หนี้รัก วิวาห์จำเป็น – บทที่ 216 ผมต้องการให้คุณดูแล

หนี้รัก วิวาห์จำเป็น

ลั่วหยางจ้องมองไปที่ท่าทางของเจี่ยนอี๋นั่ว ก็ขมวดคิ้วและถามด้วยน้ำเสียงเบา: “ทำไมเหรอครับ ผมอธิบายผิดหรือเปล่าครับ?”

เจี่ยนอี๋นั่วส่ายหัวอย่างรวดเร็ว และพูดด้วยน้ำเสียงเบา “ไม่จ๊ะ ลูกอธิบายได้ดีและมันก็ดีเกินไปด้วยซ้ำ ทำให้คุณแม่รู้สึกละอายใจอย่างมาก”

เมื่อลั่วหยางได้ยินคำพูดของเจี่ยนอี๋นั่ว เขาก็ขมวดคิ้วทันที และเอียงศีรษะเล็กน้อยและพูดซ้ำด้วยน้ำเสียงที่เบา: “คุณแม่ครับ?”

เจี่ยนอี๋นั่วกำลังกังวลเกี่ยวกับเรื่องของเหลิ่งเซ่าถิง และไม่ทันสังเกตว่าลั่วหยางกำลังจะพูดอะไรซ้ำ เจี่ยนอี๋นั่วกำลังสับสนและตื่นตระหนกพร้อมขมวดคิ้วและถอนหายใจออกมา ทันใดนั้นเธอก็ได้ยินเหลิ่งเซ่าถิงเรียกชื่อของเธอด้วยน้ำเสียงที่เบา เจี่ยนอี๋นั่วลุกขึ้นยืนทันทีและพูดกับลั่วหยางและเจี่ยนซวง: “หนูทั้งสองคนออกไปก่อนนะคะ คุณแม่จะต้องดูแลคุณพ่อของพวกหนู”

เจี่ยนซวงเอียงศีรษะกระพริบตาและพูดด้วยรอยยิ้ม: “หนูก็สามารถดูแลคุณพ่อได้เช่นกัน ซวงซวงก็อยู่ช่วยได้อีกคนนะคะ”

เจี่ยนอี๋นั่วก่ายหน้าผากของเธอและพูดอย่างเขินอาย: “พวกหนู……พวกหนูยังดูแลไม่ได้นะคะ พวกหนูรีบออกไปเร็ว ถ้าไม่อย่างนั้นคุณแม่จะหักค่าขนมของพวกหนูแล้วนะคะ!”

เจี่ยนอี๋นั่วกลัวจริงๆว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะมีปฏิกิริยาแปลก ๆอะไรเกิดขึ้นอีก ถ้าอย่างนั้นแล้วเมื่อเธออยู่ต่อหน้าลูกทั้งสองแล้วเธอจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ? ดังนั้นเจี่ยนอี๋นั่วจึงสั่งให้เจี่ยนซวงและลั่วหยางออกไปเดี๋ยวนี้

เมื่อเจี่ยนซวงได้ยินคำพูดของเจี่ยนอี๋นั่ว เธอก็เม้มริมฝีปากและพึมพำด้วยน้ำเสียงเบา: “คุณแม่ลำเอียง ได้เจอคุณพ่อแล้ว คุณแม่ก็ไม่สนใจใยดีหนูอีกแล้ว”

เจี่ยนอี๋นั่วถอนหายใจและพูดกับเจี่ยนซวง:“แม่ก็รู้สึกว่าตั้งแต่หนูหาคุณพ่อเจอ ลูกก็กลายเป็นคนที่จู้จี้จุกจิก ”

เจี่ยนซวงตะคอก ฮึม ออกมาเบาๆ และจับมือของลั่วหยางและส่ายหัวอย่างแรงพูดด้วยความโกรธและพูดประชดว่า: “พี่ชายคะ พวกเราไปกันเถอะ อย่าไปสนใจคุณแม่แบบนี้เลยเป็นผู้หญิงที่พอเห็นผู้ชายก็ลืมลูกไปเลย”

