หนี้รัก วิวาห์จำเป็น – บทที่ 221 ไม่ได้เต็มใจ

หนี้รัก วิวาห์จำเป็น

เหลิ่งเซ่าถิงถึงกับอึ้งเมื่อเจี่ยนอี๋นั่วจูบเขาอย่างกระทันหัน เขาไม่ได้ที่ปฏิกิริยาตอบกลับ จนเวลาผ่านไปนานเขาถึงได้หลับตาลงแล้วก็คว้าเอวบางของเจี่ยนอี๋นั่วเข้ามาแล้วจูบอย่างลึกซึ้งกับเธอต่อ แต่ในขณะนั้นเจี่ยนอี๋นั่วก็ถอยออกมาอย่างรวดเร็วแล้วหยุดเหลิ่งเซ่าถิงทันที

เจี่ยนอี๋นั่วยกยิ้มมุมปาก ก่อนจะยิ้มแล้วส่ายหน้า : “ตอนนี้ฉันให้คุณไปเยอะแล้ว อย่างอื่นไม่ได้แล้วนะคะ”

เหลิ่งเซ่าถิงคว้าเอวของเจี่ยนอี๋นั่วก่อนจะพูดด้วยเสียงแหบของเขา : “แค่จูบเดียวเองหรอ? ฉันบาดเจ็บมาตั้งเยอะ จูบอีกหน่อยไม่ได้หรือไง?”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วได้ยินเหลิ่งเซ่าถิงพูดถึงอาการบาดเจ็บของเขา ใบหน้าของเธอหม่นหมองลงอีกครั้งก่อนจะรีบเงยหน้าขึ้นมาแล้วมองหน้าเหลิ่งเซ่าถิง ก่อนจะพูดขึ้นว่า : “อันนี้มันเกินหน้าที่แล้วค่ะ แล้วตอนนี้……”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดถึงตรงนี้ก็ขมวดคิ้วขึ้น ก่อนจะลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดออกมาว่า : “แล้วตอนนี้เราก็ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆต่อกันด้วยนะคะ…….”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดถึงตรงนี้ เธอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิด ก่อนจะแอบมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิง เด็กๆวิ่งเล่นด้วยกันข้างนอกสองคนแล้วเมื่อกี้เธอก็จูบเหลิ่งเซ่าถิงด้วย แล้วตอนนี้พวกเขาก็ไม่ได้เป็นอะไรกันด้วย เธอเลยรู้สึกผิดในใจเล็กน้อย

แต่เหลิ่งเซ่าถิงก็ไม่ได้ซักถามอะไรต่อ เขาเพียงแต่ยิ้มอ่อนๆให้เจี่ยนอี๋นั่วเท่านั้น

ไม่รีรอให้เหลิ่งเซ่าถิงพูดอะไรต่อ เจี่ยนอี๋นั่วก็รีบพูดขึ้นมาทันที : “ฉันไม่ใช่ผู้หญิงที่จะไปเป็นผู้หญิงของคนอื่นไปเรื่อยไปเทื่อยนะ ที่จะบอกให้ฉันจูบคุณแล้วฉันจะทำแบบนั้นอ่ะ”

เหลิ่งเซ่าถิงยกยิ้มก่อนจะพยักหน้า แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า : “ฉันรู้ว่าเธอไม่ใช่ผู้หญิงแบบนั้น”

เจี่ยนอี๋นั่วเงยหน้าขึ้นมาเหลิ่งเซ่าถิงด้วยความภาคภูมิใจก่อนจะพูดว่า : “คุณรู้ก็ดีแล้วค่ะ คุณคงรู้เรื่องที่ควรขอโทษฉันเมื่อหลายปีมานี้ใช่มั้ยคะ? ฉันต้องทนทุกข์มาตั้งเยอะ คุณก็ยังจะโกหกฉันซ้ำแล้วซ้ำเล่า”

เหลิ่งเซ่าถิงรีบพูดขึ้นอย่างรวดเร็ว : “ฉันรู้ หลายปีมานี้ฉันขอโทษนะ”

เจี่ยนอี๋นั่วหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเม้มปากแล้วมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิง : “คุณรู้จักขอโทษฉัน คุณก็น่าจะรู้ว่าว่าระหว่างคุณกับฉันเราจะอยู่ด้วยกันได้มั้ย มันขึ้นอยู่กับที่ฉันอภัยคุณได้รึเปล่า”

เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า : “อืม ขึ้นอยู่กับคุณนั่นแหละ”

เจี่ยนอี๋นั่วกระพริบตาก่อนจะขมวดคิ้วแล้วพูดอย่างจริงจังว่า : “คุณอย่าคิดว่าฉันล้อเล่นนะคะ ตั้งแต่นี้ต่อไป ฉันจูบคุณได้ ฉันสัมผัสคุณได้ ฉันจะทำอะไรกับคุณก็ได้ แต่คุณไม่สามาระทำอะไรกับฉันก็ได้จนกว่าฉันจะหายโกรธแล้วก็ยอมรับคุณ”

เจี่ยนอี๋นั่วไม่ได้เต็มใจที่จะกลับไปเคียงข้างเหลิ่งเซ่าถิงอย่างง่ายๆ ราวกับว่าเธอเป็นลูกหมาที่เหลิ่งเซ่าถิงจะเรียกหาแล้วสบัดทิ้งเมื่อไหร่ก็ได้

เหลิ่งเซ่าถิงมองเจี่ยนอี๋นั่วแลเวยกยิ้มขึ้นมาก่อนจะพูดว่า : “ได้ ฉันจะรอจนกว่าเธอจะหายโกรธ”

เจี่ยนอี๋นั่วมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิงก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเข้มว่า : “คุณอย่าคิดว่าฉันจะหายโกรธง่ายๆนะคะ ฉันเป็นคนตระหนี่นะ ฉันคงต้องใช้เวลาสักสิบปีกว่าจะฉันจะหายโกรธคุณ”

เหลิ่งเซ่าถิงยกยิ้มขึ้นมา : “งั้นฉันก็จะยอมเธอตลอดสิบปีนี้แล้วกัน เธอจะจูบ ฉันก็จะให้จูบ เธอจะสัมผัส ฉันก็จะยอม เธออยาก……”

เหลิ่งเซ่าถิงพูด แล้วก็เปลี่ยน้ำเสียงให้ต่ำลงก่อนจะพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า : “ถ้าเธออยากจะทำอะไรฉัน ฉันจะไม่ขัดอะไร แค่ให้ฉันนอนลงแล้วนอนราบไปเลย ให้เธอรุกเอง จะหนึ่งปี สองปี สิบปี หรือยี่สิบปี วันไหนที่เธอหายโกรธฉันแล้ว เราค่อยมาคุยเรื่องอื่นกัน”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วได้ยินที่เหลิ่งเซ่าถิงพูด เธอก็ขมวดคิ้วขึ้นก่อนจะพูดว่า : “รู้ได้ไงว่าฉันจะอะไร? คุณรู้หรอคะว่าฉันจะทำอะไรคุณ?”

เหลิ่งเซ่าถิงไม่พูดอะไร เพียงแค่มองเจี่ยนอี๋นั่วแล้วยกยิ้มขึ้นมา ท่าทางของเขาราวกับกำลังบอกว่า เธอตะไม่ทำอะไรฉัน แล้วเมื่อกี้ใครกันนะที่จูบฉัน?

ใบหน้าของเจี่ยนอี๋นั่วแดงแจ๋ เธอเม้มปากก่อนจะพูดว่า : “ได้ ฉันยอมรับก็ได้ค่ะว่าฉันอาจจะทำอะไรกับคุณในบางครั้ง แต่คุณจะฟังฉันจริงๆหรอคะ?”

เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้า : “แน่นอนสิ ถ้าเธอจะจูบฉันหนักตอนนี้ ฉันก็จะไม่ขัดเลย”

เจี่ยนอี๋นั่วมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิง ก่อนจะพูดออกมาว่า : “ดีเลยค่ะ!”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ เธอก็ลุกขึ้นมาทันที ก่อนจะพูดกับเหลิ่งเซ่าถิงว่า : “งั้นคุณก็ไปนอนรอเลยค่ะ แล้วก็หามผ้าดีๆ อย่าตุกติกนะคะ ตอนนี้ก็ดึกแล้ว ฉันจะไปส่งลูกทั้งสองคนเข้านอนก่อน”

เจี่ยนอี๋นั่วเพิ่งจะลุกขึ้น เหลิ่งเซ่าถิงก็รีบเอื้อมมือมาจับมือของเจี่ยนอี๋นั่ว : “คุณนั่งอีกสักพักไม่ได้หรอ?”

เจี่ยนอี๋นั่วก้มหน้ามองมือของเหลิ่งเซ่าถิงที่จะบเธอไว้ ก่อนจะขมวดคิ้วขึ้นมา : “นี่คุณจับอะไรอยู่คะ? ทำไมบยังไม่รีบปล่อยอีก? จำไม่ได้หรอว่าคุณจะเป็นฝ่ายรุกไม่ได้? ต่อไปคนรุกจะต้องเป็นฉัน!”

เหลิ่งเซ่าถิงหัวเราะ ก่อนจะพูด : “เธอพูดแค่ว่าฉันสัมผัสเธอไม่ได้ ไม่ได้บอวก่าฉันจับมือเธอไม่ได้นี่”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว : “คุณอย่ามาเล่นลิ้นนะคะ จะบมือไม่เรียกว่าสัมผัสรึไง? คุณมาเล่นคำอะไรของคุณ? ปล่อยเดี๋ยวนี้นะคะ!”

เหลิ่งเซ่าถิงปล่อยมือ ก่อนจะยิ้มให้เจี่ยนอี๋นั่วราวกับว่าเป็นเด้กน้อยที่ซนมากๆยังไงอย่างนั้น?”

เจี่ยนอี๋นั่วมองเหลิ่งเซ่าถิงก่อนจะขมวดคิ้ว : “คุณกำลังคิดว่าฉันเอาแต่ใจแล้วก็เจ้าเล่ห์อยู่ใช่มั้ยคะ?”

เหลิ่งเซ่าถิงพูดด้วยรอยยิ้ม : “เป็นคนเจ้าอารมณ์ แต่ฉันฉันชอบนะ ฉันไม่เคยเลี้ยงซวงซวงกับลั่วหยาง เลยไม่เคยทะนุถนอมพวกเขา ถ้าเป็นคุณ ก็คงจะเหมือนกัน”

“คุณพูดบ้าอะไรคะ? เอาฉันไปเปรียบเทียบกับซวงซวงกับลั่วหยางอย่างงั้นหรอ”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดไปด้วยขมวดคิ้วไปด้วย : “ในเมื่อฉันเอาแต่ใจแล้ว ฉันจะเอาแต่ใจไปให้ถึงที่สุด ต่อไปคุณอย่ามาจับมือฉันพร่ำเพรื่ออีกนะคะ ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้เลย ฉันจะไปแล้วค่ะ!”

เหลิ่งเซ่าถิงฟังที่เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ เขาก็ค่อยๆยิ้มขึ้นมาก่อนจะปล่อยมือของเธอออก แล้วรีบพูดขึ้นมาว่า : “ได้ งั้นฉันจะรอให้เธอมาจับมือฉันนะ”

ตอนแรกเจี่ยนอี๋นั่วอยากจะตะโกนดังๆว่า : “รอไปเถอะค่ะ รอให้ถึงชาติหน้าเลย คนอย่างเจี่ยนอี๋นั่วนะเป็นคนแกร่งอยู่แล้ว ถ้าฉันบอกว่าฉันไม่เอาคุณ ยังไงฉันก็ไม่เอา!”

แต่เธอไม่ได้พูดมันออกมา เพราะเจี่ยนอี๋นั่วคิดว่าถ้าเธอพูดแบบนั้นออกมามันจะทำให้เธอไม่แน่ใจ เลยถอนหายใจออกมาแล้วสุดท้ายเธอก็พูดออกมาว่า : “คุณก็ค่อยๆรอไปนะคะ………”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ เธอก็ขมวดคิ้วแล้วเดินออกจากห้องไป เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงเห็นว่าเจี่ยนอี๋นั่วเดินออกจากห้องไปแล้วเขาก็ยกยิ้มขึ้นมา ก่อนจะนอนลงบนเตียงแล้วก้มลงไปมองเท้าที่บาดเจ็บของเขา ก่อนจะอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาแล้วพูดว่า : “เท้าที่บาดเจ็บมานี่ถือว่าคุ้มอยู่นะ”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วเดินออกจากห้องของเหลิ่งเซ่าถิงมาก่อนจะยกมือขึ้นมาปิดหน้าของตัวเองแล้วก็พูดขึ้นมาว่า : “จริงๆเลย จะอวดดีแล้วแล้วนะ”

เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกรำคาญกับการกระทำของตัวเองมากๆ เธอคิดว่าตอนนี้ตัวเองรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็อดไม่ได้ที่จะไม่เข้าใกล้เหลิ่งเซ่าถิง แต่ก็ไม่อยากยินยอมที่จะกลับไปคบกันกับเหลิ่งเซ่าถิงง่ายๆ เธอเลยกลายเป็นคนที่อวดดีแบบนี้ไป

เจี่ยนอี๋นั่วพิงอยู่ที่ประตูห้องของเหลิ่งเซ่าถิงอยู่พักหนึ่ง เธอห็เห็นเจี่ยนซวงและลั่วหยางกำลังพูดคุยกันแล้วกำลังเดินขึ้นบันไดมา เจี่ยนอี๋นั่วหายใจเข้าลึกๆก่อนจะสงบจิตสงบใจลง จากนั้นเจี่ยนอี๋นั่วก็พาเจี่ยนซวงและลั่วหยางเข้านอนทันที

เด็กสองคนทั้งลั่วหยางและเจี่ยนซวงหลับไปแล้ว แม้ว่าพวกเขาทั้งสองนอนไปแล้วทั้งบ่าย แต่เมื่อกลับไปถึงห้องนอนของตัวเองแล้วนั้น ผ่านไปไม่นานทั้งสองก็นอนหลับปุ๋ยไปแล้ว แต่เจี่ยนอี๋นั่วพลิกตัวไปมานอนไม่หลับ เจี่ยนอี๋นั่วนึกถึงสิ่งที่เธอทำไปในวันนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปง : “อึดอัดชะมัดบ้า…….น่าอายสุดๆ!”

ยิ่งเจี่ยนอี๋นั่วคิดเรื่องน่าอายของเธอนี้เท่าไหร่ สมองของเธอก็ยิ่งยุ่งเหยิงมากขึ้นไปเท่านั้น เธอคลุมโปงแล้วหลับตาลง ผ่านไปอยู่นานกว่าเธอจะหลับลงไปอย่างยากลำบาก

เพียงพริบตาเดียวก็เช้าแล้ว เจี่ยนซวงมาปลุกเจี่ยนอี๋นั่ว : “หม่าม้าคะ……ตื่นเร็วค่ะ วันนี้เราออกไปเที่ยวกันนะคะ อยู่ที่บ้านน่าเบื่อมากๆ”

เจี่ยนอี๋นั่วขยี้ตาก่อนจะลุกขึ้น : “อือ ได้ค่ะ”

เจี่ยนอี๋นั่วเพิ่งตอบไป เธอก็นึดขึ้นมาได้ทันทีว่าที่นี่ไม่ใช่การใช้ชีวิตแบบตอนที่อยู่หมูบ้านนั้นอีกแล้วตอนนี้ทุกที่ต่างก็อันตรายไปหมด เจี่ยนอี๋นั่วเหม่อไปสักพักก่อนจะพูดเสียงเบา : “รอก่อนนะคะ รอหม่าม้ากับคุณพ่อคุยกันก่อน ว่าจะได้ออกไปเที่ยวกันมั้ย โอเคมั้ยคะ?”

เจี่ยนซวงมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่วก่อนจะหัวเราะฮิฮิแล้วพูดกับคนเป็นแม่ว่า : “เมื่อก่อนหม่าม้าเป็นคนตัดสินใจคนเดียว เดี๋ยวนี้ต้องถามคุณพ่อก่อนแล้วหรอคะ….”

เจี่ยนอี๋นั่วมองไปที่เจี่ยนซวงแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า : “ยัยหนูคนนี้นี่ ไม่ต้องมาทำให้หม่าม้าหงุดหงิดเลยนะคะ ตอนนี้เราไม่ได้อยู่กันที่หมูบ้านนั่นแล้วนะ ที่นี่เป็นที่ของคุณพ่อหนู หม่าม้าก็ต้องฟังความเห็นของคุณพ่อสิคะ?”

เมื่อเจี่ยนซวงได้ยินที่เจี่ยนอี๋นั่วพูด เธอก็วิ่งออกไปด้วยเท้าเปล่าของตัวเองเสียงดัง ‘ตึงๆๆๆ’ ทันที แล้วเจี่ยนอี๋นั่วก็ได้ยินเสียงของเจี่ยนซวงตะโกนออกมาเสียงดัง : “คุณพ่อคะ…..คุณพ่อ พวกเราออกไปเที่ยวกันได้มั้ยคะ? ตั้งแต่เรามาอยู่ที่นี่ยังไม่เคยได้ออกไปเจอเพื่อนบ้านเลย! หนูอยากไปเจอเพื่อนๆที่นี่ค่ะ”

เมือ่เจี่ยนอี๋นั่วได้ยินเสียงตะโกนของเจี่ยนซวง เธอก็รีบเดินออกไปทันที ก่อนจะรีบเอามือไปปิดปากของเจี่ยนซวงจากข้างหลัง ก่อนจะขมวดคิ้วแล้วพูดว่า : “ห้ามตะโกนค่ะ คุณพ่อกับพี่อาจจะนอนอยู่ หนูตะโกนเสียงดังแบบนี้จะทำให้พวกเขาตื่นเอานะคะ”

“ไม่เป็นไร ฉันตื่นแล้ว!” เหลิ่งเซ่าถิงพูดด้วยรอยยิ้ม แล้วก็เข็นวีลแชร์ของตัวเองออกมาจากห้องนอนของตัวเอง

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วมองหน้าเหลิ่งเซ่าถิง : “คุณตื่นแล้วทำไมไม่เรียกฉันคะ? คุณล้างหน้าแปรงฟันรึยัง? ฉันยังไม่ได้ช่วยคุณเลย”

เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้วขึ้น ราวกับเขาเพิ่งนึกขึ้นได้ ก่อนจะส่ายหน้าทันที : “อ๋อ ฉันลืมน่ะ ฉันยังไม่ได้ล้างหน้าแปรงฟันหรอก เดี๋ยวก็รบกวนเธอช่วยมาล้างหน้าแปรงฟันให้ฉันหน่อยแล้วกันนะ “

เจี่ยนอี๋นั่วมองไปที่ใบหน้าที่สะอาดเอี่ยมของเหลิ่งเซ่าถิง ก่อนจะค่อยๆขมวดคิ้วขึ้นมา : “ยังจริงหรอคะ?”

เหลิ่งเซ่าถิงส่ายหน้า พร้อมกับทำหน้าที่ไร้เดียงสาออกมา : “ยังไม่ได้ล้างจริงๆ ไม่เขื่อก็ลองดูสิ?”

ลองงั้นหรอ?

เจี่ยนอี๋นั่วไม่คิดเลยว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะพูดต่อหน้าเด็กๆ มาพูดจาหน้าหนาแบบนี้ต่อหน้าเด็กได้ยังไงกัน เธออึ้งไปครู่หนึ่ง เธอไม่ได้รีบพูดโต้เถียงอะไรกลับไป เพียงแต่เบิกตาโตจ้องไปที่เหลิ่งเซ่าถิงเท่านั้น

เมื่อเจี่ยนซวงเห็นโอกาส เธอก็รีบจับเอามือของเจี่ยนอี๋นั่วออกจากปากของเธอทันที ก่อนจะตะโกนออกมาเสียงดังว่า : “คุณพ่อคะ เราออกไปเที่ยวได้มั้ยคะ? พี่ชายก็คงอยากออกไปเที่ยวเหมือนกัน”

“พี่ไม่ได้อยากไป ไม่ต้องเอาพี่มาอ้างเลย” ลั่วหยางที่เดินออกมาจากห้องนอนพูดด้วยน้ำเสียงเข้ม

หนี้รัก วิวาห์จำเป็น

หนี้รัก วิวาห์จำเป็น

Status: Ongoing
เหลิ่งเซ่าถิง เป็นบอสใหญ่ที่กุมอำนาจทั้งหมดของบริษัทไว้ในมือ เป็นบุคคลสำคัญของธุรกิจ ซ้ำยังมีหน้าตาที่หล่อเหลา แต่เขากลับต้องมาประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ต้องมีสภาพกลายเป็นผัก เจี่ยนอี๋นั่ว เป็นลูกสาวของประธานแห่งเจี่ยนกรุ๊ป เรียนจบจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง นิสัยอ่อนโยน และรักกับแฟนหนุ่มมา3ปีแล้ว แต่เพราะอาการป่วยของพ่อ ทำให้เจี่ยนกรุ๊ปล้มละลาย เธอต้องแบกรับหนี้หลายสิบล้านเพียงชั่วข้ามคืน ดังนั้นภายใต้เหตุการณ์ทั้งสองเหตุการณ์นี้ ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วต้องมาเป็นภรรยาถูกต้องตามกฏหมายของเหลิ่งเซ่าถิง ซึ่งเธอไดแต่คิดว่าจะต้องอยู่กับคนที่สภาพเหมือนผักแบบนี้ไปตลอดชีวิต แต่กลับไม่รู้ว่าเขานั้นฟื้นแล้ว และแค่รอให้ ‘ปฏิหาร’เกิดขึ้นอีกครั้ง………

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท