที่ไหลผ่านผิวกายฉันก็รู้สึกได้

ฉันได้เคลื่อนย้ายมานาซึ่งหมุนเวียนอยู่รอบหัวใจของฉันอย่างรุนแรงไปที่มือของตัวเองแล้วก็ได้เหวี่ยงดาบไม้ไปทางหุ่นไล่กาอย่างแรงที่สุดเท่าที่ฉันจะทำได้

ฟึบ!

หุ่นไล่กาตัวนี้ได้ถูกแบ่งออกเป็นครึ่งราวกับว่ามันถูกตัดด้วยใบมีดที่คมกรีบ

[สกิล ‘เพ่งจิต (S)’ ถูกยกเลิกใช้งาน]

“เฮือก”

หลังจากที่ได้แสดงท่าทางที่น่าตกตะลึกเช่นนั้นไป ตัวฉันที่เคยยืนอยู่ก็ได้ทรุดตัวลงอย่างรวดเร็วเนื่องจากการที่ไม่สามารถทนต่อความเจ็บปวดที่ฉันรู้สึกจากแขนของตนเองได้ หัวของฉันก็รู้สึกราวกับว่าถูกเผาไหม้อีกทั้งยังรู้สึกเหมือนว่าฉันตัวเองไม่สามารถที่จะหายใจได้อย่างถูกต้องอีกด้วย

ด้วยความสัตย์จริงแล้วในตอนที่ฉันได้รับสกิล ‘เพ่งจิต’ มาในตอนแรกนั้นฉันไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าทำไมมันถึงได้เป็นสกิลแรงค์ S ฉันคิดว่าตัวเองมีสกิลที่ดีกว่า ‘เพ่งจิต’ ด้วยซ้ำแม้ว่ามันจะถูกจัดอยู่เพียงแค่แรงค์ F ก็ตามแต่แล้วฉันก็ได้รับรู้ว่าสกิล ‘เพ่งจิต’ จะสามารถใช้งานสอดประสานกันได้อย่างลงตัวเมื่อคนๆนั้นมีมานาอยู่ในร่างกายของเขา

เพราะแบบนั้นเองเมื่อฉันได้บังคับตัวเองให้ใช้มานา มันก็จะเริ่มหมุนวนไปทั่วร่างกายของฉัน ที่มากไปกว่านั้นกฎที่คุณลูกค้าเคยได้ว่าไว้อยู่ที่ว่า ‘ค่าสถานไม่สามารถที่จะเกินกว่าเลเวลของตนเองได้’ ก็ได้ถูกแหกไปเรียบร้อย

กฎที่พึ่งจะถูกแหกไปเป็นเพียงแค่ค่าสถานะของมานาเท่านั้นไม่ใช่ค่าสถานะที่เกี่ยวข้องกับความแข็งแกร่งของร่ายกาย ตั้งแต่แรกแล้วนั้นปริมาณมานาในร่างกายเลเวล 49 นี้ก็มีมหาศาลอยู่แล้ว

ก็ในเมื่อฉันไม่เคยที่จะหยุดการหมุนเวียนมานาที่อยู่โดยรอบหัวใจของฉันด้วยการใช้วิธีการหมุนเวียนมานาของอาราเซลลีจนกระทั้งมานาในร่างกายของฉันไม่เหลืออยู่เลยสักหยดเดียวในแต่ละวัน

[สกิล ‘เพลงดาบสีขาว (S)’ ถูกเปิดใช้งาน]

[สกิล ‘เพ่งจิต (S)’ ถูกเปิดใช้งาน]

บางครั้งก็ช้า,บางครั้งก็เร็ว,บางครั้งมันก็หนักและบางครั้งมันก็เบา

ฉันสามารถที่จะใช้เพลงดาบที่มิสคลีนสอนได้แล้วในตอนนี้แม้ว่ามันจะยังไม่ได้สมบูรณ์ดีแต่ฉันก็สามารถที่จะวาดภาพของตนเองได้อย่างอิสระแล้วในตอนนี้ด้วยดาบประเภทใดก็ตามที่มีอยู่ในโลกแห่งนี้

ด้วยอัตราเช่นนี้แล้วมันสามารถพูดได้อย่างเต็มปากเลยว่าความพัฒนาเพลงดาบของฉันนั้นค่อนข้างที่จะมีความก้าวหน้าอย่างมหาศาล เพลงดาบทั้งหลายที่ฉันได้ไปสำรวจและรวบรวมมาราวกับว่าไปจ่ายตลาดก่อนหน้าที่จะได้เจอกับอโดเนนก็ได้กลายเป็นขยะไปโดยสิ้นเชิง

พระอาทิตย์กำลังขึ้นในตอนที่ฉันมองดูไปที่ท้องฟ้า

เป็นรุ่งอรุณจากเส้นเวลาของโลกที่ B ที่ซึ่งอิทธิพลจากการย้อนเวลาได้หายได้อย่างสมบูรณ์ราวกับว่าเป็นเพียงแค่รุ่งอรุณของเช้าวันใหม่ทั่วๆไป

ขณะที่ฉันพยายามที่จะลุกขึ้นจากจุดที่ตนเองนั่งอยู่ช้าๆเพื่อที่จะไปชำระล้างร่างกายที่เต็มไปด้วยเหงื่อของตนเอง เจ้ากระถางดอกไม้ก็ได้เริ่มที่จะพูดออกมา

– เฮ้ แม่มด….

“ไรหรือ?”

– ฉันเบื่อ…

“เธอก็ไปหาอะไรสักอย่างในห้องสมุดอ่านสิ?”

– ฉันอ่านหมดแล้ว…

“หมดนั้นอะนะ?”

นี้มันบ้าไปแล้ว ฉันยังไม่คิดเลยว่าที่ตนเองอ่านไปนั้นถึง 10% แล้วหรือยัง ฉันไม่รู้ว่านี้เป็นเพราะว่าเจ้ากระถางดอกไม้นั้นเป็นจิตวิญญาณหรือแค่เพราะว่าเธอเป็นพวกที่อ่านหนังสือเร็วกันแน่

“ค่อยอีกหน่อยละกัน ฉันจำเป็นที่จะต้องฝึกเพลงดาบสุดท้ายให้เสร็จก่อนที่พวกเราจะกลับไป”

– แม้ว่าพวกเราจะกลับไป ฉันก็ยังเบื่ออยู่ดี…

“ก็จริงนะฉันก็ว่างั้นแหละ? งั้นแล้วเธอต้องการอะไรหละ? เอาแอลกอฮอร์เพิ่มหน่อยไหม?”

– ม่ายยย…

เจ้ากระถางดอกไม้บิดตัวไปมาด้วยความทุกข์ระทมในช่องเก็บของอยู่พักหนึ่งแล้วก็ได้เปิดปากของตนเองขึ้นอย่างระมัดระวัง

– ได้โปรด เปิดประตูทีนะ…

“ประตู? บอกฉันทีสิว่าเธอไม่ได้กำลังพูดถึงประตูที่ใช้เปิดสิทธิในการเข้าสู่ห้องสมุดแรงค์ E อยู่ใช่ไหม?”

– งืม…

“เฮ้ นี้เธอบ้าไปแล้วหรือไง? ฉันจะเจอปัญหาใหญ่เลยนะถ้าฉันเปิดมันออก”

ฉันพยายามที่จะดุมันมากกว่านี้แต่เจ้ากระถางดอกไม้พูดออกมาเร็วยิ่งกว่าฉัน

– ทำไมหละ?

“ฉันอธิบายให้เธอฟังไปเมื่อครั้งที่แล้วไงว่าเพราะงั้นฉันจะไม่อธิบายมันซ้ำอีกครั้ง-”

– นายสามารถเปิดมันได้แล้วนะในตอนนี้…

“อะไรนะ?”

– แม่มด เปิดประตูทีน้าาาาา…

จู่ก็เพี้ยนอะไรขึ้นมาอีกหละเนี่ย?

ครั้งแล้วครั้งเล่า ที่เจ้าดอกไม้มักจะทำตัวสะอึกสะอื้นแบบนี้ขึ้นมาแต่ว่าฉันไม่เคยเห็นครั้งไหนเลยที่มันจะทำตัวดื้อรั้นแบบนี้ ไม่ว่าจะในครั้งไหนก็ตามเมื่อฉันได้พูดว่าไม่ออกไปแล้วมันจะปิดปากเงียบสนิทและบอกว่าได้กลับมาเท่านั้น

ถึงแม้ว่าฉันจะไม่ได้เต็มใจที่จะทำมันตั้งแต่แรกอยู่แล้วแต่ว่าฉันก็ยังอัญเชิญ ‘ห้องสมุดของแม่มดขาว (F)’ ขึ้นมา

[สกิล ‘เพ่งจิต (S)’ ถูกเปิดใช้งาน]

ในคราวนี้ขอบเขตและทุกสิ่งทุกอย่างในห้องสมุดที่เคยโปร่งแสงนี้ได้กลับกลายมาเป็นสมจริงราวกับว่าจับต้องได้ มันราวกับว่าฉันได้เข้ามาอยู่ในห้องสมุดจริงๆเมื่อฉันยืดมือของตัวเองออกไปฉันสามารถที่จะรู้สึกได้สัมผัสของชั้นหนังสือที่หยาบกระด้าง

เมื่อฉันดึงหนังสือออกมาและกางมันออก ความรู้สึกของปกหนังสือที่ทำจากหนังและความรู้สึกของกระดาษที่แห้งสากนั้นชัดเจนอยู่ที่ปลายนิ้วของฉัน

ทุกสิ่งทุกอย่างรู้สึกราวกับว่าเป็นความจริง

“นี้มันบ้าไปแล้ว! นี้มันโลกอะไรกัน…”

ความเป็นจริงของสภาพแวดล้อมที่ฉันเคยรู้สึกในโลกแห่งดาบได้จางหายไป เมื่อฉันรู้สึกตัวอีกทีฉันจะได้มาอยู่ในห้องสมุดของแม่มดขาวเสียแล้ว

ตัวเอกพวกนั้นฉันฆ่าเองแหละ

ตัวเอกพวกนั้นฉันฆ่าเองแหละ

ไม่ว่าจะเป็นคนที่กลับชาติมาเกิด,คนที่ย้อนเวลากลับมา,คนที่วนลูปได้,พวกที่ไปยึดร่างคนอื่นมา,นักเดินทางต่างมิติ,คนรู้อนาคตมากจากทางไหนสักทาง

ฉันจะล่าเจ้าพวกตัวเอกเหล่านี้เอง ไอ้พวกคนที่มีตัวตนอยู่ในโลกใบต่าง ๆ ที่มีอยู่มากมายนับไม่ถ้วนแล้วฉันก็จะดูดกลืนพรสวรรค์ของพวกเขาซะ

เหล่าพวกตัวเอกทั้งหลายที่ไม่ว่าจะเป็น

ความหวังของทวีป

ฮีโร่ที่จะช่วยโลกไว้ได้อนาคต

ฮีโร่ที่ในตอนนี้มีหลุมอยู่ตรงกลางอก!

ปาร์คแทรยอง คนที่จะปลดปล่อยเหล่าคนแคระให้เป็นอิสระและได้รับความเชื่อถือจากคนพวกนั้น

ชำระล้างสิ่งปนเปื้อนที่เป็นพิษในป่าแห่งจิตวิญญาณและได้กลายมีเป็นผู้มีพระคุณของเหล่าแฟรี่

ทวงคืนรูปปั้นหินโบราณที่เคยถูกปิดผนึกอยู่ในซากปรักหักพังในยุคอดีตกาล

กำจัดงูทะเลยักษ์ที่โผล่ออกมาจากทะเล

ปราบจักพรรดิปีศาจของโลกใต้พิภพตนที่ 47 ลงได้

“นอกเหนือไปจากการข่มขืนและฆาตกรรมแล้วยังมีเหตุการณ์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของคนจำนวนมากไม่ว่าจะเป็นการฆ่าอันป่าเถือน,การลอบวางเพลิง และ……”

“ช-ช่วยฉันด้วย..”

แกร๊ก!

นี้ก็เป็นตัวเอกเช่นกัน

แต่ในตอนนี้เขาได้ตายคามือฉันซะแล้วหละ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท