ไม่นานก่อนหน้านี้ ทุกๆคนนั้นกำลังยุ่งอยู่กับการส่งเสียงเชียร์เธอ พวกเขาตะโกนชื่อของเธอออกมาพร้อมกันกับคนที่อยู่ด้านข้างพวกเขา เสียงกรี๊ดของแต่ละคนนั้นเต็มไปด้วยความตื่นเต้น คนพวกนี้ตะโกนออกมาในขณะเดียวกันก็โบกแฟลชมือถือและแท่งไฟไปมา มันเป็นภาพการส่งเสียงเชียร์ที่สวยงามเพราะว่ามันเป็นสิ่งที่พวกเขาตั้งใจทำมันเพื่อคนๆเดียว
อย่างไรก็ตาม ทั้งภาพที่สวยงามและการเชียร์ที่มีความหมายพวกนี้ไม่นับว่าเป็นอะไรเลยนอกไปจากเสียงธรรมดาๆทั่วไป
นั้นเป็น
ทือ ดื่อ ทื่อ ดือ ดื่อ ดือ ทือ ดื๊อ ดื่อ
เพราะว่าท่วงทำนองที่ได้ดังกึกก้องไปทั่วทั้งเวทีได้ดังขึ้น
‘เสียง’ ที่เธอปล่อยออกมาได้ส่งผ่านไปถึงแต่ละคน ทำให้เสียงอื่นกลายเป็นเพียงแค่เสียงอึกทึกทั่วๆไป แถมไม่ว่าจะเป็นเสียงส้นรองเท้าของเธอที่กระแทกกับพื้น เสียงของชายเสื้อเธอที่พลิ้วไสวไปมา เสียงของเส้นผมเธอที่เสียดสีกัน และแม้แต่เสียงไอของเธอในตอนเคลียร์ลำคอก่อนที่จะเริ่มร้องเพลงก็ยังไพเราะ
คนนับหมื่นๆตกอยู่ในความเงียบในวินาทีนั้น
มีบางคนในกลุ่มคนเหล่านี้ที่เคยได้ดูการแสดงสดของเฮโลนี่จากที่ไหนสักที่มาก่อนและก็มีบางส่วนที่ไม่เคยมีโอกาสที่จะได้ทำเช่นนั้นมาก่อนเลยแต่ว่านั้นไม่ได้สำคัญเลย
เพราะว่าต่อหน้าเสียงที่ออกมาจากเฮโลนี่แล้วคนทั้งหมดทั้งมวลล้วนหยุดนิ่งราวกับตอไม้ด้วยความตกตะลึง
เมื่อเฮโลนี่เปิดปากของเธอออกมา คลื่นของเสียงที่เต็มไปด้วยความสดใสได้ออกมาพร้อมกับเสียงดนตรี
แก๊ก! เมื่อเฮโลนี่เคาะไปที่พื้นเวทีเบาๆด้วยรองเท้าของเธอ คลื่นสีชมพูได้กระจายออกไปจากจุดที่เธอเคาะกระจายออกไปโดยรอบตัวของเธอและปกคลุมเวทีทั้งหมด มันเป็นแสงที่เกิดจากการสะท้อนกันของอีเทอร์เมื่อเธอใช้ความสามารถคลื่นเสียงของเธอ แสงนี้งดงามเกินกว่าแสงที่เกิดจากสะท้อนอีเทอร์ออกไปอื่นใดในโลกนี้เสียอีกดังนั้นในตอนนี้เองมันได้กลายมาเป็นการเซ็ตฉากด้วยตัวเธอเอง
เธอไม่จำเป็นที่จะต้องใช้พร็อพอื่นใดเลย แค่เธอที่ยืนอยู่บนเวที เธอก็สามารถที่จะกลายมาเป็นทั้งคนที่เซ็ตฉาก,คนร้อง,ทำนอง และก็เป็นเครื่องขยายเสียงด้วยตัวเธอเอง ไมโครโฟนแสงสีม่วงในที่มีรูปร่างเป็นตัวโน๊ตในมือของเธอก็ไม่ใช่อะไรอื่นเลยนอกไปจากกิมมิกตกแต่งเพื่อความสวยงามเชยๆไม่ใช่ไมโครโฟนจริงๆที่ใช้ในการขยายเสียง
ทุกคนที่อยู่ในงานแทบจะหยุดลมหายใจเมื่อเฮโลนี่ได้ร้องเพลงของเธอออกมา ใครบางคนเคยพูดเอาไว้ว่า ‘ฉันนะฟังเพลงของเฮโลนี่ด้วยหัวใจไม่ใช้หู’ มันอาจจะฟังดูเหมือนว่าเป็นเรื่องตลกขำขันแต่ว่ามันเป็นเรื่องจริง
เฮโลนี่ ฮันเตอร์เกษียณอายุที่สามารถควบคุมเสียงได้ เธอเป็นยอดมนุษย์ที่สามารถจะตกแต่งบทเพลงของเธอเองด้วยพลังที่เธอมีและทำให้พวกมันไพเราะมากยิ่งขึ้น คลื่นเสียงของเธอดังกังวานออกไปจากเวที เมื่อมันกระทบกับผู้ฟังแล้วจางหายไป บางคลื่นแสงก็สร้างเสียงเดิมซ้ำๆในขณะที่สะท้อนกลับไปมา บางสียงจะกระโดดโลดเต้นไปมารอบๆเวทีราวกับว่าเป็นว่าเด็กน้อยที่ซุกซน
นั้นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเมื่อใครสักคนที่ได้ฟังเพลงของเฮโลนี่ พวกเขาจะรู้สึกราวกับว่าตนได้ฟังบทเพลงที่หลากหลายมากมายแตกต่างกันไปจากคนอื่นๆแม้ว่าพวกเขาจะฟังเพลงแค่เพลงเดียวกันก็ตาม
‘เพลงที่ฉันได้ฟังมานะต่างไปจากเพลงที่คนข้างๆกันได้ยินนะ แถมเพลงที่อีกคนที่นั่งข้างๆฉันฟังมาก็ต่างจากเพลงที่ฉันและคนเมื่อกี้ได้ฟังเช่นกัน’
เฮโลนี่ เทพธิดาแห่งเพลงป๊อป
ถ้าหากว่าเทพธิดาแห่งบทเพลงลงมาเยื่อนบนโลกมนุษย์เธอจะยังสามารถทำได้ดีกว่าเพลงของเฮโลนี่ไหมเนี่ย?
แก๊ก! เฮโลนี่เคาะไปที่เวทีด้วยเท้าของเธออีกครั้งและคลื่นเสียงอีกอันก็ได้กระจายออกไป กว่าเฮโลนี่จะรู้ตัวว่าเหล่าแฟนคลับของเธอตัวแข็งเป็นรูปปั้นไปนั้นก็สายไปเสียแล้ว แฟนคลับพวกนี้นั้นราวกับคนที่กำลังถูกครอบงำด้วยบทเพลงของเธอ
‘โอ้ ไม่นะ อ่อนลงสิ อ่อนลง’
เธอถอนคลื่นเสียงที่เธอใช้ครอบคลุมทั้งเวทีเมื่อกี้กลับมา แล้วเธอก็ได้เสร็จสิ้นส่วนไฮไลท์ของเพลงนี้
เฮ้!!!!!!
ผู้ฟังทุกคนส่งเสียงเชียร์ออกมาหลังจากนั้น แม้แต่คำพูดติดปากของเหล่าแฟนคลับที่จะตะโกนส่งเสียงเชียร์ออกมาในทุกๆครั้งที่เธอทำการแสดงอย่างเช่น ‘สวัสดี! เฮโลนี่!’ ไม่ได้ดังออกมาในวันนี้ นั้นเป็นเพราะว่าการร้องเพลงของเธอในครั้งนี้มันยอดเยี่ยมมากจนเกินไป
นี้ก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยที่จะเกิดขึ้นเนื่องจากว่าเธอเครียดมากเกินไป
‘เฮโลนี่ ฉันอยากให้เธอแสดงไปเหมือนปกติ และถ้าเป็นไปได้ฉันก็อยากให้เธอร้องให้ดีขึ้นอีกแต่ว่าฉันเองก็ไม่สามารถที่จะทำแบบนั้นได้เพราะว่าฉันเองก็ไม่ใช่นักร้อง ดังนั้นฉันคงบอกเธอได้แค่ว่าอย่าเครียดมากเกินไปหละ’
‘ม-มันจะเป็นอันตรายไหมคะ?’
‘ทุกอย่างจะโอเค หากว่ามันเป็นไปตามแผนที่วางเอาไว้ มันจะไม่มีใครสักคนที่ต้องถูกทำร้าย’
ซอดัมสามารถที่จะใช้คำอื่นที่มันดีกว่าคำว่า ‘ถูกทำร้าย’ ได้ มันมีคำมากมายที่สามารถจะใช้ได้ไม่ว่าจะเป็นเหยื่อ,ผู้บาดเจ็บ หรือแม้กระทั้งคนตาย แต่ถึงอย่างไรเหตุผลที่เขาเลือกใช้คำว่า ‘ถูกทำร้าย’ นะเป็นเพราะ…
‘…นี่ คุณใส่ใจฉันด้วยสินะคะ’
เธอมีบาดแผลมากมายและยังมีบาดแผลมากมายกว่านั้นอีกที่เธอได้ทำไว้กับคนอื่นเพราะเรื่องนั้นเองเธอเลยเป็นคนที่อ่อนไหวเป็นอย่างมากกับคำที่แตกต่างกัน เธอมีความสามารถที่จะทำร้ายคนอื่นโดยที่เธอไม่รู้ตัวเลยว่าเธอได้ทำร้ายพวกเขา
ยูซอดัมบอกเธอ ‘ฉันดีใจนะที่เธอก้าวผ่านบาดแผลเก่าๆของเธอมาได้’ แต่เขาไม่ได้รู้เลยว่า เหตุผลที่แท้จริงที่ว่าทำไมเธอถึงได้ไม่สามารถที่จะก้าวผ่านบาดแผลนั้นมาได้
♪~♬
เพราะงั้นเธอเลยร้องแบบธรรมดา
สำหรับเพื่อนๆของเธอที่ยังคงวุ่นวายอยู่ด้านหลังเวทีนั้นก็กำลังพยายามที่จะจับตัวสตอล์กเกอร์ที่ได้เพ่งเล็งเธออยู่
และก็เพื่อช่วยรักษาบาดแผลของเธอเอง
……………………………………………………..
หากชอบเรื่องนี้สามารถให้กำลังใจและสนับสนุนผู้แปลได้ทาง mynovel.co หรือ
www.amnovel.com หรือ www.thai-novel.com แค่สามช่องทางนี้เท่านั้นนะครับ
……………………………………………………..
“ฉันว่าแล้ว”
ที่ด้านหลังของเวที ไม่ใช่สิ เหนือขึ้นไป ณ จุดที่ไม่มีใครสักคนสังเกตเห็นมัน
เพดานของโถงคอนเสิร์ตแห่งนี้ได้เปิดกว้างออกในขณะที่คนทั้งหมดกำลังคลั่งไคร้ไปกับการแสดงของเฮโลนี่ เพลิดเพลินไปกันมันราวกับว่าเป็นสายลมยามฤดูใบไม้ผลิที่แสนเย็นสบาย คนบางกลุ่มยังคงยุ่งวุ่นวายกับการค้นหาตัวของเจ้าสตอล์กเกอร์นี้ แต่ถึงแม้เพดานจะเปิดออกมันก็ไม่ได้มีเสียงเล็ดลอดออกไปจากที่นี้เลยแม้แต่น้อยเรื่องนี้ต้องขอบคุณความสามารถของเฮโลนี่
– นั้นอะไรนะ?
เทเลอร์ถามยูซอดัมผ่านวิทยุ
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ฉันกำลังใช้เครื่องตรวจจับอัลตราซาวนด์ทั่วไปอยู่นะ แล้วในตอนที่เฮโลนี่แสดงความสามารถของเธอออกมาอย่างเต็มที่ ‘บาเรียกันเสียง’ นี้ก็ถูกสร้างขึ้น”
– โห! โห! จริงดิ!
“เธอไม่ได้เข้าใจที่ฉันเลยพูดใช่ไหม?”
-…ทำไมนายไม่อธิบายให้ฉันฟังแทนที่จะมาแดกดันฉันด้วย หะไอ้บ้าปืนเอ้ย
ด้วยรอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้าของเขา ยูซอดัมมองดูไปโดยรอบผ่านสโคปของเมก้าชูตเตอร์ สโคปอันนี้ความความยาวคลื่นที่พิเศษและมีฟังชันก์ตรวจจับ ‘มานา’ แทนที่จะเป็นอีเทอร์ มันเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ถูกสร้างขึ้นด้วยความช่วยเหลือของเจ้ากระถางดอกไม้
“เฮโลนี่บอกว่าไม่ว่าจะเป็นในตอนก่อนหนือหลังจากที่คอนเสิร์ตจบลงแล้ว เธอจะรู้สึกได้ถึงการจ้องมองมาซี่งรู้สึกน่าขยะแขย่งเป็นพิเศษ แต่น่าแปลกที่เธอกลับไม่รู้สึกถึงมันระหว่างที่เธอทำการแสดง นั้นน่าจะเป็นเพราะว่าพลังพิเศษของเธอในตอนที่ทำการแสดงเหนือยิ่งกว่าแม้แต่ความสามารถของเจ้าสตอล์คเกอร์คนนี้”
– หะ? ไม่ใช่ว่าปกติคนจากมูริมมักจะแข็งแกร่งเสมอไม่ใช่หรอไง?
สำหรับคนจำนวนมากแล้วชาวมูริมนั้นเป็นที่สุดเสมอ เมื่อสี่ปีก่อนในตอนที่พวกเขาได้ปรากฏตัวครั้งแรกบนโลกมนุษย์ คนพวกนี้ได้แสดงพลังอำนาจการทำลายล้างที่ทรงพลังที่แม้แต่เหล่ายอดมนุษย์ไม่สามารถที่แสดงมันออกมาได้ออกไป
อย่างไรก็ตาม ความเป็นจริงนั้นแตกต่างออกไป
ศิลปะการต่อสู้ของพวกเขาอยู่ในระดับเดียวกันกับพลังพิเศษ หากนับแค่ในเรื่องของพลังที่ปล่อยออกมาแบบเพียวๆพลังของศิลปะการต่อสู้นั้นมันอ่อนแอยิ่งกว่าพลังพิเศษมากนัก แต่การที่พวกแสดงความพลังที่เหนือล้นออกมาได้นั้นนะเป็นเพราะ ‘การควบคุม’ ที่พวกเขาได้แสดงออกมาต่างหาก
นั้นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมสตอล์กเกอร์จากมูริมคนนี้ถึงสามารถที่จะเจาะผ่านพลังพิเศษของเฮโลนี่ซึ่งเป็นพลังพิเศษที่ควบคุมได้ยากมากที่สุดบนโลกเข้ามาได้
แต่ว่า อะไรที่จะเกิดขึ้นหละหากว่าตั้งแต่ตอนที่เริ่มคอนเสิร์ตแล้วเฮโลนี่ใช้พลังของเธออย่างเต็มที่ออกไป?
ถ้าหากเป็นแบบนั้นมันก็คงจะทำให้เจ้าสตอล์กเกอร์คนนี้ไม่สามารถที่จะเจาะผ่านพลังของเฮโลนี่จากระยะไกลเข้ามาได้
“ถูกต้องแล้ว หากว่าเธอเป็นใครสักคนที่หมกมุ่นในเรื่องของเฮโลนี่แล้วหละก็ เธอจะทำอะไรกันหละเมื่อเธอพบว่าเธอไม่สามารถที่จะมองเห็นเฮโลนี่ได้?”
-…นายกำลังจะหมายความว่าได้เจ้าสตอล์กเกอร์บ้านั้นคงจะต้องเข้ามาใกล้ขึ้นใช่ไหม?
“ใช่แล้ว มาได้ตรงเวลาพอดีเลย เธออยู่ที่นี่แล้ว”
เทเลอร์ไม่ได้พูดอะไรออกไปหลังจากที่ได้ยินสิ่งที่ยูซอดัมพูดออกมา เธอไม่สามารถที่จะเห็น ‘สตอล์กเกอร์’ คนนี้ได้เพราะว่าเธอปะปนไปกับฝูงชน แต่ยูซอดัมสามารถที่จะเห็นเธอได้อย่างชัดเจน
เจ้าสตอล์กเกอร์หญิงคนนี้กำลังลอยอยู่ในอากาศ
[วายร้าย แซช็องรยอน กำลังใช้งานสกิล ‘ทัลกึมแหง (S+)’]
ยูซอดัมไม่รู้หรอกว่ามันเป็นสกิลอะไร แต่ว่ามันน่าจะเป็นบางอย่างที่คล้ายกับรูปแบบศิลปะการต่อสู้ที่ใช้คลื่นเสียงในการก้าวไปในอากาศ มันชัดเจนเลยว่าผู้ร้ายคนนี้นั้นมีความสามารถในการควบคุมคลื่นเสียงที่เหนือล้ำยิ่งกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับเฮโลนี่ เพราะว่าแม้ว่าจะเป็นตัวของเฮโลนี่เอง แนวคิดในการบินได้อย่างอิสระไปในอากาศด้วยความช่วยเหลือของคลื่นเสียงนั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลยสำหรับเธอ
ยูซอดัมเล็งเมก้าชูตเตอร์ไปยังหญิงสาวผมดำที่กำลังมองลงมาบนเวที เธอแต่งกายด้วยชุดจีนที่ดูโทรมๆซึ่งกำลังสะบัดไปมาเพราะสายลม
– ระยะห่างเท่าไหร?
“300 เมตรและเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ความแรงลมอยู่ที่ 6 ไมล์ต่อชั่วโมง”
มันเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับในตอนนี้
ยูซอดัมได้โทรไปหาอีดงจุนเรียบร้อยแล้วและเขากำลังมายังที่นี้ด้วยความเร็วที่น่าสะพรึงกลัวอยู่ และเพราะว่า ‘วิกฤต’ ได้เกิดขึ้นเพราะการบังคับ อีดงจุนคงจะมาถึงที่นี้ก่อนที่การแก้ไขของตัวเอกจะได้แสดงผล
อย่างไรก็ดี ยูซอดัมไม่ได้พอใจกับเรื่องนั้นเลย เขากำลังที่จะเติมวิกฤตอีกหนึ่งช้อนเต็มๆเข้าไปในวิกฤตที่มีอยู่แล้ว
เรื่องเดิมมันจบอย่างไรกันนะ? บางทีทุกๆคนที่อยู่ที่นี้คงจะถูกฆ่าตายหรือไม่ก็ปางตายกับแทบทุกคน บางทีแม้แต่ตัวของสตอกเกอร์เองจะคงจะกลายมาเป็นหนึ่งในผู้เสียชีวิตดูได้จากการที่บนหัวของเธอไม่ได้มีคำว่าตัวละครรองอยู่ด้วย ดังนั้นเมื่องอีดงจุนมาถึงที่นี้ในภายหลังและได้ทำการช่วยเหลือชินฮเยจี นั้นคงจะไม่มี ‘พยาน’ เหลืออยู่อีกเลยแม้แต่คนเดียว
แล้วยูซอดัมจะบังคับให้เรื่องราวแบบไหนเกิดขึ้นกันหละ?
เขากำลังวางแผนที่จะเปิดเผยตัวตนของอีดงจุนให้กับคนทั้งโลกได้รู้ มันไม่ใช่แค่เรื่องของการเปิดเผยตัวตนของเขาเท่านั้น ยูซอดัมจะต้องเตรียมเวทีเปิดตัวที่แสนตื่นตาตื่นใจไว้ให้เขาด้วย
……………………………………………………..
หากชอบเรื่องนี้สามารถให้กำลังใจและสนับสนุนผู้แปลได้ทาง mynovel.co หรือ
www.amnovel.com หรือ www.thai-novel.com แค่สามช่องทางนี้เท่านั้นนะครับ
……………………………………………………..
แซช็องรยอน
เธอคือคนที่เร่รอนไปเรื่อยๆในพื้นที่ที่แตกต่างกันมากมายเพียงเพื่อการมองหา ‘เสียง’ เสียงที่งดงามมากกว่า,สดใหม่มากกว่า,บริสุทธิ์ยิ่งกว่า,กระจ่างใส่ยิ่งกว่า และ เป็นเสียงที่สูงส่ง
ฟิ้ววว!!
สายลมอันเยือกเย็นของฤดูใบไม้ผลิภายใต้ค่ำคืนอันมืดมิดได้พัดผ่านหูของเธอไปแต่โชคไม่ดีเลยที่เธอไม่สามารถที่จะได้ยินเสียงที่เกิดขึ้นจากสายลมเช่นนั้น
มีเพียงแค่เสียงที่เกิดขึ้นจากเวทีซึ่งเป็นเสียงของเฮโลนี่เท่านั้นที่สามารถจะทำให้แซช็องรยอนมีความสุขได้
ไม่มีใครสักคนในโลกอันกว้างใหญ่นี้ ไม่แม้แต่ที่มูริมก็ตามที่สามารถที่จะทำให้เกิดเสียงเช่นนี้ขึ้นมาได้
เธอเองก็เป็นคนที่พิเศษเหมือนกัน เพราะงั้นแล้วเธอเลยกลายมาเป็นคนที่หมกมุ่นมากขึ้นเรื่อยๆ
‘ข้าไม่สามารถที่จะได้ยินเธอเลย’
เมื่อไหรก็ตามที่เฮโลนี่ได้เริ่มร้องเพลง เธอได้สร้างชั้นหนาๆขึ้นมา ม่านเสียงขนาดมหึมาที่ป้องกันไม่ให้เสียงของเธอลั่วไหลออกไป ดังนั้นทุกๆครั้งที่เธอขึ้นไปบนเวที แซช็องรยอนจะต้องเคลื่อนที่เข้าไปใกล้กับเธอมากขึ้นๆไปอีก
‘หากว่ามีเพียงแค่ข้าเท่านั้นที่สามารถจะได้ฟังเพลงของเธอหละก็’
‘ถ้าหากว่ามีแค่ข้าเท่านั้นที่มีเสียงนั้นหละก็’
‘มากขึ้นอีก มากขึ้น’
‘ใกล้ขึ้นอีก’
แซช็องรยอนได้ยืนมือออกไปหา ‘ม่าน’ ที่ถูกกางเอาไว้โดยเฮโลนี่
ความอิจฉาของเธอได้เพิ่มมากยิ่งขึ้น
‘ข้าไม่ได้ยินเธอเลย! ทำไมกัน ทำไมทุกๆคนถึงได้ยินเสียงของเธอ… ทำไมทุกๆคนถึงได้มีความสุขยกเว้นข้า’
ตึม! ตึม!
ความอิจฉาริษยาของเธอได้เริ่มที่จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆนับตั้งแต่เมื่อ 4 ปีที่แล้วในตอนที่เธอได้กลับมาที่โลก
ในวันนี้มันได้ถึงจุดระเบิดของมันแล้ว
‘ใช่แล้วหละ ข้านะเป็นเพียงแค่คนเดียวเท่านั้นที่สามาระจะฟังมันได้’
เธอสามารถที่จะได้เฮโลนี่มาครอบครองแค่เพียงคนเดียวหากว่าเธอตัดหูของทุกคนที่อยู่ในงานนี้ แล้วจากนั้นเสียงของเฮโลนี่ก็จะเป็นของเธอแค่เพียงคนเดียว
ออร่าสีแดงอันน่าขนลุกได้แพร่กระจายออกมาจากร่างกายของแซช็องรยอน มันเป็นคลื่นเสียงของเธอเอง
ด้วยสีแดงเข้มของคลื่นเสียงนี้มันเลยทำให้เสียงของเธอนั้นดูโหดร้ายและรุนแรงจนถึงขั้นที่ว่ามันดูเหมือนกับว่าเป็นเสียงที่ถูกทำขึ้นด้วยคนบ้าคลั่งที่กำลังเล่นเปียโนอยู่ เธอหยิบเอากู่ฉินออกมาและวางมันไว้บนแขนของเธอ
เมื่อนานมาแล้ว แซช็องรยอนได้เล่นเครื่องดนตรีชิ้นนี้ได้งดงามยิ่งกว่าทุกคนบนโลกใบนี้
ณ ช่วงเวลานั้น เธอได้ร้องเพลงออกมาอย่างมีความสุขพร้อมกับเครื่องดนตรีชิ้นนี้
อย่างไรก็ตามหลังจากที่ได้รับข้อห้ามจากเดอมาร์ เธอได้สูญเสียงเพลงทั้งหมดของเธอไป แม้ว่าจะได้ใช้เครื่องรางเพื่อกดข้อห้ามนั้นเอาไว้แล้วก็ตาม เธอก็ไม่สามารถที่จะตามหาเสียงเดิมของเธอเจอได้อีกต่อไปแล้ว
ดังนั้น เฮโลนี่เลยเป็นเพียงแค่ความหวังสุดท้ายของเธอ
‘ได้โปรดให้ฉันได้ร้องอีกสักครั้งเถอะ’
[วายร้าย แซช็องรยอนได้ใช้สกิล ‘สุดยอดคลื่นแสง (S+)’]
ในจังหวะที่แซช็องรยอนกำลังแพร่กระจายคลื่นเสียงสีแดงของเธอไปยังเวที
“เจ้าได้ทำลายข้อห้าม นับรบจากมูริม”
“!!!!!”
เธอได้ยินเสียงของชายคนหนึ่ง
แซช็องรยอนหันหน้าของเธอกลับไปและหัวใจของเธอก็ได้ตกลงไปที่ตาตุ่ม
ในจุดๆนั้น ห่างออกไปจากเธอไม่ไกล เดอมาร์สูงสุดได้ยืนอยู่
ชายคนที่ได้ฝังข้อห้ามลงไปยังชาวมูริมทุกคนบนโลกและบังคับให้คนทั้งหมดกลับไปยังโลกมนุษย์
เธอเคียดแค้นเขามากนัก แต่เป็นเพราะว่าพลังอำนาจที่เหนือล้ำเกินไปของเขา เธอไม่กล้าที่จะขอท้าประลองกับเขา กับชายที่ได้รับการขนานนามว่าเดอมาร์สูงสุดในโลกใบนี้ ที่ในตอนนี้เขาได้มาเพื่อตัดสินเธอแล้ว
ก้อนเมฆได้มารวมตัวกัน มันมีเพียงแค่คนๆเดียวเท่านั้นที่ยืนอยู่เบื้องหน้าของเธอ แต่เธอกลับรู้สึกราวกับว่ามีภูเขาที่สูงใหญ่รายล้อมที่นี่ทั้งหมดไว้แล้ว
♪♬~
การแสดงยังคงดำเนินต่อไป บทเพลงของเฮโลนี่กำลังหลอมละลายจิตใจของผู้คน เสียงของแซช็องรยอนก็ถูกบดบังด้วยเสียงนี้และไม่มีใครสักคนเลยที่สามารถจะได้ยินเสียงของเธอ
“ด้วยการเธอได้ฝ่าฝืนข้อห้าม เธอจะต้องตายอย่างเงียบสงบลงที่นี่”
ไม่มีใครสักคนที่รู้เลย
ว่าในมุมมืดมุดหนึ่งของเวที ที่ไม่มีใครสักคนให้ความสนใจกับมัน
‘ฉันกำลังจะตายที่นี้’
แซจ็องรยอนพยายามที่จะระเบิดเสียงหัวเราะออกไปให้กับความคิดเช่นกัน
ปัง!
เสียงของปืนได้ดังขึ้นและในเวลาเดียวกันนั้นเอง เสียงเพลงของเฮโลนี่ได้หยุดลงและม่านเสียงสีม่วงที่ได้ปกคลุมเพดานของโถงแห่งนี้เอาไว้ได้ถูกปลดออก ส่วนทำไมเพลงถึงได้หยุดในเวลาเช่นนี้นะเหรอ? มันไม่ได้สำคัญอะไร
สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือทุกๆคนที่อยู่ในงานคอนเสิร์ตนะเวลานี้ล้วนต่างให้ความสนใจไปกับสิ่งที่อยู่บนท้องฟ้า
“หะ…?”
เหล่าผู้ร่วมงานนับหมื่นๆคน รวมไปถึงตัวของเฮโลนี่เองก็ได้มองไปที่เพดานของสถานที่จัดงานในครั้งนี้ ทุกคนล้วนเห็นฉากของพลังงานสีแดงและพลังงานที่ดูราวกับว่าเป็นเมฆหมอกได้ปะทะกันอยู่!
อะไรกันนะ! แต่ก่อนหน้าที่ผู้คนทั้งหลายจะเริ่มถามคำถามเช่นนั้นออกมา
ใครบางคนก็ได้ตะโกนออกมา
“นั้นมันวายร้ายนิ! เธออยู่นั้นไง!”
แล้วใครบางคนก็ได้ตะโกนออกมาอีกครั้ง
“นั้นมันฮงยอบซานิ! เขาต้องมาฆ่าเจ้าวายร้ายนั้นแน่เลย”
“อะไรนะ? ฮงยอบซางั้นหรือ?”
“นั้นเรื่องจริงใช่ไหม?”
ในทันใดนั้นเอง สถานที่จัดงานแห่งนี้ก็ได้ระเบิดออกสู่ความสับสนวุ่นวายครั้งใหญ่ แม้แต่ตัวของเดอมาร์เองก็ตกอยู่ในความสับสนมึนงง
จะไปมีคนที่จดจำฮงยอบซาได้อย่างไรกัน? ยังไม่รวมถึงเรื่องที่ว่าเขาได้ใช้ความสามารถลึกลับเช่นเมฆนี้ทำให้หน้าตาของเขาไม่เคยที่จะเปิดเผยออกไปสู่โลกภายนอกเลย รวมไปถึงเพศและอายุของเขาด้วย
แต่มันไม่ได้เป็นเรื่องสำคัญอะไรเลย
วายร้ายได้ปรากฏตัวในสถานที่จัดคอนเสิร์ต ที่ๆมีคนเป็นหมื่นๆคนกำลังมองดูอยู่และฮงยอบซาก็ได้ปรากฎตัวขึ้นมาเพื่อฆ่าเธอ
อะไรคือฮีโร่กันหละ! สายตาเป็นหมื่นๆคู่และกล้องจำนวนมหาศาลได้เล็งไปทางท้องฟ้า กล้องที่ใช้สำหรับการถ่ายทอดสดก็ได้ถ่ายทอดหน้าของอีดงจุนไปทั่วทั้งโลก
‘……’
ในกล้องนั้น อีดงจุนกำลังมองไปที่ไหนสักที่อยู่ ไม่สิ นับตั้งที่วินาทีที่เสียงปืนได้ดังออกมา สายตาของเขาก็ได้จับจ้องไปที่คนเพียงคนเดียวมาต้องนานแล้ว
ในสายตาของเขา ชายที่ได้สร้างสถานการณ์ทั้งหมดนี้ขึ้นมากำลังมองที่มาที่เขาด้วยรอยยิ้มสบายๆประดับอยู่บนใบหน้าของตนเอง
“ยูซอดัม…”
เขาถูกแทงข้างหลังโดยที่ไม่รู้ตัวเลย