หลังจากเจี่ยนซวงพูดจบ เธอก็รีบคว้าลั่วหยางและวิ่งออกจากห้องไป หลังจากออกจากห้อง เจี่ยนซวงก็ยืนอยู่หน้าประตูและพูดด้วยน้ำเสียงเบา: “ความจริงแล้วคุณแม่มีลูกคนเดียวนั่นก็คือหนู มาตอนนี้คุณแม่ยังต้องดูแลคุณพ่อ และยังต้องมาดูแลพี่อีก ทั้งวันมานี่คุณแม่ยังไม่ได้พูดคุยกับหนูเลยสักคำ เดิมทีคิดว่าเมื่อหาคุณพ่อเจอ ก็จะมีคนดูแลคุณแม่ และมันจะทำให้คุณแม่มีเวลาใส่ใจดูแลหนูมากขึ้น แต่พอมาตอนนี้รู้สึกขาดทุนแล้ว! ขาดทุนแล้วจริงๆ !

ลั่วหยางสะบัดมือของเจี่ยนซวงทิ้ง และพูดอย่างเย็นชาว่า :“เป็นเพราะนิสัยของเธอไม่ค่อยดี ”

เจี่ยนซวงพยักหน้าอย่างแรง ขมวดคิ้วและบ่นพึมพำ: “นิสัยของเธอก็ไม่ดีจริงๆนั่นแหล่ะ มักทำโทษหนูอยู่ตลอด เวลา พี่พึ่งจะรู้จักกับเธอไม่นาน เธอยังไม่มีโอกาสลงมือกับพี่ พี่รอดูอีกสักสองสามวันเถอะ เธอต้องทำโทษพี่แน่นอน ดังนั้นพี่ควรรีบไปหาคุณพ่อและคุณแม่บุญธรรมของพี่ดีกว่านะ นิสัยของเธอแย่มากๆ พี่ทนรับไม่ไหวอย่างแน่นอน ”

ลั่วหยางเหลือบมองไปที่เจี่ยนซวง: “แล้วทำไมเธอไม่ไปล่ะ?”

เจี่ยนซวงกระพริบตาและรีบพูดว่า: “หนู…… เพราะว่าหนู…… เพราะว่า…… เธอเป็นคุณแม่ของหนูนะสิ ……หนูไปไหนไม่ได้หรอก ถ้าหนูไปแล้ว เธอก็คงจะเสียใจ

ลั่วหยางฟังคำพูดของเจี่ยนซวงและเงยหน้าขึ้นจ้องมองเจี่ยนซวง เจี่ยนซวงตกใจกับแววตาที่จ้องมองของลั่วหยาง และรีบเดินก้าวถอยหลังทันที และพูดด้วยน้ำเสียงเบา: “ทำไมพี่ต้องขู่หนูด้วย?”

ลั่วหยางขมวดคิ้วและไม่ได้พูดอะไร และเดินตรงไปที่ห้องของเขาทันที เจี่ยนซวงก็เดินตามหลังลั่วหยางไปทันทีและพูดอย่างตื่นตระหนก: “นี่พี่คะ พี่จะไปจากที่นี้แล้วจริงๆใช่ไหมคะ เดี๋ยวหนูช่วยพี่เก็บของนะคะ ?เดี๋ยวหนูจะเตรียมของกินไว้ให้สักสองชิ้นนะ เก็บไว้กินระหว่างทาง ถ้าอย่างนั้น…… ถ้าอย่างนั้นหนูจะแบ่งนมให้พี่ด้วยล่ะกันนะคะ !”

เสียงที่เจี่ยนอี๋นั่วได้ยินเด็กทั้งสองคนทะเลาะกันค่อยๆเงียบหายไป เธอค่อยจับที่หัวของเธอขมวดคิ้วและถอนหายใจออกมา และกระซิบกับตัวเอง: “ลูกซวงซวงคนนี้ ถูกฉันตามใจมากเกินไปจนเสียนิสัยแล้ว”

“อี๋นั่ว คุณอยู่ข้างนอกหรือเปล่า?” เหลิ่งเซ่าถิงตะโกนเรียกหาชื่อเจี่ยนอี๋นั่วด้วยน้ำเสียงที่เบาอีกครั้ง

เจี่ยนอี๋นั่วสูดหายใจเข้าลึก ๆ ไม่มีเวลามาคิดเรื่องอื่นแล้วล่ะ เธอพยักหน้าและพูดด้วยน้ำเสียงเบา:“ใช่ค่ะ ฉัน ฉันอยู่ข้างนอกนี้ค่ะ ”

หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ เธอก็ก้มหัวลงเปิดประตูห้องน้ำ แล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำ เหลิ่งเซ่าถิงได้จับอ่างล้างหน้าข้างๆจนยืนขึ้นมาแล้ว และเขาโบกมือให้เจี่ยนอี๋นั่วและพูดด้วยรอยยิ้ม :“ต้องรบกวนคุณอีกครั้งแล้วนะ”

“อืม …… ” เจี่ยนอี๋นั่วตอบกลับ ก็รีบเดินไปด้านข้างเหลิ่งเซ่าถิงทันที เธอยกมือขึ้นจับมือของเหลิ่งเซ่าถิง และปล่อยให้เหลิ่งเซ่าถิงวางมือของเขาไว้บนไหล่ของเธอ

จากนั้นเจี่ยนอี๋นั่วค่อยๆพยุงเหลิ่งเซ่าถิงเดินออกจากห้องน้ำทีละก้าวทีละก้าว ทั้งสองคนเข้าใกล้กันเกินไปจนทำให้ร่างกายของพวกเขาอยู่ใกล้ชิดกันมาก และสามารถสัมผัสได้ถึงลมหายใจของกันและกัน เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพยุงเหลิ่งเซ่าถิงถึงข้างเตียง ใบหน้าของเจี่ยนอี๋นั่วก็แดงขึ้นมาอีกครั้ง

เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกได้ว่าตอนนี้ใบหน้าของเธอนั้นแดงถึงขั้นไหนแล้ว เพราะหน้าของเธอแดงร้อนวูบวาบไปทั้งหน้าแล้วเจี่ยอี๋นั่วรู้สึกว่าตอนนี้เธอน่าอับอายอย่างมาก เมื่อคืนเธอพูดกับเหลิ่งเซ่าถิงว่าพวกเขาทั้งสองคนไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกันอีกแล้ว ต่างฝ่ายต่างไม่มีกันและกันก็สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ แต่สุดท้ายหน้าของเธอกลับแดงขนาดนี้ และเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้มันได้กลายเป็นเรื่องตลกไปหมดแล้ว

เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกอับอายมากจริงๆ!

“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า?”เหลิ่งเซ่าถิงมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว และถามด้วยรอยยิ้ม: “คุณร้อนมากใช่ไหม?ถ้าหากคุณรู้สึกร้อนก็เปิดหน้าต่างเถอะ ”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วได้ยินคำพูดของเหลิ่งเซ่าถิง รีบเงยหน้าขึ้นมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิงทันที เธอคิดว่าเหลิ่งเซ่าถิงทำตัวแปลกๆ? เป็นเพราะว่าเขามีปฏิกิริยาแบบนั้น ทำให้เธอเจอสถานการณ์ที่อึดอัดขนาดนี้ แต่ทำไมเขาทำเหมือนกับว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นเลย สุดท้ายกลับเหมือนเธอเป็นฝ่ายที่ผิดยังไงยังงั้นแหล่ะ

เจี่ยนอี๋นั่วอดคิดไม่ได้ที่จะคิดในใจ: ก่อนหน้านี้ทำไมฉันถึงดูไม่ออกเลยนะ ว่าเหลิ่งเซ่าถิงเป็นคนที่มีความคิดที่เจ้าเลห์ขนาดนี้ ?

เจี่ยนอี๋นั่วคิดถึงนี่ ก็อดไม่ได้ที่จะโทษตัวเอง:เขามีความคิดที่เจ้าเล่ห์มาก ตระกูลเหลิ่งก็มีพื้นฐานของการเป็นคนที่ไม่ดี และฉันก็ทำพฤติกรรมแบบนี้ออกมา มันไม่ได้เรื่องจริง ๆ เลย

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วคิดถึงนี่ ก็อดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา: “ฉันไม่ได้ร้อนเลยสักนิด”

เหลิ่งเซ่าถิงยิ้มและพูดว่า :“คุณบอกว่าไม่ร้อนก็ไม่ร้อนสิ แต่เมื่อกี้นี้ …… ”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วและพูดว่า:“ฉันรู้ เมื่อกี้นี้ฉันรู้ว่ามันเป็นปฏิกิริยาปกติของผู้ชาย และฉันไม่ได้คิดอะไรหรอก”

เหลิ่งเซ่าถิงอดไม่ไหวที่จะหัวเราะออกมา หลังจากนั้นไม่นานเหลิ่งเซ่าถิงก็เห็นเจี่ยนอี๋นั่วคิ้วขมวดอย่างเคร่งเครียด เหลิ่งเซ่าถิงไอแห้งออกมาสองครั้งและยิ้มอย่างมีเลศนัย พูดกับเจี่ยนอี๋นั่วด้วยน้ำเสียงที่เบา:“ผมไม่ได้หมายถึงเรื่องนี้ ผมหมายถึงว่าเมื่อสักครู่นี้เจี่ยนซวงและลั่วหยางมาที่นี่ใช่ไหม ?”

เจี่ยนอี๋นั่วกัดริมฝีปากของเธอทันที เธอสูดหายใจเข้าลึก ๆ และแอบมองไปที่กำแพงข้างๆ เธอกำลังครุ่นคิดสักครู่ และเธอสงสัยว่าจะต้องใช้แรงมากแค่ไหนในการกระแทกศีรษะลงบนผนังหนึ่งครั้งแล้วทำให้เธอตายทันที วันนี้เธอยังทำเรื่องที่น่าอับอายขายขี้หน้ามากกว่านี้ได้อีกไหม?ทำได้อีกไหม?

เมื่อสักครู่นี้เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกละอายใจมากจริงๆ แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่ายังมีเจี่ยนซวงและลั่วหยาง เจี่ยนอี๋นั่วก็กัดฟันอีกครั้ง และอดทนต่อทุกสิ่ง และตัดสินใจอย่างเข้มแข็งว่าควรจะมีชีวิตรอดอยู่ต่อไป

เจี่ยนอี๋นั่วกัดฟันแล้วตอบว่า: “ใช่ค่ะ พวกเขามาที่นี่ แต่เมื่อกี้นี้พวกเขาพึ่งออกไป”

เหลิ่งเซ่าถิงยิ้มและพยักหน้า: “ถ้าอย่างนั้นเราสามารถพูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกี้นี้ได้แล้ว ”

ทันใดนั้นเจี่ยนอี๋นั่วก็เงยหน้าขึ้นและมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิง เวลานี้เธอพูดไม่ออกแม้แต่คำเดียวแล้ว กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือเจี่ยนอี๋นั่วไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรอีก เหลิ่งเซ่าถิงกลายเป็นคนทะลึ่งแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ?

จู่ ๆเหลิ่งเซ่าถิงก็พูดกับเจี่ยนอี๋นั่วด้วยความจริงใจ: “ผมขอโทษนะ แม้ว่าบางครั้งร่างกายของผู้ชายจะควบคุมได้ยาก แต่ว่าผมก็ทำพฤติกรรมไม่เหมาะสมกับคุณ หวังว่าคุณจะให้อภัยผมนะครับ”

ทันใดนั้นเจี่ยนอี๋นั่วก็ได้ยินคำขอโทษอย่างจริงใจจากเหลิ่งเซ่าถิง เธอรู้สึกประหลาดใจจริงๆ เธอกระพริบตาทันทีเอียงศีรษะมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิง และถามด้วยน้ำเสียงเบา :“คุณกำลังกล่าวคำขอโทษกับฉันอยู่เหรอคะ?”

เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้าและกล่าวด้วยรอยยิ้ม: “ใช่ครับ ผมขอโทษ”

เจี่ยนอี๋นั่วสูดหายใจเข้าลึก ๆ จากนั้นทำได้เพียงพูดพึมพำด้วยน้ำเสียงเบา: “ไม่ ไม่เป็นไรค่ะ”

นี่เป็นครั้งแรกที่เจี่ยนอี๋นั่วได้ยินคำขอโทษอย่างจริงใจจากเหลิ่งเซ่าถิง และมันเป็นเรื่องที่น่าอับอายแบบนี้ แม้ว่า ในใจของเจี่ยนอี๋นั่วจะรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย แต่ว่านอกจากพูดคำว่า “ไม่เป็นไรแล้ว” เจี่ยนอี๋นั่วยังสามารถพูดอะไรได้อีกล่ะ ?

เหลิ่งเซ่าถิงยิ้มและพยักหน้า: “ผมดีใจมากที่คุณสามารถยกโทษให้ผม แต่หลังจากนี้ผมยังต้องรบกวนคุณดูแลผมต่อไป ถ้าหากผมยังมีปฏิกิริยาที่หยาบคายแบบนี้อีก ผมหวังว่าคุณจะไม่รังเกียจและถือสาการกระทำนี้ ”

เจี่ยนอี๋นั่วเม้มปากทันทีขมวดคิ้วและมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิง เธอรู้สึกว่าหลายปีที่ผ่านมานี้ เหลิ่งเซ่าถิงเก่งขึ้นมาก แค่คำพูดสั้น ๆ ของเขาไม่กี่คำ ทำให้เธอหมดหนทางในการปฏิเสธเขาได้ และถ้าหากเธอไม่เต็มใจที่จะดูแลเหลิ่งเซ่าถิงต่อไป เธอก็จะเป็นคนที่ไร้น้ำใจมาก ถ้าหากระหว่างที่ดูและเหลิ่งเซ่าถิง แล้วถ้าเหลิ่งเซ่าถิงมีปฏิกิริยาใด ๆเกิดขึ้นอีก ถ้าอย่างนั้นเธอก็ไม่สามารถถือสาได้ เพราะเหลิ่งเซ่าถิงได้บอกล่วงหน้าไว้แล้ว

ก่อนที่เจี่ยนอี๋นั่วจะปฏิเสธที่จะดูแลเหลิ่งเซ่าถิงต่อนั้น เธอคิดทบทวนสักพัก แต่เจี่ยนอี๋นั่วคิดว่าในเมื่อวันนี้เธอถึงขีดสุดของความอับอายขายหน้าแล้ว ถึงแม้จะขายขี้หน้าอีก และแสดงให้เห็นว่าเธอไม่อยากอยู่ด้วยกันกับเหลิ่งเซ่าถิงตามลำพัง และไม่อยากดูแลเหลิ่งเซ่าถิงต่อไป แต่มันคงไม่น่าจะมีอะไร

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วกำลังจะกล่าวคำปฏิเสธดูแลเหลิ่งเซ่าถิง และขอให้เหลิ่งเซ่าถิงรีบหาพี่เลี้ยงมาดูแลเขานั้น

จู่ ๆเหลิ่งเซ่าถิงก็พูดด้วยน้ำเสียงเศร้าว่า :“อันที่จริงถ้าหากคุณรู้สึกอึดอัด คุณไม่จำเป็นต้องดูแลผมแล้ว เพราะเราเคยมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกันมาก่อน ความสัมพันธ์แบบนี้ บางทีมันอาจจะส่งผลกระทบต่อคุณและทำให้คุณไม่สามารถคบกับผมได้เหมือนคนปกติทั่วไป ผมก็รู้ อดีตที่เคยผ่านมาใช่ว่าอยากจะลืมมันก็ลืมได้ง่ายดายขนาดนั้น ”

ถ้าหากไม่ดูแลเขา มัวแต่คิดถึงเรื่องในอดีตต่อไป แล้วก็รักเหลิ่งเซ่าถิงอีกต่อไปอย่างนั้นหรือ?

เจี่ยนอี๋นั่วสูดหายใจเข้าลึก ๆ และขมวดคิ้ว เธอทำได้เพียงกัดฟันและพูดด้วยน้ำเสียงเบา: “เป็นไปไม่ได้หรอก เรื่องในอดีตฉันลืมมันไปหมดแล้ว ฉันสามารถดูแลคุณต่อไปได้”

เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงได้ยินคำพูดของเจี่ยนอี๋นั่ว เหลิ่งเซ่าถิงหัวเราะออกมาอย่างเศร้า ๆ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองเจี่ยนอี๋นั่วและพยักหน้าตอบรับเบา ๆ และกล่าวด้วยรอยยิ้ม:“ถ้าอย่างนั้นต้องรบกวนคุณแล้ว”

เจี่ยนอี๋นั่วส่ายหัว และอาการที่แสดงออกมาอย่างคนพ่ายแพ้ และพูดด้วยน้ำเสียงเข้ม :“ไม่ได้รบกวนค่ะ คุณต้องการให้ฉันช่วยอะไรไหม?”

เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้วเล็กน้อยแสดงสีหน้าลำบากใจ: “ไม่มีอะไร?”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วและพูดต่อ: “คุณพูดออกมาเถอะ อย่าทนเก็บเอาไว้เลย”

เจี่ยนอี๋นั่วยอมแล้วจริงๆ อย่างไรก็ตามเธอก็อับอายขายขี้ไปแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วไม่เชื่อว่าจะยังมีเรื่องอะไรที่ทำให้น่าอับอายขายขี้หน้าไปมากกว่านี้อีกแล้ว

เหลิ่งเซ่าถิงยกมือขึ้นและชี้ไปที่ด้านหลังของเขา: “หลังของผมรู้สึกมันคันนิดหน่อย คุณสามารถช่วยผมหน่อยได้ไหม?”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วได้ยินคำพูดของเหลิ่งเซ่าถิง สีหน้าก็แสดงออกมาอย่างเคร่งเครียด

เธอคิดผิดไปแล้ว และเรื่องที่ทำให้เธอยิ่งลำบากใจมากขึ้นไปอีก มีอีกแน่นอน !

หนี้รัก วิวาห์จำเป็น

หนี้รัก วิวาห์จำเป็น

Status: Ongoing
เหลิ่งเซ่าถิง เป็นบอสใหญ่ที่กุมอำนาจทั้งหมดของบริษัทไว้ในมือ เป็นบุคคลสำคัญของธุรกิจ ซ้ำยังมีหน้าตาที่หล่อเหลา แต่เขากลับต้องมาประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ต้องมีสภาพกลายเป็นผัก เจี่ยนอี๋นั่ว เป็นลูกสาวของประธานแห่งเจี่ยนกรุ๊ป เรียนจบจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง นิสัยอ่อนโยน และรักกับแฟนหนุ่มมา3ปีแล้ว แต่เพราะอาการป่วยของพ่อ ทำให้เจี่ยนกรุ๊ปล้มละลาย เธอต้องแบกรับหนี้หลายสิบล้านเพียงชั่วข้ามคืน ดังนั้นภายใต้เหตุการณ์ทั้งสองเหตุการณ์นี้ ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วต้องมาเป็นภรรยาถูกต้องตามกฏหมายของเหลิ่งเซ่าถิง ซึ่งเธอไดแต่คิดว่าจะต้องอยู่กับคนที่สภาพเหมือนผักแบบนี้ไปตลอดชีวิต แต่กลับไม่รู้ว่าเขานั้นฟื้นแล้ว และแค่รอให้ ‘ปฏิหาร’เกิดขึ้นอีกครั้ง………

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท