เหลิ่งเซ่าถิงถอนหายใจเฮือกออกมา จากนั้นเปิดก๊อกน้ำอีกครั้ง และเริ่มขัดมือราวกับพยายามล้างกลิ่นเลือดออกจากมือของเขา เนื่องจากขัดถูแรงเกินไปทำให้มือของเหลิ่งเซ่าถิงเป็นแผลและมีเลือดไหลออกมา
เจี่ยนอี๋นั่วรีบยกมือขึ้นเพื่อหยุดเหลิ่งเซ่าถิง ขมวดคิ้วและพูดว่า: “คุณหยุดเดี๋ยวนี้นะ! นี่คุณเป็นอะไรไป ?คุณหยุดทำร้ายตัวเองได้แล้วนะคะ”
เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงหยุด เจี่ยนอี๋นั่วก็ลดเสียงลงทันทีแล้วถามว่า: “ตอนนี้อาการของคุณไม่ค่อยดี คุณเคยไปหาจิตแพทย์หรือยังคะ?”
เหลิ่งเซ่าถิงหายใจเข้าลึก ๆ และยิ้มอย่างไม่สบอารมณ์: “ตอนนี้สถานะของผม ผมไม่สามารถขอความช่วยเหลือจากใครได้อีกต่อไปแล้ว และผมไม่สามารถไว้ใจใครได้เลย ผมไม่ไว้วางใจจิตแพทย์ เขาจะรักษาอาการป่วยของผมได้อย่างไรกัน? ”
เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงพูดถึงนี่ แล้วเขาก็เอามือเข้าไปใต้ก๊อกน้ำอีกครั้งและขัดอย่างแรง เจี่ยนอี๋นั่วรีบก้าวไปข้างหน้ายกมือขึ้นจับมือของเหลิ่งเซ่าถิง เธอถอนหายใจออกมา: “คุณอย่าเป็นแบบนี้ได้ไหมคะ”
เจี่ยนอี๋นั่วยังคงเกลียดเหลิ่งเซ่าถิงอยู่ในใจลึก ๆ เจี่ยนอี๋นั่วรู้ว่าเธอจะไม่มีวันลืมทุกสิ่งที่เหลิ่งเซ่าถิงได้ทำไว้กับเธอ และการหลอกลวงทั้งหมดที่เธอต้องทนทุกข์ทรมาน แต่เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วเห็นสภาพของเหลิ่งเซ่าถิงที่เป็นเช่นนี้ เธอก็ทนเห็นไม่ได้ แล้วก็อดไม่ได้ที่จะห้ามให้เขาหยุดทำร้ายตัวเอง
เจี่ยนอี๋นั่วจับมือของเหลิ่งเซ่าถิง มือของเธอกุมมือของเหลิ่งเซ่าถิงไว้ และพูดด้วยน้ำเสียงเข้มว่า:“ตอนนี้ฉันได้สัมผัสคุณแล้ว และมันไม่มีอะไร ถ้าหากมีคาวเลือด และความสงบสุขที่ฉันจะได้รับ ขอให้เราจะมีความผิดเท่าเทียมกัน”
เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงได้ยินคำพูดของเจี่ยนอี๋นั่ว เขาก็สงบลงทันที หันหน้าและมองจ้องมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว
จากนั้นเหลิ่งเซ่าถิงค่อยๆก้มลงและมองไปที่มือของเจี่ยนอี๋นั่ว เขาพลิกมือ และพยายามกุมมือเจี่ยนอี๋นั่วเอาไว้ แต่เจี่ยนอี๋นั่วก็ดึงมือกลับทันที ขมวดคิ้วและมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิงแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเข้มว่า:“ฉันขอแนะนำให้คุณไปพบจิตแพทย์หน่อยจะดีกว่านะคะ”
“ผมไม่เชื่อพวกเขา แล้วผมจะไปรักษาได้อย่างไร?”เหลิ่งเซ่าถิงพูดด้วยน้ำเสียงเข้ม
เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วและมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิง: “นี่คุณไม่มีใครที่จะสามารถทำให้คุณไว้ใจได้อีกแล้วเหรอคะ?”
เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้า แล้วรีบพูดว่า:“มี”
เจี่ยนอี๋นั่วหน้าคิ้วขมวด รีบถามกลับว่า:“ใคร?คุณไปหาเขาสิ เขาสามารถช่วยเหลือคุณได้อย่างแน่นอน”
เหลิ่งเซ่าถิงมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว พูดอย่างช้าๆและพูดอย่างจริงจัง: “คุณ …… ผมเชื่อในตัวคุณ …… ผมเชื่อในตัวคุณเท่านั้น”
“นี่คุณ เหลิ่งเซ่าถิงคะ……”เจี่ยนอี๋นั่วหน้าคิ้วขมวด จ้องมองเหลิ่งเซ่าถิง
เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วกำลังจะพูดเธอ ทันใดนั้นก็เห็นเจี่ยนซวงเดินมาอยู่ตรงหน้าห้องน้ำ เจี่ยนซวงใช้แววตาคู่นั้นจ้องมองดูเจี่ยนอี๋นั่วและเหลิ่งเซ่าถิง มองไปรอบๆ จากนั้นถามด้วยน้ำเสียงเบา: “คุณแม่คะ……เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าคะ ?ทะเลาะกันหรือเปล่าคะ ?”
“ไม่มีจ๊ะ คุณแม่แค่ปรึกษาปัญหากับคุณพ่ออยู่ค่ะ”เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยรอยยิ้ม
เจี่ยนซวงมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิงอีกครั้งอย่างระมัดระวัง และถามด้วยน้ำเสียงเบา :“เอ่อ คนนั้น…… หนูเรียกคุณว่าคุณพ่อได้ไหมคะ?”
เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้า:“ได้แน่นอนสิลูก”
เจี่ยนซวงเรียกเหลิ่งเซ่าถิงว่า:“คุณพ่อ……”ด้วยน้ำเสียงที่เบามาก
จากนั้นเจี่ยนซวงก็วิ่งไปที่ข้างกายเจี่ยนอี๋นั่วทันที จับมือเจี่ยนอี๋นั่วแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเบา: “คุณแม่คะ หนูหิวแล้วค่ะ จะกินข้าวกันตอนไหนคะ?”
เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วและตบหัวของเธอหนึ่งที เธอนี่จริงๆเลย ลืมทำอาหารให้เจี่ยนซวงได้ไงเนี่ย
เจี่ยนอี๋นั่วกล่าวออกมาอย่างรวดเร็ว: “เอาล่ะ คุณแม่จะไปทำอาหารให้หนูตอนนี้”
เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วกำลังพูดอยู่ ก็หันไปมองที่เหลิ่งเซ่าถิง เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วกำลังจะบอกเหลิ่งเซ่าถิงว่าเธอต้องการพาเจี่ยนซวงไปจากคฤหาสน์และจะกลับบ้าน ทันใดนั้นเจี่ยนอี๋นั่วก็เห็นบาดแผลที่ถูกถูจนเกิดเป็นแผลบนฝ่ามือของเหลิ่งเซ่าถิง
เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ไหวที่จะถอนหายใจออกมา และถามเหลิ่งเซ่าถิงด้วยน้ำเสียงเบา:“คุณได้จัดเตรียมห้องสำหรับฉันและเจี่ยนซวงไว้หรือเปล่าคะ?”
เหลิ่งเซ่าถิงทำหน้าประหลาดใจเล็กน้อย เขาเบิกตากว้างทันที ดวงตาที่มืดมืนสว่างขึ้นมาทันที จากนั้นรีบพูดขึ้นว่า:“ผมจะให้คนไปจัดเตรียมให้เดี๋ยวนี้”
เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและส่ายหัว: “ไม่ต้องแล้วค่ะ ที่นี่มีเพียงเหล่าสวีคนเดียวเท่านั้น อย่าไปรบกวนแกเลย แกก็ชรามากแล้ว ……”
หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ เธอก็หยุดชะงักทันที เธอรู้สึกว่าตัวเองอาศัยอยู่หมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนี้จนเธอกลายเป็นคนโง่ไปแล้ว เธอคิดได้อย่างไรว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะเตรียมคนไว้แค่นี้ และมีเพียงแค่เหล่าสวีคนเดียวเท่านั้น ก็สามารถอาศัยอยู่ในคฤหาสน์ที่อยู่ในหมู่บ้านที่ว่างเปล่าแห่งนี้ล่ะ ?
ก่อนหน้านี้เจี่ยนซวงเคยพูดว่า ตราบใดที่มีคนเข้ามาใกล้คฤหาสน์แห่งนี้ ก็จะถูกขับออกไปทันทีจริงๆเหรอ?
ต้องมีคนอื่น ๆ อยู่รอบ ๆ ข้างกายเหลิ่งเซ่าถิงอีกแน่นอน เพื่อปกป้องไม่ให้เธอและเจี่ยนซวงตกใจกลัว ดังนั้นเหลิ่งเซ่าถิงจึงสั่งให้พวกเขาซ่อนตัวอยู่
เจี่ยนอี๋นั่วนึกถึงสิ่งเหล่านี้และพูดด้วยน้ำเสียงเบา : “ในเมื่อคุณพูดอย่างนี้ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องรบกวนคุณแล้ว”
หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ เธอก็นั่งยอง ๆต่อหน้าเจี่ยนซวง และถามด้วยรอยยิ้มว่า:“ ซวงซวงอยากกินอะไรคะ?”
เจี่ยนซวงเงยหน้าขึ้นมองเหลิ่งเซ่าถิงและถามด้วยน้ำเสียงที่เยินยอเบา ๆ : “คุณพ่ออยากกินอะไรคะ?”
เหลิ่งเซ่าถิงส่ายหัวและพูดด้วยรอยยิ้ม: “พ่อจะกินแบบเดียวกับพวกหนูไม่ได้หรอกนะ พ่อต้องควบคุมอาหารบางประเภท”
เจี่ยนซวงพูดต่อทันทีว่า: “ถ้าคุณพ่อจำเป็นต้องควบคุมอาหาร ซวงซวงก็จะควบคุมอาหารเหมือนกันกับคุณพ่อนะคะ”
เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วทันทีเมื่อเธอได้ยินเจี่ยนซวงพูด และถอนหายใจอย่างเซ็งๆ เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกเศร้าเล็กน้อย เธอเติบโตมาพร้อมกับเจี่ยนซวง แต่เมื่อเจี่ยนซวงได้เห็นเหลิ่งเซ่าถิง เธอก็เริ่มเอาใจเหลิ่งเซ่าถิงแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นคนอย่างเจี่ยนซวงที่ชอบการกินเป็นชีวิตจิตใจ นี่เธอเต็มใจทำเพื่อเหลิ่งเซ่าถิง และยอมทิ้งในสิ่งที่เธอชอบกินมากอย่างนั้นเหรอ
เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะไอแค่กออกมา:“ลูกซวงซวงคะ บางคนที่กำลังควบคุมอาหารอยู่ไม่สามารถกินอาหารที่ร่อยๆได้หรอกนะคะ”
เจี่ยนซวงแตะที่จมูกแล้วพยักหน้า: “ไม่เป็นไรค่ะ ซวงซวงก็ไม่ใช่เด็กที่ตะกละซะหน่อย ขอเพียงอาหารเล็กน้อยก็สามารถเลี้ยงซวงซวงให้อิ่มแล้วค่ะ”
“โอ้ จริงเหรอคะ?ก่อนหน้านี้คุณแม่เคยเลี้ยงดูซวงซวงมามันก็เป็นเรื่องปลอมสิคะ”เจี่ยนอี๋นั่วหรี่ตาพร้อมพูดด้วยรอยยิ้ม
เจี่ยนซวงถูกเจี่ยนอี๋นั่วเปิดเผยความจริงอย่างไม่ใยดี หน้าของเธอก็เริ่มแดงขึ้นมาทันที แดงเหมือนแอปเปิ้ลสีแดงยังไงยังงั้น เจี่ยนซวงโกรธเล็กน้อยที่เจี่ยนอี๋นั่วเปิดเผยความจริงออกมา เธอตะคอกใส่เจี่ยนอี๋นั่ว ฮึม แล้วก็รีบเดินไปที่ข้างกายของเหลิ่งเซ่าถิง และพูดด้วยน้ำเสียงเบาว่า: “คุณพ่อคะ วาดรูปด้วยกันกับซวงซวงนะคะ คุณแม่โง่มากเลยค่ะ คุณแม่วาดรูปไม่เป็นค่ะ”
เหลิ่งเซ่าถิงหันไปมองเจี่ยนอี๋นั่ว เห็นเจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว และมองไปที่เจี่ยนซวงด้วยท่าทางที่ไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง และกำลังงอนเจี่ยนซวงอยู่ เหลิ่งเซ่าถิงอดไม่ได้จนหัวเราะออกมา และยิ้มกับเจี่ยนซวงพร้อมพยักหน้า พูดด้วยน้ำเสียงเบาว่า:“ไปวาดรูปบนโต๊ะกันเถอะ ”
เจี่ยนซวงยิ้มและพยักหน้า เธอยกมือขึ้น เดิมทีเธอต้องการจับมือของเหลิ่งเซ่าถิง แต่แล้วเธอก็วางมันลงอย่างขี้อาย จากนั้นเจี่ยนซวงก็แสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เธอวิ่งไปที่โต๊ะด้วยท่าทางของเด็กน้อยที่น่ารักน่าเอ็นดูแล้วกระโดดโลดแล่นไปมา เธอหยิบสมุดบันทึกที่เขียนด้วยลายมือ และพลิกไปมาเล็กน้อย เจี่ยนซวงก็พูดด้วยน้ำเสียงเบาๆ:“อี๊……นี่เป็นรูปคุณแม่ทั้งหมดเลย”
เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วได้ยินคำพูดของเจี่ยนซวง เธอพึ่งนึกขึ้นได้ว่าภาพวาดในสมุดบันทึกทั้งหมดนั้นมีบุคคลที่ชื่อว่า“คุณจู๋” เป็นคนที่วาดรูปเหล่านั้นขึ้นมา
เจี่ยนอี๋นั่วหัวเราะเบา ๆ แล้วหันหน้าไปมองเหลิ่งเซ่าถิง แล้วเหลิ่งเซ่าถิงก็ไอแค่กออกมาทันที และเดินไปที่ด้านข้างของเจี่ยนซวง เขายิ้มแล้วก็รีบปิดสมุดบันทึกนั้นทันที และพูดด้วยน้ำเสียงเบาว่า :“สิ่งของเหล่านี้อย่าพึ่งไปดูมันเลย เดี๋ยวพ่อเอากระดาษวาดรูปมาให้หนูใหม่นะ”
เจี่ยนซวงรีบยกมือขึ้น ปรบมือรัวๆ:“ดีมากค่ะ ยอดเยี่ยมมากค่ะ”
เจี่ยนอี๋นั่วเหลือบมองเจี่ยนซวง เธอเป็นคนเลี้ยงดูเจี่ยนซวงมาตลอดและเธอก็รู้ว่าเจี่ยนซวงนั้นเป็นเด็กแบบไหน เป็นเพราะว่าเจี่ยนซวงขาดความรักจากคุณพ่อนานเกินไปแล้ว และเมื่อเจี่ยนซวงได้พบเหลิ่งเซ่าถิง เธอก็อดไม่ได้ที่จะเยินยอเหลิ่งเซ่าถิง แม้ว่าเจี่ยนซวงจะกลัวเหลิ่งเซ่าถิง แต่เจี่ยนซวงก็จะพยายามเข้าใกล้เหลิ่งเซ่าถิง
แต่เป็นเพราะคุณแม่ก็อยู่ด้วย เพื่อเมื่อต้องการให้เจี่ยนซวงรู้สึกปลอดภัย ถ้าเธอเดินออกจากข้างกายเจี่ยนซวง เจี่ยนซวงอาจจะกลัวเหลิ่งเซ่าถิงจนไม่กล้าอยู่ที่นี่ต่อ และเมื่อเจี่ยนอี๋นั่วก้าวเดินก้าวไปไม่กี่ก้าว เจี่ยนซวงก็ถามอย่างกระวนกระวายทันที: “คุณแม่คะ คุณแม่จะไปไหนคะ?คุณแม่ไม่มาดูซวงซวงและคุณพ่อวาดรูปเหรอคะ ?”
เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและเดินไปที่ข้างๆโต๊ะและพูดกับเจี่ยนซวงด้วยรอยยิ้ม: “คุณแม่ก็กำลังจะมาดู มาดูว่าซวงซวงและคุณพ่อวาดรูปออกมาเป็นอย่างไรกันบ้าง?”
หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบเธอก็ยิ้มและนั่งลงบนเก้าอี้ข้างโต๊ะ พยักหน้าให้เจี่ยนซวงยิ้มและถามว่า:“ ไม่ต้องกลัวนะคะ คุณแม่อยู่เคียงข้างหนูเสมอค่ะ”
เจี่ยนซวงรีบขยับเข้าไปใกล้เจี่ยนอี๋นั่วทันที:“คุณแม่คะ คุณแม่ดีที่สุดในโลกเลยค่ะ”
เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าเบา ๆ : “ใช่จ๊ะ ตอนนี้พึ่งจะมาเยินยอคุณแม่เหรอ สายไปแล้วค่ะ คุณแม่เสียใจแล้ว ปวดใจมากด้วย รู้สึกเศร้ามาก……เมื่อก่อนซวงซวงอยู่ด้วยกันกับคุณแม่ ชอบแย่งคุณแม่กินของอร่อยๆอยู่ตลอดเวลา พออยู่ต่อหน้าคุณพ่อ ก็เปลี่ยนเป็นลูกที่เชื่อฟังแล้ว ?”
เจี่ยนซวงยิ้มทันทีและทิ้งตัวลงต่อหน้าเจี่ยนอี๋นั่ว ปิดหน้าอกของเจี่ยนอี๋นั่วและพูดด้วยรอยยิ้ม: “คุณแม่ไม่ต้องเสียใจแล้วนะคะ เดี๋ยวซวงซวงจะทำเพิ่มความอบอุ่นให้คุณแม่นะคะ”
เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและพยักหน้า: “อืม แบบนี้ค่อยยังชั่วหน่อย เอาล่ะ คุณแม่ได้รับความอบอุ่นแล้ว หนูนั่งกลับไปดีๆ เริ่มลงมือวาดรูปได้แล้วนะคะ ”
เจี่ยนซวงกลับไปนั่งที่เดิม และเงยหน้ามองเหลิ่งเซ่าถิง ซึ่งยืนอยู่ไม่ไกลมองมาที่เจี่ยนซวงและเจี่ยนอี๋นั่ว
เจี่ยนซวงรีบตะโกนออกมาเสียงดังทันที:“คุณพ่อคะ……คุณพ่อรีบมาทางนี้สิคะ ……”
เหลิ่งเซ่าถิงรีบหยิบปากกาและกระดาษเดินไปทันที และวางปากกาและกระดาษไว้ตรงหน้าเจี่ยนซวง: “หนูอยากวาดรูปอะไรก็วาดได้ตามใจเลยนะลูก คุณพ่อจะให้คนไปทำอาหาร และจัดเตรียมห้องให้พวกหนูได้พักผ่อน คุณพ่อจะรีบกลับมานะลูก”
เจี่ยนซวงพยักหน้าตอบรับ หัวเราะออกมาอย่างมีความสุข:“ถ้าอย่างนั้นคุณพ่อรีบกลับมานะคะ”
เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิงแล้วพยักหน้า จากนั้นเจี่ยนอี๋นั่วก็ก้มหัวลง หยิบปากกาและกระดาษขึ้นมายิ้มให้เจี่ยนซวงแล้วพูดว่า :“เอาล่ะ ตอนนี้ก็ถึงเวลาลงมือวาดรูปแล้วนะคะ”
เจี่ยนซวงแตะที่จมูกเบาๆ และหยิบดินสอขึ้นเม้มริมฝีปาก เริ่มวาดรูปลงบนกระดาษ เจี่ยนอี๋นั่วรู้ว่าแท้จริงแล้วเจี่ยนซวงไม่ชอบวาดรูปเลย เมื่อเจี่ยนซวงเริ่มวาดรูปลงบนกระดาษ เจี่ยนซวงก็รู้สึกอายจริงๆ
เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงกลับไปที่ที่นั่งของเขา เขาก็หยิบปากกาขึ้นมา และวาดเส้นร่างภาพของเจี่ยนซวงอย่างรวดเร็ว
เจี่ยนซวงเห็นเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ที่ดูเหมือนเธอบนกระดาษ และรีบพูดด้วยรอยยิ้มทันที :“นี่ใช่ซวงซวงหรือเปล่าคะ?”
เหลิ่งเซ่าถิงยิ้มและพยักหน้า: “นี่ก็คือซวงซวง”
หลังจากที่เหลิ่งเซ่าถิงพูดจบ เขาก็สูดหายใจเข้าลึกๆ และหัวเราะไปด้วย และลูบขาซ้ายของเขาไปด้วย
เจี่ยนอี๋นั่วรีบถามทันทีว่า:“คุณปวดขาหรือเปล่าคะ?”
เหลิ่งเซ่าถิงส่ายหัวและพูดด้วยรอยยิ้ม: “ไม่ใช่ครับ ขาของผมไม่ได้เป็นอะไร”
เจี่ยนอี๋นั่วเห็นว่าเหลิ่งเซ่าถิงกำลังพยามยามฝืนทนอยู่ จึงยิ้มและพูดกับซวงซวงว่า: “ซวงซวงจ๊ะ พวกเราวาดรูปเหนื่อยกันแล้ว เราพักเหนื่อยกันสักครู่เถอะ”