หนี้รัก วิวาห์จำเป็น – บทที่ 219 ดูแลซึ่งกันและกัน

หนี้รัก วิวาห์จำเป็น

เจี่ยนอี๋นั่วคิดถึงนี่ เธอก็เอนตัวนอนลงบนพรมและเหยียดแขนออกและพูดด้วยรอยยิ้มกับลั่วหยาง: “ลูกต่างจากเด็กคนอื่น ๆยังไงคะ ในสิ่งที่คนอื่นทำได้ ลูกก็สามารถทำได้เช่นกัน ถ้าหากลูกคิดว่าพรมมันแข็งเกินไป อันที่จริงลูกสามารถมานอนตรงแขนของคุณแม่ได้นะคะ ”

ลั่วหยางขมวดคิ้วและมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่วด้วยความสงสัย เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มทันทีและยกมือขึ้นจับลั่วหยางโดยตรง ให้ ลั่วหยางนอนลงบนแขนของเธอและพูดด้วยรอยยิ้ม: “นอนตรงแขนของคุณแม่มันไม่ได้เป็นอะไรหรอกนะคะ ?เมื่อก่อนนี้ลูกอยู่ในท้องของแม่เป็นเวลานานมากเลยล่ะ ถ้าหากลูกง่วงแล้ว ก็หลับตานอนเถอะ คุณแม่ก็จะหลับเหมือนกัน……”

หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ เธอก็หลับตาลงทันที เมื่อเห็นว่าเจี่ยนอี๋นั่วหลับตาลงแล้ว ลั่วหยางก็เอียงศีรษะและกระพริบตาเขามองไปที่เจี่ยนอี๋นั่วอย่างจริงจังสักพัก แล้วค่อยๆหลับตาลงบนแขนของเจี่ยนอี๋นั่ว เวลานี้เจี่ยนซวงก็ค่อยๆเงยหน้าขึ้นอย่างงัวเงีย มองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว และดึงแขนอีกข้างของเจี่ยนอี๋นั่วออกมา และนอนอีกด้านหนึ่งบนแขนของเจี่ยนอี๋นั่ว

ในตอนแรกเจี่ยนอี๋นั่วแค่อยากจะหลับตาลงสักพัก แต่อาจจะเป็นเพราะเมื่อคืนเธอนอนหลับไม่สนิททั้งคืน เมื่อเธอหลับตาลงสักพักเธอจึงหลับไปอย่างสนิท

เหลิ่งเซ่าถิงนั่งเฝ้าดูโมเม้นนี้อยู่ข้างๆเตียง และเมื่อเห็นเจี่ยนอี๋นั่วพาเด็กทั้งสองคนนอนอยู่บนพรมอย่างไม่เป็นระเบียบ แต่เขากลับรู้สึกว่าโมเม้นนี้มันดูสวยงามมาก สวยงามมากจนทำให้เขาจ้องมองมันเป็นเวลานาน เมื่อเขาเห็นเจี่ยนซวงนอนขดตัวเพราะความหนาวเย็น เหลิ่งเซ่าถิงก็อดไม่ได้ที่จะลุกขึ้นยืนเอาขาขวาแตะพื้นอย่างระมัดระวัง เขาหยิบผ้าห่มบาง ๆ คลุมให้กับเจี่ยนอี๋นั่วและลูกๆทั้งสองคน

จากนั้นเหลิ่งเซ่าถิงก็นั่งข้างๆพวกเขา เขาอยากที่จะลุกขึ้น หลังจากที่พลาดโอกาสเวลาที่อยู่ด้วยกันแบบนี้มานานมาก ในเวลานี้เหลิ่งเซ่าถิงรู้สึกไม่อยากเสียโอกาสที่จะอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันแบบนี้ไปแม้แต่วินาทีเดียว

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วลืมตาขึ้นอีกครั้ง ท้องฟ้าก็มืดลงแล้ว เจี่ยนซวงและลั่วหยางยังคงนอนหลับอยู่ข้างๆเธอ

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วและลุกขึ้นอย่างช้าๆ เธอยังคงงุนงงเธอไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเธอเพิ่งนอนข้ามมื้อกลางวันไป แล้วหลับจนถึงหัวค่ำแบบนี้ เจี่ยนอี๋นั่วหันหน้าเหลือบมองเจี่ยนซวงและลั่วหยางที่ยังคงหลับอยู่ รีบยกมือขึ้นอย่างรวดเร็วและปลุกเจี่ยนซวงและลั่วหยาง แต่เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วกำลังยกมือขึ้นก็คิ้วขมวดทันที แขนทั้งสองข้างของเธอถูกเจี่ยนซวงและลั่วหยางนอนทับจนมันทั้งชาและปวดมาก จนมันไม่มีแรงพอที่จะใช้งานได้แล้ว

เจี่ยนอี๋นั่วทำได้เพียงแค่สูดหายใจเข้าลึก ๆ ขมวดคิ้วและตะโกนออกมาว่า: “นี่ พวกหนูตื่นได้แล้วค่ะ นี่เวลาไหนแล้ว ถ้ายังไม่ตื่นอีกแม้แต่อาหารเย็นก็จะไม่ได้ทานกันแล้วนะคะ ”

เมื่อได้ยินคำว่า “อาหารเย็น” เจี่ยนซวงขยี้ตาทันทีแล้วลุกขึ้นนั่ง รีบตะโกนออกมาว่า: “อาหารอะไรคะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วมองไปที่เจี่ยนซวงอย่างเซ็งๆ ขมวดคิ้วและพูดว่า :“คุณแม่หมายความว่า ถ้ายังล่าช้าต่อไปอีก แม้แต่อาหารเย็นก็จะไม่ได้ทานแล้วนะคะ รีบตื่นเร็วๆค่ะ”

เจี่ยนซวงลูบท้องน้อยๆของเธอและบ่นพึมพำ :“อืม หนูรู้สึกหิวจริงๆแล้วล่ะคะ”

เจี่ยนซวงพูดถึงนี่ ลั่วหยางก็ลุกขึ้น เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ใบหน้าของเขาแดงและเกิดรอยยับขึ้นบนใบหน้า เมื่อเจี่ยนซวงเห็นใบหน้าของลั่วหยาง ก็รีบยกมือชี้ไปที่ใบหน้าของลั่วหยางแล้วหัวเราะเสียงดังออกมาทันที: “ฮ่าฮ่าฮ่า…… ใบหน้าของพี่ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้คะ?”

ลั่วหยางหน้าแดงทันที ก่อนที่จะเตรียมทำท่าทางให้เงียบ เจี่ยนซวงก็ชิงพูดก่อนว่า: “เวลามันผ่านไปหนึ่งชั่วโมงแล้ว ไม่นับแล้วล่ะคะ”

หลังจากที่เจี่ยนซวงพูดจบ เธอก็ยิ้มออกมาอย่างภาคภูมิใจและลุกขึ้น: “ถ้าหากหนูรู้ว่าหนูสามารถผ่านช่วงเวลาแห่งการนอนหลับนี้ได้เร็วขนาดนี้ หนูควรจะนอนให้เร็วกว่านี้ จริงๆเลย อุคส่าห์อดทนมาตั้งนาน มันทรมานแทบตาย !อืม ใช่สิ คุณแม่คะ พวกเราทานข้าวได้แล้วหรือยังคะ ?”

เจี่ยนอี๋นั่วนวดแขนที่ชาของตัวเองแล้วลุกขึ้นยืน: “อืม คุณแม่จะโทรสั่งตอนนี้นะคะ”

“ไม่ต้องแล้วล่ะ อาหารได้ถูกส่งมาแล้ว และมันวางไว้ในกล่องถนอมอาหาร”

ในขณะที่เหลิ่งเซ่าถิงกำลังพูดอยู่ เขาก็ดันรถเข็นวีลแชร์มาจากด้านนอก และยิ้มให้เจี่ยนอี๋นั่วและลูกๆทั้งสอง: “เพราะไม่รู้ว่าพวกคุณจะตื่นเมื่อไหร่ ผมกลัวว่าพวกคุณจะหิวเมื่อพวกคุณตื่นขึ้นมา ผมจึงสั่งให้คนอื่นส่งมาที่นี่ก่อน และอุ่นไว้ในกล่องเก็บความร้อน ไปล้างมือล้างหน้ากันก่อน แล้วมาทานข้าวกันได้แล้ว”

“ว้าว เยี่ยมมากจริงๆค่ะ !” เจี่ยนซวงยิ้มและกระโดดโลดเต้นขึ้นทันที: “ซวงซวงหิวจริงๆแล้วคะ คุณพ่อนี่ดีที่สุดในโลกเลยค่ะ ไม่เหมือนคุณแม่ที่เอาแต่นอนอย่างเดียว”

“ซวงซวง…… ” เจี่ยนอี๋นั่วเบิกตากว้างจ้องมองไปที่เจี่ยนซวง แต่ภายนอกของเธอดูแข็งกร้าวมาก และน้ำเสียงที่พูดไม่ควรจะแข็งทื่อขนาดนั้น เนื่องจากในสิ่งที่เจี่ยนซวงพูดออกมานั้นพูดไม่ผิดเลยสักนิด ตอนนี้ในครอบครัวมีผู้ใหญ่อยู่แค่สองคน เหลิ่งเซ่าถิงก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสที่ขาขนาดนั้น แล้วเธอก็มานอนหลับไปอีก ช่วงบ่ายของวันนี้เธอไม่ได้ดูแลเหลิ่งเซ่าถิง แต่กลับปล่อยให้เหลิ่งเซ่าถิงมาดูแลพวกเขาอีก ไม่ว่าจะหาเหตุผลข้อไหนก็ตามคงหาเหตุผลมาอ้างไม่ได้

เจี่ยนอี๋นั่วพูดกับเจี่ยนซวงได้แค่ว่า: “ถ้าอย่างนั้นจัดโต๊ะให้เรียบร้อย คุณพ่อไม่สะดวกที่จะลงไปข้างล่าง พวกเราทานอาหารที่นี่แล้วกันนะคะ ”

หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ เธอก็นึกขึ้นได้หน้าคิ้วขมวดถามเหลิ่งเซ่าถิงว่า:“ถ้าทานที่นี่ อาจจะทำให้มีกลิ่นอาหาร ถ้าหากคุณไม่ชอบ พวกเราสามารถเปลี่ยนสถานที่ใหม่ได้นะคะ?”

เหลิ่งเซ่าถิงกล่าวด้วยรอยยิ้มทันที: “ผมชอบมาก พวกเราก็กินที่นี่กันเถอะ”

จากนั้นเจี่ยนอี๋นั่วก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก แต่ก่อนที่เธอจะเคลียร์โต๊ะ เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่ามือของเธอชาจริงๆ และมือของเธอไม่สามารถใช้การได้ เธอหันหน้าไปมองข้างหลังเธอ และเธอก็เห็นเจี่ยนซวงกำลังจะเก็บพรม และลั่วหยางกำลังเก็บหนังสือที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น หลังจากนั้นไม่นาน เจี่ยนซวงและลั่วหยางก็ทะเลาะกันว่าใครควรเก็บพรม และใครควรเก็บหนังสือ เด็กทั้งสองไม่ทันสังเกตเห็นท่าทางที่แปลกไปของเจี่ยนอี๋นั่วเลย

อันที่จริงเจี่ยนซวงและลั่วหยางเป็นเด็กที่ฉลาดมากอยู่แล้ว แต่พวกเขาก็เป็นแค่เด็กเท่านั้น ไม่ว่าเด็กคนนั้นจะมีความฉลาดมากแค่ไหน แต่มันก็ต้องมีขีดจำกัด เจี่ยนอี๋นั่วก็เม้มริมฝีปากแล้วสูดหายใจเข้าลึก ๆ เธอยืนขึ้นและนวดที่แขนของตัวเอง

“ คุณเป็นอะไรหรือเปล่า ?” เหลิ่งเซ่าถิงเข็นรถวีลแชร์ไปหาเจี่ยนอี๋นั่ว และถามด้วยน้ำเสียงเบา

เจี่ยนอี๋นั่วหันกลับมาและมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิงที่กำลังคุยกับเธออยู่ จากนั้นหัวเราะออกมาเบา ๆ และพูดว่า :“ไม่ได้เป็นอะไรค่ะ”

“ แขนของคุณชาหรือเปล่า?” เหลิ่งเซ่าถิงยังคงถามต่อ

เจี่ยนอี๋นั่วถอนหายใจออกมาอย่างเซ็งๆ : “มันเจ็บนิดหน่อย ลูกทั้งสองคนนี้ค่อนข้างหนักเหมือนกันนะเนี่ย ทับจนแขนของฉันปวดๆชาๆขนาดนี้”

เหลิ่งเซ่าถิงยื่นมือออกไปหาเจี่ยนอี๋นั่วและพูดด้วยเสียงเข้ม:“เอามือของคุณยื่นออกมา เดี๋ยวผมจะนวดให้คุณเอง ”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วทันที: “หือ?”

เหลิ่งเซ่าถิงหัวเราะเบา ๆ และพูดว่า “ทำไมถึงดูตกใจขนาดนี้ล่ะ ? ยื่นมือออกมาให้ผมสิ!”

“แต่ว่าฉัน …… ” เจี่ยนอี๋นั่วส่ายหัว เธอไม่อยากแสดงความอ่อนแอต่อหน้าเหลิ่งเซ่าถิง และไม่อยากให้ลูกๆของเธอเห็นท่าทางที่เธอดูสนิทสนมกับเหลิ่งเซ่าถิงแบบนี้

แต่เหลิ่งเซ่าถิงก็ไม่เปิดโอกาสให้เจี่ยนอี๋นั่วปฏิเสธเลย เขายื่นมือออกไปจับมือของเจี่ยนอี๋นั่ว และกดแขนของเจี่ยนอี๋นั่วเบา ๆ

เจี่ยนอี๋นั่วถูกกดลงไปจุดที่เจ็บ ก็สูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วพูดเบา ๆ ว่า: “เจ็บนิดหน่อย”

เหลิ่งเซ่าถิงก็ลดแรงลง ค่อยๆนวดแขนให้กับเจี่ยนอี๋นั่ว เดิมแขนของเจี่ยนอี๋นั่วเจ็บและปวดมาก และเธอก็ไม่สามารถไปสนใจสิ่งอื่นเลย แต่เมื่อแขนของเจี่ยนอี๋นั่วค่อยๆดีขึ้นและกลับมาใช้งานได้ปกติ เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าฝ่ามือของเหลิ่งเซ่าถิงผิดปกติ เจี่ยนอี่นัวรีบดึงมือของตัวเองกลับ แล้วหลบหลีกอย่างไว ขมวดคิ้วและพูดว่า “ตอนนี้ฉันไม่ได้เป็นอะไรแล้ว คุณไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับฉันอีกต่อไปแล้ว”

เหลิ่งเซ่าถิงถามด้วยรอยยิ้ม:“ไม่เป็นอะไรจริงๆแล้วใช่ไหม?”

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าอย่างแรง มองไปทางเจี่ยนซวงและลั่วทาง และเห็นว่าพวกเขายังคงนั่งเล่นกันอยู่ และไม่ทันสังเกตเห็นอะไร เจี่ยนอี๋นั่วก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก และพูดด้วยน้ำเสียงเบา: “ช่วงบ่ายวันนี้ฉันนอนหลับไป ทำไมคุณไม่ปลุกฉันล่ะคะ? ตกลงกันไว้แล้วว่าฉันจะเป็นคนที่ดูแลคุณเอง แต่ฉันกลับหลับไป วันนี้คุณใช้ชีวิตอย่างไรคะ? ไปห้องน้ำแล้วลื่นล้มหรือเปล่าคะ ?ตอนกระหายน้ำคุณได้ดื่มน้ำหรือเปล่าคะ?”

เดิมทีเหลิ่งเซ่าถิงต้องการจะบอกว่าเขาดูแลตัวเองได้เป็นอย่างดี แต่ก่อนที่เขาจะพูดออกมา เหลิ่งเซ่าก็หยุดชะงักทันที ถ้าหากเขาพูดแบบนี้ออกมา กลัวว่าเจี่ยนอี๋นั่วจะคิดว่าเขาสามารถดูแลตัวเองได้ ก็จะไม่เสียเวลามาดูแลเขาอีกแล้ว

เหลิ่งเซ่าถิงหยุดไปชั่วขณะ จากนั้นส่ายหัวเล็กน้อย ทำหน้าบึ้งและพูดว่า: “มันก็ลำบากนิดหน่อย และผมก็เกือบจะล้มลง แต่โชคดีที่ผมไม่ได้เป็นอะไรมากนัก ผมก็ลุกไปนั่งที่รถเข็นวีลแชร์อีกครั้ง ”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของเหลิ่งเซ่าถิง พร้อมกับสีหน้าท่าทางที่รู้สึกผิดอย่างมาก

เหลิ่งเซ่าถิงเหลือบมองไปที่ท่าทางของเจี่ยนอี๋นั่ว ขมวดคิ้วและยิ่งพูดเว่อร์มากขึ้นไปอีกว่าอาการของเขานั่นแย่ลงมาก และพูดด้วยน้ำเสียงเบา: “แม้ว่าการล้มอาการจะไม่หนักมาก แต่ขาซ้ายของผมดูเหมือนจะถูกบิดบาดเจ็บรุนแรงมากขึ้น”

เจี่ยนอี่นั่วก้มหัวลงอย่างรวดเร็ว มองไปที่ขาซ้ายของเหลิ่งเซ่าถิง ขมวดคิ้วและถามว่า “คุณบาดเจ็บรุนแรงมากจริงๆเหรอคะ?”

“อืม …… ” เหลิ่งเซ่าถิงถอนหายใจออกมา: “หลังจากที่ทานอาหารเย็นเสร็จ กลัวว่าคงต้องทายาแล้วล่ะ ผมคนเดียวทาได้ไม่ทั่วแน่ ๆเลย ผมไม่รู้ว่าคุณจะช่วยผมได้ไหม ?”

เมื่อเห็นเจี่ยนอี๋นั่วแสดงอาการที่ลำบากใจออกมา เหลิ่งเซ่าถิงก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ: “ถ้าคุณรู้สึกลำบากใจ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เป็นไร อย่างไรก็ตามขาของผมมันก็กลายเป็นแบบนี้ไปแล้วนี่ ถึงจะทาหรือไม่ทายามันก็คงไม่แตกต่างกันหรอก ”

“ฉันจะช่วยคุณองค่ะ!” เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วได้ยินเหลิ่งเซ่าถิงพูดเช่นนี้ ก็รีบตอบรับทันทีโดยไม่ลังเลใด ๆ : “ฉันจะช่วยคุณแน่นอนค่ะ”

เหลิ่งเซ่าถิงลดสายตาลงและพยักหน้าหัวเราะออกมาเบา ๆ และพูดว่า:“ถ้าอย่างนั้นผมต้องรบกวนคุณแล้วจริงๆ”

เจี่ยนอี๋นั่วส่ายหัวและพูดด้วยน้ำเสียงเซ็งๆ : “ไม่ค่ะ…… ไม่ได้รบกวนค่ะ…… ไม่ได้รบกวนสักนิดเลยจริงๆค่ะ…… ”

เหลิ่งเซ่าถิงเห็นท่าทางไม่สบอารมณ์ของเจี่ยนอี๋นั่ว รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาชัดเจนมากขึ้น เขายิ้มและยกมือขึ้นเพื่อช่วยเจี่ยนอี๋นั่ววางตะเกียบบนโต๊ะอาหาร ตอนนี้เขาเงยหน้าขึ้นก็สามารถมองเห็นท่าทางที่ไม่สบอารมณ์ของเจี่ยนอี๋นั่ว จากนั้นก็ได้ยินเสียงของเจี่ยนซวงและลั่วหยางที่กำลังวิ่งเล่นวิ่งไปวิ่งมาอยู่ด้านหลัง

เหลิ่งเซ่าถิงไม่รู้ว่าความสุขที่แท้จริงนั้นคืออะไร แต่ตอนนี้เขารู้สึกได้แล้ว ในอดีตที่เคยใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันเจี่ยนอี๋นั่ว ทำให้เหลิ่งเซ่าถิงสัมผัสได้ถึงแค่ประตูแห่งความสุข แต่ตอนนี้เหลิ่งเซ่าถิงรู้สึกว่าในชีวิตทุกอย่างที่อยู่รอบตัวของเขานั้นช่างมีความสุขมากจริงๆ เขาก็หุบยิ้มไม่ได้

“คุณแม่คะ …… ทานข้าวได้หรือยังคะ?”เจี่ยนซวงรีบวิ่งไปหาเจี่ยนอี๋นั่วทันทีและพูดด้วยรอยยิ้ม

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าเบา ๆ : “ทานได้แล้วค่ะ แต่ก่อนทานต้องไปล้างมือก่อนนะคะ ”

เจี่ยนซวงยื่นมือออกทันที ยื่นมือของเธอให้เจี่ยนอี๋นั่วดู และพูดด้วยรอยยิ้มว่า:“ หนูล้างมือมาจนสะอาดมากแล้วค่ะ”

ลั่วหยางก็ยื่นมือออกมาเช่นกัน พูดกับเจี่ยนอี๋นั่วด้วยหน้าตาที่คิ้วขมวด :“ผมก็ล้างมือสะอาดแล้วครับ”

เจี่ยนอี๋นั่วมองไปที่ลั่วหยางและพยักหน้าตอบกลับ : “ดีค่ะ ดีมากค่ะ ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็เริ่มทานข้าวกันได้เลยค่ะ”

เจี่ยนอี๋นั่วมีความสุขมากเพราะลั่วหยางพยายามทำพฤติกรรมเช่นเดียวกับเจี่ยนซวงแล้ว และนี่มันก็แสดงให้เห็นว่าลั่วหยางเริ่มค่อยๆยอมรับในตัวของพวกเขาแล้ว และค่อยๆเหมือนเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวแล้ว ? ทุกอย่างดูเหมือนจะพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น

หนี้รัก วิวาห์จำเป็น

หนี้รัก วิวาห์จำเป็น

Status: Ongoing
เหลิ่งเซ่าถิง เป็นบอสใหญ่ที่กุมอำนาจทั้งหมดของบริษัทไว้ในมือ เป็นบุคคลสำคัญของธุรกิจ ซ้ำยังมีหน้าตาที่หล่อเหลา แต่เขากลับต้องมาประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ต้องมีสภาพกลายเป็นผัก เจี่ยนอี๋นั่ว เป็นลูกสาวของประธานแห่งเจี่ยนกรุ๊ป เรียนจบจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง นิสัยอ่อนโยน และรักกับแฟนหนุ่มมา3ปีแล้ว แต่เพราะอาการป่วยของพ่อ ทำให้เจี่ยนกรุ๊ปล้มละลาย เธอต้องแบกรับหนี้หลายสิบล้านเพียงชั่วข้ามคืน ดังนั้นภายใต้เหตุการณ์ทั้งสองเหตุการณ์นี้ ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วต้องมาเป็นภรรยาถูกต้องตามกฏหมายของเหลิ่งเซ่าถิง ซึ่งเธอไดแต่คิดว่าจะต้องอยู่กับคนที่สภาพเหมือนผักแบบนี้ไปตลอดชีวิต แต่กลับไม่รู้ว่าเขานั้นฟื้นแล้ว และแค่รอให้ ‘ปฏิหาร’เกิดขึ้นอีกครั้ง………

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท