เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วและมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิงอย่างจริงจัง เธอคิดว่าเหลิ่งเซ่าถิงพูดกับเธออย่างกะทันหันแบบนั้น มันเป็นแค่เรื่องตลกเท่านั้น แต่ว่าเหลิ่งเซ่าถิงกลับมองเธอด้วยหน้าตาที่ไม่รู้สึกรู้สาอะไร ในที่สุดเหลิ่งเซ่าถิงกระพริบตาและพูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า :“ดูเหมือนว่า ผมจะสร้างปัญหาให้คุณมากเกินไปจริงๆ”
หลังจากที่เหลิ่งเซ่าถิงพูดจบเขาก็ลดสายตาลง แสดงสีหน้าออกมาอย่างรู้สึกหดหู่ ดวงตาของเจี่ยนอี๋นั่วเบิกกว้าง จากนั้นยกมือขึ้นและขยี้ตาของเธอทันที เธอไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง เธอเห็นเหลิ่งเซ่าถิงแสดงสีหน้าออกมาอย่างรู้สึกหดหู่เป็นด้วยเหรอ? เขากลายเป็นคนแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
“ช่างมันเถอะ คุณไปเถอะ ผมจะพักผ่อนสักครู่ อีกสักครู่คงจะดีขึ้นแล้ว ” เหลิ่งเซ่าถิงเหลือบมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว แล้วก็ค่อยๆนอนลงอย่างช้าๆ
แต่เวลานี้เจี่ยนรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนที่ทำผิดมากจริงๆ เธอสูดหายใจเข้าลึก ๆ และพูดอย่างรวดเร็ว: “โอ้ มันเรื่องแค่นี้เอง ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรสักหน่อย คุณลุกขึ้นหน่อยได้ไหม? ฉันสามารถช่วยคุณได้”
เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้า จากนั้นยกมือขึ้นพร้อมถอดเสื้อผ้าออก เจี่ยนอี๋นั่วรีบจับมือของเหลิ่งเซ่าถิงทันทีและถามด้วยความตื่นตระหนกตกใจว่า: “เดี๋ยวก่อนค่ะ คุณกำลังจะทำอะไรคะ?”
เหลิ่งเซ่าถิงเอียงศีรษะเล็กน้อยมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว จ้องมองเจี่ยนอี๋นั่วด้วยความสับสนและพูดด้วยน้ำเสียงเข้ม :“ผมกำลังจะถอดเสื้อผ้าอยู่นะสิ”
ดวงตาของเจี่ยนอี๋นั่วเบิกกว้าง: “ทำไม ?ทำไมต้องถอดเสื้อผ้าด้วยคะ?”
เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้ว: “ถ้าผมไม่ถอดเสื้อผ้า แล้วคุณจะช่วยผมเกามันได้อย่างไรกันล่ะ ”
เจี่ยนอี๋นั่วรีบพูดขึ้นว่า: “ฉันสามารถเอามือสอดเข้าไปในเสื้อผ้าของคุณได้เลยนี่”
เจี่ยนอี๋นั่วกำลังพูดอยู่ และไม่กล้าที่จะลังเลอีกต่อไป รีบเอาสอดมือเข้าไปในเสื้อผ้าของเหลิ่งเซ่าถิงทันที และรีบพูดว่า:“ก็แบบนี้ไงคะ!”
เหลิ่งเซ่าถิงหรี่ตาเล็กน้อยและพูดด้วยรอยยิ้ม: “ที่แท้มันทำแบบนี้ก็ได้ด้วยแฮะ”
“แน่นอนสิคะ!” เจี่ยนอี๋นั่วพึมพำเบาๆ:“เคยมีประสบการณ์แบบนี้มาก่อนไหมคะ?”
เหลิ่งเซ่าถิงได้ยินเสียงพึมพำเบาๆของเจี่ยนอี๋นั่ว และในใจรู้สึกมีความสุขมาก ดังนั้นเขาจึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา เจี่ยนอี๋นั่วก็ทำหน้าคิ้วขมวดทันที เธอขยับเข้าไปใกล้เหลิ่งเซ่าถิงและถามด้วยน้ำเสียงเบา:“คุณกำลังหัวเราะอะไรอยู่คะ?”
เหลิ่งเซ่าถิงส่ายหัวและพูดด้วยรอยยิ้ม: “ไม่มีอะไร ผมไม่ได้หัวเราะอะไรนี่น่า แค่รู้สึกว่าวันนนี้แสงแดดจ้าจริงๆ ผมรู้สึกว่ามีความสุขมากจริงๆ”
เจี่ยนอี๋นั่วช่วยเหลิ่งเซ่าถิงเกาหลังของเขาไปด้วย และเงยหน้าขึ้นมองดวงอาทิตย์ที่นอกหน้าต่างนั้น เจี่ยนอี๋นั่ว ยังต้องยอมรับว่าดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงข้างนอกนั้นดีจริงๆเลย และแสงที่สอดส่องมาที่ร่างกายของเธอ เธอก็รู้สึกอบอุ่นไปทั้งตัว และอารมณ์ของเธอก็ค่อยๆเริ่มดีขึ้นแล้ว
“เป็นเวลานานมากแล้วที่ฉันไม่ได้เห็นแสงอาทิตย์ที่ดีเช่นนี้ ” เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะยิ้มและพูดมันออกมา
เหลิ่งเซ่าถิงก็หัวเราะออกมาเช่นกัน: “อืม นี่เป็นเป็นแสงแดดที่ดีที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา”
เจี่ยนอี๋นั่วหรี่ตามองแสงอาทิตย์อยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ก้มหัวลง และพบว่าเหลิ่งเซ่าถิงกำลังจ้องมองเธออยู่ตลอดเวลา เจี่ยนอี๋นั่วรีบขมวดคิ้ว :“คุณกำลังมองดูอะไรอยู่คะ?”
หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ เขาก็จำได้อีกครั้ง และพูดอย่างรวดเร็ว: “ใช่สินะ ตอนนี้คุณไม่คันแล้วใช่ไหมคะ? ฉันสามารถออกไปได้แล้วใช่ไหมคะ คุณยังต้องการอะไรอีกไหมคะ คุณพูดออกมาทีเดียวเลยค่ะ วันนี้วุ่นวายเรื่องของคุณทั้งวัน ไม่มีเวลาดูและลั่วหยางและซวงซวงเลย ฉันกลัวว่าพวกเขาจะรู้สึกเสียใจ รออีกสักพัก ฉันคงต้องหาเวลาไปดูแลพวกเขาแล้วล่ะ ”
เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้าเบา ๆ ยิ้มและกล่าวว่า “โอ้ ใช่สิ มันควรต้องเป็นแบบนั้นแหล่ะ”
เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วและมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิง:“ถ้าอย่างนั้นตอนนี้คุณไม่คันแล้วใช่ไหมคะ?ถ้าเป็นไปได้ ฉันขอตัวก่อนนะคะ”
เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้า: “โอเค คุณไปเถอะ”
เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกอายเมื่อได้ยินเหลิ่งเซ่าถิงพูดเช่นนี้ ตอบรับได้รวดเร็วขนาดนี้ กลับรู้สึกเกรงใจจริงๆ และพูดด้วยน้ำเสียงเบาว่า: “ถ้าฉันไม่อยู่ชั้นล่าง ก็น่าจะอยู่ห้องข้างๆนี่นะคะ ข้างๆห้องมีโทรศัพท์ภายในใช่ไหมคะ?ถ้าหากคุณต้องการหาฉัน คุณสามารถโทรหาฉันได้เลย ”
เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้าเบา ๆ : “ผมรู้”
เจี่ยนอี๋นั่วเม้มริมฝีปากของเธออย่างแรง ในที่สุดก็ลุกขึ้นและเดินออกจากห้องไป เหลิ่งเซ่าถิงมองเจี่ยนอี๋นั่วเดินออกจากห้องไป จึงลุกขึ้นจ้องมองไปที่ประตูที่ค่อยๆปิดลง และรอยยิ้มค่อยๆจางหายไป เมื่อกี้นี้แสงแดดที่สว่างไสว ในตอนนี้ถูกปกคลุมด้วยเมฆดำในชั่วพริบตา และในห้องของเหลิ่งเซ่าถิงก็มืดมนลงทันที
“ฉันคิดว่าคุณยังต้องการ ……”เจี่ยนอี๋นั่วพูดไปด้วย พร้อมเดินเข้ามาในห้องไปด้วย เมื่อมองไปที่ เหลิ่งเซ่าถิงที่กำลังทำหน้าบึ้งและจ้องมาที่ประตู เจี่ยนอี๋นั่วก็หยุดชะงักทันที
“คุณเป็นอะไรหรือเปล่าคะ? คุณกำลังมองหาอะไรอยู่คะ?”เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะถามอย่างสงสัย
เหลิ่งเซ่าถิงค่อยๆหัวเราะออกมาอีกครั้งเมื่อเขาเห็นเจี่ยนอี๋นั่ว และถามด้วยรอยยิ้ม:“ทำไมคุณถึงกลับมาอีกครั้งล่ะ?”
เจี่ยนอี๋นั่วยกถาดในมือขึ้นและพูดด้วยรอยยิ้ม: “โอ้ ฉันกลัวว่าคุณจะกระหายน้ำหรือหิวแล้ว ฉันจึงเอาแซนวิชและน้ำมาให้คุณ ฉันจะวางของเหล่านี้ไว้ข้างเตียงของคุณนะคะ และคุณสามารถยื่นมือออกมาหยิบได้เลย แบบนี้ก็จะสะดวกมากขึ้น”
แต่ก็ไม่มีข้ออ้างที่จะเรียกหาเจี่ยนอี๋นั่วให้มาหาอีก
เหลิ่งเซ่าถิงคิดถึงนี่ ก็ค่อยๆขมวดคิ้วขึ้นอย่างช้าๆ และย่อตัวลงบนเตียงอย่างอ่อนแรงและพูดด้วยน้ำเสียงเบาว่า: “โอ้ ถ้าอย่างนั้นผมรู้แล้ว”
เจี่ยนอี๋นั่วเห็นว่าสภาพของเหลิ่งเซ่าถิงดูไม่ค่อยดี รีบถามอย่างรวดเร็ว:“คุณเป็นอะไรหรือเปล่าคะ?”
เหลิ่งเซ่าถิงตอบกลับเบา ๆ : “ไม่มีอะไร ผมสบายดี”
เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิงในสภาพของตอนนี้ ไม่รู้ว่าทำไมมันถึงทำให้เธอนึกถึง ตอนที่เจี่ยนอี๋นั่วยังเด็ก เมื่อเธอป่วยเธอต้องการให้เจี่ยนอี๋นั่วอยู่ข้างกายเธอ และไม่ยอมให้เจี่ยนอี๋นั่วจากเธอไปไหน เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วนึกถึงนี่เรื่องนี่ก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่น
ให้ตายเถอะ เธอกำลังคิดอะไรอยู่เนี่ย? เจี่ยนซวงเป็นแค่เด็กคนหนึ่งเท่านั้น แต่เหลิ่งเซ่าถิงเป็นถึงประธานเหลิ่งนะ? เขาจะมีจิตใจที่เหมือนกันกับเจี่ยนซวงได้อย่างไรกัน?
บางทีอาจจะเป็นเพราะหลายปีที่ผ่านมานี้ไม่ได้เจอกัน เนื่องจากเหลิ่งเซ่าถิงมีความกดดันมาก เลยทำให้เขากลายเป็นคนที่มีอารมณ์แปรปรวนเล็กน้อย
เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วคิดถึงนี่ เธอพยักหน้าเล็กน้อย รู้สึกว่าการคาดเดาของเธอนั้นมันถูกต้องอย่างแน่นอน เจี่ยนอี๋นั่วก็เดินตรงไปที่ข้างเตียงของเหลิ่งเซ่าถิง วางถาดไว้บนโต๊ะเล็กๆ ข้างๆเตียงนั้น และยิ้มแล้วพูดกับเหลิ่งเซ่าถิงว่า :“ถ้าหากคุณหิวคุณก็กินได้เลยนะคะ ฉันขอตัวก่อนแล้ว ”
เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ แต่ไม่ได้รอคำตอบของเหลิ่งเซ่าถิง เจี่ยนอี๋นั่วคิดว่าเหลิ่งเซ่าถิงไม่ได้ยิน ก็เดินขยับเข้าไปใกล้เหลิ่งเซ่าถิงแล้วพูดว่า: “ฉันกำลังจะไปแล้วนะคะ”
ในเวลานี้เหลิ่งเซ่าถิงพึ่งรู้สึกตัว แต่ปฏิกิริยาของเขาคือการหันหลังกลับ และนอนลงไปโดยหันหลังให้กับเจี่ยอี๋นั่ว
นี่มันอึดอัดมากไหมเนี่ย?
เจี่ยนอี๋นั่วมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิงเป็นเวลานาน เธอพยายามอย่างหนักที่จะคิดถึงท่าทางที่เฉยเมยและหยิ่งผยองตามปกติของเหลิ่งเซ่าถิง ก่อนที่จะระงับความคิดที่ว่าเหลิ่งเซ่าถิงกำลังอึดอัดใจ
เจี่ยนอี๋นั่วรีบหันหลังกลับทันทีและเดินออกจากห้องของเหลิ่งเซ่าถิง หลังจากปิดประตู เจี่ยนอี๋นั่วก็ลูบหน้าอกของเธอเบา ๆ และถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก: “ไม่เจอกันมานานหลายปี ทำไมนิสัยถึงกลายเป็นเด็กแบบนี้ด้วยนะ?”
เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วกำลังพูดอยู่ เธอก็เดินตามเสียงพูดคุยของเจี่ยนซวงและลั่วหยาง และเดินลงไปถึงชั้นล่าง เจี่ยนซวงยังคงใช้วิธีการต่างๆเพื่อ “เกลี้ยกล่อม” ให้ลั่วหยางออกไปจากที่นี่
“พี่ดูสิ ที่นี่มีทั้งหมดกี่คน คุณพ่อเหรอ ก็คือคนที่พี่เรียกคุณเหลิ่งตลอดคนนั้นแหล่ะ ดุขนาดนั้น! พี่เคยเห็นคนที่ดุ ๆ ขนาดนั้นไหมล่ะ? ยิ่งคุณแม่นะ ยิ่งแย่ไปกว่านั้นอีก อาหารที่เธอทำพี่ก็เคยกินแล้วไม่ใช่เหรอ กินยากขนาดไหนล่ะ อีกทั้งเธอยังไม่รู้วิธีการทำอาหารเลย งานบ้านงานเรือนก็แย่เอามากๆเลยล่ะ พี่ยังไม่เคยเห็นด้วยซ้ำเธอซักกระโปรงตัวน้อยของหนู สภาพนี้ไม่ต้องพูดถึง นิสัยก็แย่ เมื่อกี้นี้พี่ก็เห็นแล้วใช่ไหมล่ะ หนูไม่ได้นินทาคุณแม่หรอกนะ เมื่อกี้นี้เธอดุขนาดไหน พี่ไม่กลัวเหรอคะ?”
เมื่อเจี่ยนซวงพูดถึงนี่ ก็สูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วพูดต่อ: “ก็มีแต่หนูที่ยังพอโอเค นิสัยของหนูก็ค่อนข้างดี แล้วก็ฉลาดมากด้วย แต่ว่าหนูไม่ชอบพี่อ่ะ และพี่ก็ไม่ชอบหนูด้วย พวกเราสองคนไม่เหมาะที่จะเป็นพี่น้องกัน จริงๆนะ …… พวกเราไม่มีวาสนาต่อกัน ”
“ ซวงซวง…… ” เจี่ยนอี๋นั่วลดเสียงลงและขมวดคิ้วขึ้นทันที
เจี่ยนซวงตกใจจนตัวสั่น รีบเงยหน้าขึ้นมองไปทางเจี่ยนอี๋นั่วทันที และพูดด้วยน้ำเสียงเบา: “คุณแม่คะ คุณแม่ไม่ต้องดูแลคุณพ่อเหรอคะ ?วางใจเถอะค่ะ หนูจะเป็นคนดูแลพี่ชายเอง คุณแม่ไปดูแลคุณพ่อเถอะค่ะ ……”
เจี่ยนอี๋นั่วเหลือบมองเจี่ยนซวง ไม่ได้พูดอะไรออกมา แค่ใช้สายตาจ้องมองเจี่ยนซวงเท่านั้น เจี่ยนซวงรีบ ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกทันที และลดเสียงลงยิ่งขึ้น:“ คุณแม่คะ หนูผิดไปแล้วค่ะ”
เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วและถามว่า “แล้วผิดตรงไหนคะ?”
เจี่ยนซวงมองไปที่ลั่วหยาง และพูดด้วยน้ำเสียงเบา: “คุณแม่คะ มีคนนอกอยู่ด้วย พวกเราไปพูดคุยกันส่วนตัวได้ไหมคะ หนูไม่อยากเห็นให้คนอื่นเห็นตอนหนูถูกคุณแม่ตักเตือน……”
“คุณแม่จะไม่ตักเตือนหนู ” เจี่ยนอี๋นั่วนั่งลงบนโซฟา และมองไปที่เจี่ยนซวงอย่างจริงจัง และพูดด้วยน้ำเสียงเบา: “คุณแม่รู้ว่าตอนนี้หนูกำลังคิดอะไรอยู่ รู้สึกว่าความสนใจของคุณแม่ที่มีให้หนูถูกแบ่งไปให้คนอื่นแล้วใช่ไหมคะ และจะไม่อยู่เคียงข้างหนูอีกต่อไปแล้วอย่างนั้นใช่ไหมคะ?”
เจี่ยนอี๋นั่วทำหน้ามุ่ย หยิบหมอนที่อยู่ข้างๆเธอขึ้นมากอดแล้วก้มหัวลง และไม่พูดไม่จา
เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและพูดว่า: “ซวงซวง ตอนเริ่มต้นมันอาจจะยากลำบากเล็กน้อย แต่เมื่อเวลาค่อยๆผ่านไป พวกเราทุกคนจะปรับตัวเข้าหากันได้แน่ หนูต้องรู้จักที่จะปรับตัว บางทีคุณแม่อาจจะสนใจและเอาใจใส่คนอื่น แล้วก็จะมีคนอื่นที่สนใจหนูและเอาใจใส่หนูเช่นกัน”
เจี่ยนซวงสูดหายใจเข้าลึกๆเพื่อไม่ให้น้ำมูกไหลออกมา ร้องไห้สะอื้นแล้วพูดว่า:“ไม่มีใครมาสนใจหนูและเอาใจใส่หนูหรอกค่ะ?”
เจี่ยนอี๋นั่วหันศีรษะเล็กน้อย ชี้ไปที่ลั่วหยางและพูดด้วยรอยยิ้ม: “พี่ชายของหนูก็อยู่เคียงข้างหนูตลอดไม่ใช่เหรอคะ ? ความจริงแล้วเขาสามารถกลับไปที่ห้องของเขาได้โดยไม่ต้องอยู่เป็นเพื่อนหนูก็ได้”
เจี่ยนซวงหันหน้าไปมองลั่วหยางทันที และถามด้วยน้ำเสียงเบา: “พี่ชายคะ อันที่จริงแล้วพี่อยู่เป็นเพื่อนหนูตลอดเวลาจริงๆเหรอคะ ?”
ลั่วหยางเงยหน้าขึ้นและมองไปที่เจี่ยนซวง ก้มหน้าลงและอ่านหนังสือของตัวเองต่อไป โดยไม่พูดอะไรออกมาเลย
เจี่ยนซวงรีบมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่วทันที: “พี่ชายไม่ได้ยอมรับค่ะ”
“แต่พี่ชายก็ไม่ปฏิเสธเช่นกัน” เจี่ยนอี๋นั่วกล่าวด้วยรอยยิ้ม: “พี่ชายของหนูเต็มใจที่จะอยู่กับหนู และฟังหนูจู้จี้จุกจิกซ้ำแล้วซ้ำเล่า เกลี้ยกล่อมให้เขาไปจากที่นี่ ในใจของเขาจะไม่รู้สึกเสียใจเหรอคะ ?”
“ไม่เสียใจครับ” ลั่วหยางกล่าวอย่างเย็นชา
“ป๊าด …… ” เมื่อกี้นี้เจี่ยนซวงยังร้องไห้อยู่เลย ในตอนนี้ปิดปากของเธอและหัวเราะออกมาทันที: “คุณแม่คะหนูรู้สึกอายมากคะ”
เจี่ยนอี๋นั่วเม้มริมฝีปากของเธอ จากนั้นก็ไอแห้ง ๆออกมาหนึ่งที และพูดด้วยน้ำเสียงเข้มทันที :“แม้ว่าพี่ชายของหนูจะไม่รู้สึกเสียใจ แต่เขาก็ไม่เคยรู้สึกรังเกียจหรือรำคาญหนูเลยนะ?แต่ว่าพี่ชายของหนูก็อดทนตลอด หนูควรจะทำอะไรเพื่อพี่ชายของหนูบ้างใช่ไหมคะ?”
เวลานี้เจี่ยนซวงไม่มีอะไรจะพูดแล้ว หันหน้าจ้องมองลั่วหยาง พูดด้วยน้ำเสียงเบา:“ถ้าอย่างนั้นพี่อยากได้อะไรคะ ?”
ลั่วหยางขมวดคิ้วและจ้องมองไปที่เจี่ยนซวงและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา:“สามารถขอได้จริงเหรอ?”
เจี่ยนซวงพยักหน้าและสาบานว่าจะตะโกนออกมาเสียงดัง ๆ ว่า: “ได้!”
ลั่วหยางลดตาลงและพูดด้วยน้ำเสียงเข้ม “ถ้าอย่างงั้นก็เงียบสักชั่วโมงนะ”