สะกิดหัวใจนายขี้เก๊ก – บทที่ 71 ในบ้านมีคนรับใช้

สะกิดหัวใจนายขี้เก๊ก

เมื่อคนของตระกูลภูริสิทธิโชคทั้งสามคนออกจากวิลล่า ใบหน้าของพ่อพินิจก็ทรุดลงในทันที

“จะอวดดีอะไรกันนักหนา?ก็แค่เด็กหนุ่มอายุยี่สิบเท่านั้น ถ้าไม่ใช่เพราะว่าตระกูลทวีศักดิ์ทินโชติคอยค้ำชูไว้ล่ะก็เขาจะกล้ามาวางอำนาจขนาดนี้เหรอ?”

เขาปฏิบัติกับเด็กนั่นอย่างอ่อนน้อมถ่อมตนแต่ธราเทพนั้นไม่แม้แต่จะไว้หน้าเขาเลย

“คุณสามีคะ…” สีหน้าของแม่สุนิสาเองก็ดูไม่ค่อยดีเช่นเดียวกัน

การมาของพวกเขาในครั้งนี้มันช่างน่าคับอกคับใจจริงๆ

คนที่เศร้าใจมากที่สุดก็ยังเป็นอภัสราภรณ์อยู่ดี หล่อนเริ่มรู้สึกไม่มีความสุขเมื่อเห็นธราเทพและณัฐณิชาพลอดรักกัน จนกระทั่งเมื่อทานข้าวเสร็จ หล่อนดูเหมือนกับสูญเสียจิตวิญญาณไปโดยปริยาย

“ภัส ลูกยังคิดถึงผู้ชายคนนั้นอีกเหรอ?หยุดคิดได้แล้ว เขาแต่งงานแล้วนะ” เมื่อแม่สุนิสาเห็นลูกสาวของตนไม่มีความสุข เธอจึงได้ถอนหายใจออกมาปลอบประโลมหล่อน

“แม่!?” อภัสราภรณ์ตะโกนออกมาอย่างไม่เต็มใจนัก จากนั้นก็เหมือนคิดอะไรบางอย่างออกพร้อมกับจับมือของแม่สุนิสาและขอร้องว่า “แม่ไม่ได้บอกหนูเหรอคะว่ารอจนถึงตอนงานจัดเลี้ยงรับรองแขกแล้วแม่จะเตรียมของบางอย่างให้กับหนู พอถึงตอนนั้น…”

ขอเพียงข้าวสารหุงเป็นข้าวสุก เรื่องราวเลยจุดที่จะเข้าไปแก้ไขไปได้แล้ว เมื่อถึงตอนนั้นพี่ธราเทพจะยังปฏิเสธได้อีกงั้นเหรอ?

“แม่คะ หนูเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าลืมเอาโทรศัพท์มือถือมาด้วย เดี๋ยวหนูขอกลับเข้าไปเอานะคะ!” อภัสราภรณ์หยุดขาของหล่อนไว้ จากนั้นหันหลังและวิ่งกลับไปที่วิลล่า

“ฮัดเช๊ย!–”

อยู่ดีๆณัฐณิชาที่นั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นก็จามออกมา เธอรีบเอื้อมไปหยิบกระดาษทิชชู่ในทันที

นี่มีคนคิดถึงเธอหรือมีใครกำลังด่าเธอกันแน่นะ?

“พี่สะใภ้ พี่เป็นถึงเจ้าของบ้านแล้วแต่จะไม่เก็บข้าวเก็บของสักหน่อยเหรอ?” เมื่อรับประทานอาหารเสร็จ สมาชิกทุกคนล้วนแต่นั่งคุยเล่นกันอยู่ที่ห้องนั่งเล่น เมื่อนภสรณ์เห็นณัฐณิชาจึงอดไม่ได้ที่จะหาเรื่อง

“…เก็บข้าวของเหรอ?” ณัฐณิชาเช็ดจมูกของเธอพร้อมกับมองไปที่นภสรณ์ด้วยความงงงวย “ที่บ้านไม่ได้มีคนรับใช้เหรอ?”

“แต่ว่าพี่เป็นพี่สะใภ้ไงคะ…”

“ตระกูลทวีศักดิ์ทินโชติแต่งสะใภ้เข้ามาเพื่อที่จะเอามาเป็นคนใช้งั้นเหรอ?” ณัฐณิชาลากเสียง‘เอ๊ะ’ออกมายาวๆพร้อมกับเอนตัวเข้ามาอย่างลับๆ “แบบนี้ทำไมพวกหล่อนถึงยังจ่ายเงินเดือนให้กับคนรับใช้อยู่ล่ะ?มีเงินมากเกินไปเหรอไงกัน?หล่อนเอาเงินเดือนของคนรับใช้มาให้ฉันสิแล้วฉันจะไปทำ”

ขณะที่ณัฐณิชากำลังพูดอยู่ก็ได้พ่นเสียงเหอะออกมาอย่างโอหัง ซึ่งนั่นได้ทำให้นายท่านผู้เฒ่าหัวเราะออกมา

ณัฐณิชากลับไม่ได้รู้สึกอะไรทั้งนั้น เท่าที่เธอรู้มาพวกลูกน้องของบริษัทก็มีเงินเดือนหนึ่งถึงสองหมื่นหยวนเลยนะ!

เธอออกไปทำงานได้เงินเดือนแค่สี่ห้าพันเอง!

คิดไปคิดมาใจก็แอบเต้นแรงเหมือนกันนะเนี่ย

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า…เด็กคนนี้เนี่ยนะ ช่างเป็นคนที่โลภในทรัพย์สินเงินทองเสียจริง” ท่านผู้เฒ่ายิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้พร้อมกับชี้ไปที่ณัฐณิชา ณัฐณิชายิ้มออกมา จากนั้นไม่นานลุงหัสดินก็ได้นำผลไม้มาเสิร์ฟหลังอาหาร ณัฐณิชารีบเลือกผลไม้ที่เหมาะกับผู้สูงอายุมาให้ท่านผู้เฒ่าทันที “…คุณปู่คะ แตงโมทั้งเย็นและหวานมาก อาจจะไม่เหมาะที่จะให้คุณปู่ทาน เดี๋ยวอีกสักพักหนูจะไปชงชาให้คุณปู่เองนะคะ”

เมื่อเห็นท่านผู้เฒ่ายิ้มอย่างโปรดปราน ณัฐณิชาก็รู้สึกสนิทกับคุณปู่มากขึ้น

อดไม่ได้ที่จะปฏิบัติกับเขาให้ดีขึ้นไปอีก

หากว่าคุณย่ายังอยู่ เกรงว่าก็คงจะมองดูตนด้วยความรักที่เต็มเปี่ยมแบบนี้อย่างแน่นอน…

ณัฐณิชาที่กินแตงโมอยู่เงียบๆ ด้วยรสชาติที่หวานเย็นบวกกับการคิดถึงคุณย่า มันทำให้ดวงตาของเธอจึงแดงขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

“โย้!เด็กนี่เป็นอะไรกัน?ทำไมอยู่ดีๆมาร้องไห้ได้ซะงั้นล่ะ?”

“ไม่ ไม่มีนะคะ” ณัฐณิชายิ้มหวาน “หนูไม่ได้ร้องไห้ แค่คิดว่าการที่มีคุณปู่อยู่ข้างๆแบบนี้มันช่างมีความสุขมากๆก็เท่านั้นเอง”

“เด็กโง่คนนี้ เธอเป็นหลานสะใภ้ของปู่ อนาคตถ้าธราเทพรังแกเธอล่ะก็มาฟ้องปู่ได้เลย จะได้เห็นดีกัน!”

“ได้เลยค่ะ ขอบคุณนะคะคุณปู่~” ดูเหมือนว่าจะติดรอยยิ้มของนายท่านผู้เฒ่ามาเสียแล้ว มันได้ทำให้ณัฐณิชารับรู้ได้ถึงความรู้สึกที่แท้จริงของคำว่าครอบครัว เธอจับมือของนายท่านผู้เฒ่าพร้อมกับพูดอย่างสุภาพ “คุณปู่คะ หนูเอาผลงานการเขียนของคุณปู่ที่ให้หนูมาเมื่อครั้งก่อนมาใส่กรอบแล้วนะคะ แม่บุญสิตาก็ชอบมากเลยค่ะ หนูขออีกสักภาพได้ไหมคะ?”

“ฮ่าฮ่าฮ่า แม่บุญสิตาพูดอย่างนั้นจริงๆเหรอ?”

“ใช่สิคะ” ดวงตาของณัฐณิชาเบิกกว้าง แม่บุญสิตาเป็นคนที่นายท่านผู้เฒ่าหามาในตอนแรก ณัฐณิชายิ้มออกมา “หนูรู้ไงคะว่าคุณปู่ชอบเขียนพู่กันจีนตอนกลางคืน หรือว่าหนูจะไม่ไปไหนและอยู่เป็นเพื่อนคุณปู่ที่นี่ดีนะ!” ณัฐณิชายิ้มอย่างซุกซน รอยยิ้มนั้นทำให้ใบหน้าที่เล็กเท่าฝ่ามือกลายเป็นดอกท้อแสนสวยที่งามสะพรั่งรวมกับริมฝีปากอันแสนหวาน ทำให้ผู้คนรู้สึกชื่นชอบเป็นอย่างมาก

นายท่านผู้เฒ่าเองก็ไม่ได้มีงานอดิเรกอย่างอื่น มีแต่อันนี้เท่านั้น

“ไม่ได้!!”

ทันใดนั้นก็มีเสียงใสๆเอาแต่ใจดังเข้ามาจากด้านนอก

สะกิดหัวใจนายขี้เก๊ก

สะกิดหัวใจนายขี้เก๊ก

Status: Ongoing
ตอนณัฐณิชา อายุ20ปี รู้อย่างกะทันหันว่าตัวเองเป็นมะเร็ง ก่อนตายแค่อยากจะปล่อยตัวบ้าง ดันเผลอไปนอนกับธราเทพประธานแกรนด์อิมพีเรียลกรุ๊ป ซะงั้น จากนี้ต่อไป ทั้งสองเข้ามาพัวพันซึ่งกันและกัน และทำให้ชีวิตของณัฐณิชามีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่……

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท