เพื่อที่จะเรียนรู้หัวใจพระสูตรอีดงจุนจะต้องละทิ้งการทำบาปทุกสิ่งอย่างที่บันทึกไว้ในหลักคำสอนและเขาก็ค่อนข้างที่จะประสบความสำเร็จในการละทิ้งบาปส่วนใหญ่ของตนเองไป
จนกระทั้ง เมื่อวานนี้ เมื่ออุบัติเหตุที่ไม่คาดฝันได้เกิดขึ้นที่งานคอนเสิร์ตของเฮโลนี่
ยูซอดัม ฮันเตอร์ระดับต่ำทั่วๆไปที่กล้าจะทำให้เขาโกรธและผลักเขาให้จนมุม แถมในตอนนี้เขาก็ยังอิจฉายูซอดัมเป็นอย่างมากอีกด้วยเพราะว่าชายคนนี้กำลังกอดเอวหญิงสาวที่เขารักด้วยแขนของตน เขาแน่ใจว่าถึงแม้ว่าเหล่านักรบจากมูริมทั้งหมดจะเป็นศัตรูกับเขา เขาก็ยังจะสามารถต่อสู้และชนะได้ด้วยความแข็งแกร่งที่ตนมี
“อ้ากกกกกกกกกก!!”
[ตัวเอก อีดงจุนใช้งานสกิล ‘สิงโตคำราม(S)’]
ต่อหน้าความโกรธเกรี้ยวของเขา หิมะรอบตัวของเขาได้ระเบิดออกมา เผยให้เห็นถึงพื้นดินที่อยู่ด้านใต้ของเทือกเขาหิมาลัยซึ่งไม่ได้เผยให้ใครเห็นมานานแล้ว
ณ ตอนนี้ ทั้งหมดที่เขาต้องการก็คืออัดหัวของยูซอดัมให้เละเป็นชิ้นๆ
เขาจะตัดลิ้นของชายคนนี้ออกมันจะได้ไม่ต้องพูดล่อลวงเขาด้วยลิ้นที่ตลบตะแลงนั้นอีก เขาจะตัดปากนั้นออกโทษทานที่มันกล้ามาแตะต้องริมฝีปากของซอลจองยอน ควักลูกตาของมันออกมาโทษทานที่กล้าจ้องมาที่เขาและฉีกกระฉากมือที่แสนสกปรกนั้นทิ้งโทษทานที่มันกล้ามาสัมผัสเอวของเธอ
อย่างไรก็ตามเขารู้ดีว่านักรบของมูริทั้งหมดที่แสดงตัวออกมาในตอนนี้คงจะไม่ปล่อยให้เขาลงมือทำแบบนั้นแน่
ฟิ้ว ตูม!!
หอกพุ่งลงมากจากท้องฟ้าและค้อนสงครามซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าแข็งที่สุดในโลกใบนี้ได้ถูกเหวี่ยงออกไปเพื่อที่จะระเบิดหัวของอีดงจุน และตามมาด้วยแส้ที่ดูงดงามมากที่สุดเท่าที่ใครก็เคยเห็นได้บิดคดเคี้ยวไปมาเหมือนงูตรงไปเพื่อหักกระดูกของอีดงจุน
3 ราชันย์ และ 6 จักรพรรดิ บวกกับปรมาจารย์อีกสามร้อยคน
พลังงานคิภายในร่างกายของพวกเขาได้ระเบิดออกมา ย้อมเทือกเขาหิมาลัยแห่งนี้ให้เต็มไปด้วยภัยพิบัติต่างๆ
ภูเขาได้ทรุดตัวลง,ท้องฟ้าถูกเจาะเป็นรู,ก้อนเมฆตกลงมาและพื้นดินยกตัวสูงขึ้น
ใครก็ตามที่ได้เห็นฉากเช่นนี้จากสถานที่ที่ไกลออกมาอาจจะบอกได้ว่านี้เป็นภาพของภัยพิบัติที่แสนสวยงาม
อย่างไรก็ตามสำหรับตัวของอีดงจุนเองแล้ว เขาไม่มีเวลาแม้แต่จะมาชื่นชมฉากเช่นนี้ สายตาของเขาจับจ้องไปยังยูซอดัมด้วยความโกรธเกรี้ยว
ถึงอย่างงั้นก็ตาม สิ่งเดียวที่เขาทำได้ในตอนนี้ก็แค่มองไปอย่างเดียวเท่านั้นแต่ไม่สามารถที่จะเข้าไปถึงตัวได้
“…มันแปลว่าทุกอย่างนี้มันผิด-!!”
อีดงจุนตะโตนออกมาและระเบิดอากาศโดยรอบออกไปแต่เขาล้มเหลวไม่สามารถที่จะฆ่านักรบจากมูริมที่อยู่รอบตัวเขาได้เลยแม้แต่คนเดียว
มันแปลกมาก เดิมทีแล้ว คนพวกนี้จะต้องตายเหมือนกับหนอนแมลงด้วยกระบวนท่าธรรมดาๆจากเขา เขาเป็นเพียงปรมาจารย์คนเดียวเท่านั้นในมูริมที่ได้เข้าสู่ของเขตของชินฮวาคยอง ทำให้ความแตกต่างระหว่างเขาและคนพวกนี้นั้นแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด
อย่างไรก็ตาม นี้มันแปลกมาก คนพวกนี้ทุกๆคนยังคงยืนอยู่กันอย่างปกติดี
– เจ้าคิดเช่นนั้นงั้นเหรอ?
‘อะไรนะ?’
[บาปแห่งห่วงอารมณ์ทั้งห้าของตัวเอกได้ยกระดับขึ้น]
[ผลลัพธ์ของสกิล ‘หัวใจพระสูตร (SSS)’ ถูกยกเลิก!]
[ห่วงอารมณ์ของตัวเอกเกิดการสั่นไหวอย่างรุนแรง!]
[ผลลัพธ์ของสกิล ‘ธรรมสูตร (SSS+)’ ได้ลดลงเป็นอย่างมาก]
[สกิล ‘การคาดการณ์ (SSS)’ ถูกบดบังโดยสายตาที่มืดบอด]
[ผลลัพธ์ของสกิล ‘ธรรมสูตร (SSS+)’ ถูกยกเลิก!]
[ผลลัพธ์ของสกิล ‘ปีกฉุกเฉิน (S)’ ถูกยกเลิก!]
[ผลลัพธ์…]
[ระดับเลเวลของตัวเอกหลังจากได้รับการยืนยันคือ : 500(-127)]
มันเป็นเพียงแค่ความเข้าใจผิดของเขาเอง คนพวกนี้ไม่ได้แข็งแกร่งขึ้นหรอก
‘…ร่างกายของฉันหนักขึ้นงั้นเหรอ?’
เขาไม่สามารถที่จะรู้สึกได้ถึงสิ่งที่เขาเคยรู้สึกได้ก่อนหน้านี้เลย
เขาไม่สามารถที่จะทำในสิ่งที่เขาเคยทำได้ก่อนหน้านี้
มันทั้งหมดเป็นเพราะว่าเขาได้สูญเสียความสงบนิ่งของตนเองไปแล้ว
มันเป็นเพราะว่าเขาไม่สามารถที่จะควบคุมบาปของตนเองไว้ได้อีกต่อไป
มันทั้งหมดเกิดขึ้นก็เพราะว่า ‘หัวใจพระสูตร’ ได้หายไปและเขาไม่สามารถที่จะควบคุมพลังของเขาในการเป็นเดอมาร์ได้อีกต่อไป
“อ้าาาา…!”
อย่างไรก็ตามแม้ว่าเขาจะรู้อย่างนั้นแล้ว เขาก็ไม่สามารถที่จะทำอะไรเพื่อเปลี่ยนแปลงมันได้อยู่ดี
เขาไม่สามารถที่จะกำจัดความอิจฉาริษยาที่ปะทุขึ้นในใจของเขาได้เช่นเดียวกันกับความอาฆาตแค้นและความพยาบาทอันเป็นมิลทินที่อยู่ในกายของเขา
หยดเลือดสีแดงเริ่มที่จะไหลออกมาจากดวงตาของเขา แล้วมันก็เริ่มที่จะไหลออกมาจากจมูกและปากของเขาด้วยเช่นกัน
– เจ้าจำเป็นที่จะต้องสงบสติอารมณ์ตัวเองเอาไว้
‘…ฉันทำไม่ได้’
– เหอะ ในท้ายที่สุดแล้วเจ้าก็หมกมุ่นกับบาปทั้งหลายโดยสมบูรณ์และทำให้ร่างกายของตัวเองปั่นป่วนเสียเอง…
[วิกฤตได้เกิดขึ้นกับตัวเอกอีดงจุน]
– ถ้างั้นแล้ว ข้าจะมอบความแข็งแกร่งสุดท้ายนี้ให้กับเจ้า
‘…ไม่ใช่ว่านายบอกฉันว่านายไม่สามารถที่จะใช้พลังของตัวเองได้ไม่ใช่หรือไงกัน?’
– ก็ตามนั้นแหละ แม้ว่ามันจะเป็นเพียงแค่พลังเล็กๆน้อยๆที่ข้ามี มันก็เป็นไปได้ที่จะช่วยเหลือเจ้าในการรักษาความสงบในจิตใจของตัวเจ้าเองเอาไว้ได้อยู่
[การแก้ไขของตัวเองถูกเรียกใช้]
[ระดับเลเวลของตัวเอกหลังจากได้รับการยืนยันคือ : 500(-48)]
ตุม!!
พลังงานคิภายในที่พุ่งทะยานขึ้นได้ระเบิดออกมาโดยมีจุดศูนย์กลางอยู่ที่อีดงจุน
มันเป็นพลังอำนาจที่ดูเหมือนว่าจะคล้ายคลึงกับก้อนเมฆ ภูเขาที่เขียวชอุ่ม และสายน้ำไหลที่แสนบริสุทธิ์ เป็นทั้งสามอย่างนี้ในเวลาเดียวกัน
“อึก…!”
“เอื้อก เกิดอะไรขึ้นกัน…?”
“กรอก!”
เหล่านักรบจากมูริมทั้งหมดถูกบังคับให้ต้องก้าวถอยหลังกลับไปเพราะว่าพวกเขาไม่สามารถที่จะต้านทานพลังอำนาจอันมหาศาลของอีดงจุนได้
มันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเรียกคืนพลังอำนาจเดิมของตนเองกลับคืนมาโดยสมบูรณ์ แต่ว่าด้วยพลังของเขาในตอนนี้แล้ว มันก็พอแล้วที่จะจัดการกับนักรบทั้งหลายจากมูริมที่มารวมตัวกันที่นี่
ในตอนนี้สายตาของเขาที่เคยเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยาและความเกรี้ยวกราดจนถึงเมื่อตะกี้นี้ได้จางหายไป อีดงจุนเงยหน้าของเขาขึ้นมาและมองไปรอบด้านด้วยออร่าที่ข่มแหง
เหล่านักรบทั้งหลายจากมูริมต่างพากันสั่นสะทานจากการโดนจับจ้องอันเย็นยะเยือกที่มุ่งตรงมาที่ตนเอง มันเหมือนกับว่าเดอมาร์กำลังมองมาที่พวกเขาราวกับว่าพวกเขาเป็นเพียงแค่แมลงตัวหนึ่งที่ตนเองสามารถจะบดขยี้ลงได้ทุกเวลา
มันราวกับว่าตัวตนของเขาเองได้กลายมาเป็นกำแพงขนาดมหึมาที่สูงจนสามารถบดบังโลกทั้งใบได้! ไม่มีใครสักคนที่สามารถจะก้าวออกไปข้างหน้าได้เลยหลังจากที่ได้รู้สึกถึงแรงกดดันเช่นนั้น
เป็นจุดสุดยอดที่สูงที่สุดแล้วภายใต้สวรรค์แห่งนี้! ใครในโลกนี้กันที่จะสามารถไปเทียบเคียงกับชายคนนี้ ไปเทียบเพียงกับเดอมาร์สูงสุดได้?
ทุกๆคนที่อยู่ที่นี่ได้แต่รู้สึกสั่นเท่าอย่างช่วยไม่ได้ภายใต้แรงกดดันเช่นนี้ มันเป็นแรงกดดันที่มีพลังอำนาจเหนือล้ำเกินไปจนแม้แต่นักรบจากมูริมที่ไม่รู้จักคำว่า ‘ยอมแพ้’ ในพจนานุกรมของพวกเขาเองและได้แสดงตัวออกมาในครั้งนี้เพื่อที่จะสู้กับเดอมาร์จนตายกับไปข้างหนึ่งยังมิอาจต้านทานได้
กอมฮี ฮาซุนยังรับรู้ได้เลยว่าในตอนนี้มันคือ ‘ช่วงเวลานั้น’
‘ต้องเป็นตอนนั้นจริงๆงั้นเหรอ?’
เธอจำได้เลยถึงสิ่งที่เธอได้พูดกับยูซอดัมก่อนหน้านี้
‘ฮาซุนยัง ฉันคิดว่าพลังอำนาจของเดอมาร์ในตอนนั้นคงจะไม่แข็งแกร่งเท่าแต่ก่อนแล้ว เขาต้องอ่อนแอ่ลงอย่างแน่นอน บางทีเขาอาจจะตกลงไปอยู่ในระดับที่เหล่านักรบทั้งหลายจากมูริมสามารถที่จะจัดการได้’
‘ฉันไม่รู้หรอกนะว่านายใช้วิธีอะไรกันแต่ว่า…นันก็นับเป็นข่าวดีนิ’
‘แต่ว่า…’
ยูซอดัมพูดออกมาอีกครั้งหนึ่ง
‘ถ้าหากมันถึงจุดนั้นแล้วอยู่ๆ เดอมาร์ก็ได้เรียกคืนพลังของตัวเองกลับมาหรืออยู่ๆดีเขาก็กลายมาเป็นคนที่ฉลาดมากขึ้น หรือว่าเขาได้พลังที่มีอำนาจเหนือไปกว่าพลังเดิมของเองแล้วหละก็’
‘เดวก่อนนะมันเป็นไปได้ด้วยหรือไง? นายไม่ได้กำลังจะบอกว่าเขาจะรู้แจ้งในระหว่างที่ต่อสู้ใช่ไหม? เรื่องพวกนั้นมันเกิดขึ้นได้แค่ในนิยายเท่านั้นนะ’
‘เธอพูดถูกแล้ว พล็อตเรื่องแบบนั้นแหละที่ทำให้เป็นปัญหา’
‘…..?’
เธอไม่สามารถที่จะเข้าใจคำพูดของยูซอดัมได้เลย เธอได้แต่ฟังวิธีการแก้ปัญหาของเขาต่อไปเท่านั้น
‘อย่างแรกเลย เมื่อไหรที่เดอมาร์เรียกคืนความแข็งแกร่งของตนเองกลับคืนมาได้แล้ว พูดกับเขาและพูดในสิ่งที่ฉันกำลังจะบอกกับเธอต่อจากนี้…’
‘นายแน่ใจนะ? ว่าแค่คำพูดพวกนี้มันจะได้ผลกับเดอมาร์ที่ถูกความโกรธบังตาอยู่ได้จริงๆนะเหรอ?’
‘มันเป็นพล็อตซ้ำๆกันที่เจอได้บ่อยๆในนิยายกำลังภายในทั่วไปนะ ‘คนแบบเดียวกับอีดงจุน’ นะจะต้องชอบคุยกับบอสใหญ่ระหว่างการต่อสู้ทั้งๆที่พวกเขายังสู้กันอยู่อย่างแน่นอน’
‘อย่างงั้นเหรอ…?’
เธอยังคงคาดเดาไม่ได้อยู่ดีว่ายูซอดัมกำลังพูดถึงเรื่องอะไรอยู่กันแน่
แต่มีเพียงแค่สิ่งที่เดียวที่สำคัญเท่านั้น
คือสิ่งที่ยูซอดัมเคยได้พูดเอาไว้มันเกิดขึ้นจริงๆ อยู่ๆดีเดอมาร์สูงสุดก็เรียกคืนพลังดังเดิมของตนเองคืนมา ดังนั้นช่วงเวลานี้แหละถูกต้องแล้ว
“ฟังฉันก่อน! ฟังฉันเดอมาร์สูงสุด!”
สายตาของเหล่านักรบจากมูริได้หันไปทางน้ำเสียงที่แหลมสูงของฮาซุนยังทันที ซึ่งดูเหมือนว่ามันจะดังกังวาลไปทั่วทั้งเทือกเขาแห่งนี้เลย
เดอมาร์เองก็หันไปมองเช่นเดียวกัน เขาควบคุมความแข็งแกร่งของตนเองและยิ้มออกมาอย่างสบายๆในขณะที่มองไปที่ฮาซุนยัง
“นายคงยังคิดว่าตัวของนายเองเป็นความยุติธรรมอยู่สินะ? นายยังไม่รู้สึกอีกหรือไงกันแม้ว่าหลังจากที่จะได้เห็นผู้คนจากมูริมมากมายที่ถูกล่าไปด้วยความยุติธรรมของนายเองและได้แต่ร่ำร้องออกมาอย่างไงมีทางเลือกนะ”
คำพูดพวกนี้มันไม่เหมาะกับฮาซุนยังเลยแต่ว่าในอีกด้านหนึ่งมันเป็นคำพูดที่เหมาะสมกับกอมฮี ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้เรียนรู้ว่าจะต้องเล่นเป็นสิงโตยังไง แต่เสียงของเธอก็มีเสน่ห์เป็นอย่างมาก
อย่างไรก็ตามในท้ายที่สุด เสน่ห์เช่นนั้นไม่อาจนับได้ว่าเป็นอะไรเลยต่อหน้าของตัวเอก
‘หลังจากนี้เดอมาร์ก็คงจะพยายามที่จะพิสูจน์ความยุติธรรมของตัวเองผ่านหลักเหตุผลของตนเองเป็นแน่’
เพราะว่านั้นคือวิถีทางที่ตัวเอกเป็น
ทั้งหมดที่เขาจำเป็นที่จะต้องทำคือยอมรับมัน
อย่างไรก็ตาม มันมีสิ่งหนึ่งที่ยูซอดัมไม่ได้คาดเอาไว้ กับความจริงที่ว่าอีดงจุนจะเป็นคนที่หน้าด้านหน้าทนกับหลักการของตัวเองจนเขาคาดไม่คิดเลย
หลังจากที่ได้ผ่อนคลายความตื่นเต้นของตัวเองลงอย่างช้าๆ อีดงจุนได้เปิดปากของตัวเองขึ้น
“เธอไม่ได้เข้าใจอะไรเลย!”
เดอมาร์สูงสุดเปิดปากของตัวเองอีกครั้ง
“มันเป็นเพราะว่าความยุติธรรมของฉันเองไง โลกถึงได้กลายมาเป็นสิ่งที่ดีกว่าอย่างทุกวันนี้! ใช่แล้วฉันต้องขอโทษด้วยสำหรับบาดแผลเล็กๆน้อยๆเหล่านั้นและได้ฉีกกระฉากผู้คนมากมายเป็นชิ้นๆในระหว่างกระบวนการเช่นนั้น แต่ว่าฉันไม่ได้ตั้งใจที่จะละทิ้งควาทยุติธรรมของตัวเองไปหรอกนะและฉันก็ไม่เสียใจไปกับสิ่งที่ฉันได้ทำลงไปด้วย ความยุติธรรมของฉันนะยังไงในท้ายที่สุดแล้วก็ยังเป็นสิ่งที่ถูกต้องอยู่ดี และพวกเธอทั้งหมดก็สามารถที่จะอยู่ในโลกที่ดีกว่าเพราะมันไม่ใช่หรือไงกัน?”
“…โลกแบบไหนกันหละที่เป็นโลกที่ดีกว่าที่นายพูดถึงกัน?”
“ก็ต้องเป็นโลกที่เหล่าคนบาปทั้งหมดถูกพิพากษาไง”
ในน้ำเสียงที่สงบนิ่งนั้น เขาพูดออกมาในขณะที่มองตรงไปทางเหล่านักรบทั้งหลายจากมูริมและเป็นเหยื่อที่เกิดจาก ‘ความยุติธรรม’ ของตัวเขาเองในเวลาเดียวกัน
“ฉันได้ฉีกแขนขาและควักลูกตาของเด็กที่ได้ขโมยของ! ก็เพื่อที่จะทำให้แน่ใจได้ว่าบาปนั้นจะไม่เกิดขึ้นอีกครั้ง”
ดวงตาของชาวมูริมทั้งหมดแดงก่ำขึ้นมาเมื่อได้ยินคำพูดพวกนั้น
“ฉันฆ่าแม่ที่ให้กำเนิดฆาตกร! เพราะว่าลูกคนที่สองของเขาก็คงจะทำบาปแบบเดียวกัน”
คนบางคนสะอื้นไห้กับคำพูดนั้น
“ฉันฆ่าเจ้าหน้าที่ฉ้อโกงทั้งหมดที่เป็นเหตุในเกิดความอดอยาก ฉันฆ่าราชาและเหล่าขุนนางที่ได้ก่อให้เกิดสงคราม ฉันค้นหาและประหารเหล่าคนบาปทั้งหมดที่ยังคงมีชีวิตอยู่หลังจากที่ได้ทำบาปลงไปแล้ว! ฉันไม่เลือกปฏิบัติไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ฉันแยกคนเป็นไว้แค่สองประเภทเท่านั้นระหว่างคนบาปกับเหล่าผู้คนที่ไม่ได้ทำ”
การแสดงออกของอีดงจุนกลับไปสู่ความสงบนิ่งมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ
“นับตั้งแต่ที่บาปมีจุดกำเนิดมาจากผู้คนถ้าหากว่าไม่มีใครทำมัน บาปก็จะหายไปในทันที ฉันเดินทางไปทั่วทั้ง จุนวอน ก็เพื่อที่จะกำจัด ‘บาป’ เหล่านั้นและโลกก็จะกลายมาเป็นที่ๆใสสะอาดยิ่งกว่าที่เคย เธอเข้าใจมันแล้วหรือยัง! นี้คือโลกที่ฉันมองเห็น โลกที่กว้างใหญ่และใสสะอาดอย่างไม่มีที่สิ้นสุดไงหละ”
เพื่อเหตุผลนั้นเอง เดอมาร์ได้เงยหน้าของตัวเองและจ้องมองไปยังยูซอดัม เขาเล็งดาบของตนเองไปยังยูซอดัมและพยายามที่จะพูดในสิ่งที่ตนเองกำลังพูดอยู่ให้จบ
“ยูซอดัม แกนะจะต้องถูกประ…หาร…-”
แต่ว่า
เดอมาร์สูงสุดไม่สามารถที่จะพูดในสิ่งที่เขาต้องการให้จบลงได้
มองลอดผ่านเข้าไปทางประตูเก่าๆของกระท่อมซึ่งยูซอดัมและซอลจองยอนได้เดินออกมานั้นเอง เขาได้เห็นใบหน้าที่ตนเองสุดแสนจะคุ้นเคยอีกครั้ง
“…ชินฮเย-จี?”
“พ่อ…….”
เธอมองไปที่อีดงจุนด้วยดวงตาที่สั่นเทา ความสับสนงุนงงแสดงออกมาผ่านทั้งใบหน้าทั้งหมดของเธออย่างชัดเจน แต่ผิวหนังที่เย็นยะเยือกของเธอก็เป็นสิ่งที่คอยย้ำเตือนเธอเองว่าไม่ได้กำลังฝันอยู่ในตอนนี้ แต่ว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้มันเป็นเรื่องจริง
‘เพราะงั้นนี้เป็นความหมายของคำว่า ‘ช่วงเวลานั้น’ สินะ’
เมื่อวานนี้ ยูซอดัมได้พูดคำพูดบางอย่างออกมาในตอนที่เขาได้เจอกับชินฮเยจีและฮาซุนยัง
‘นับจากตอนนั้น เธอจะได้รู้ความจริงเกี่ยวกับพ่อของเธอเอง ถ้าหากว่าเธอไม่อยากที่จะทำมัน พวกเราก็จะไม่พูดอะไรให้เธอฟังอีกต่อไปแต่ถ้าหากว่าเธออยากที่จะทำมันแล้วหละก็ เมื่อเธอได้รู้ทุกสิ่งทุกอย่างไปแล้วเธอจะเจ็บปวดใจจนแทบจะทนไม่ไหวเลยนะ’
เขาได้เตือนชินฮเยจีไว้อย่างชัดเจน และถ้าหากว่าเธอปฏิเสธมัน ยูซอดัมก็จะใช้วิธีการที่ต่างออกไปเพื่อทำลายตัวเอกคนนี้ ทำลายเดอมาร์สูงสุด มันไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องไปทำร้ายใครบางคนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรในการต่อสู้ครั้งนี้เลย
อย่างไรก็ตามเธอได้ตัดสินใจที่ยอมรับมัน
‘ไม่ค่ะ ฉันต้องการที่เห็นทุกสิ่งทุกอย่างด้วยตาของฉันเอง’
นั้นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ในตอนนี้
ด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทา ชินฮเยจีแทบจะไม่อาจถามคำถามที่เธอต้องการกับอีดงจุนออกมาได้เลย
“คำพูดของพ่อเมื่อกี้นี้เป็นความจริงอย่างนั้นหรือคะ…?”
เธอได้ยินเรื่องราวในอดีตของ ‘เดอมาร์สูงสุด’ มาจากฮาซุนยังและแดเนียลมาเรียบร้อยแล้ว เรื่องราวของเหยื่อที่ตายลงไปในการกวาดล้างที่เขาได้ทำลงไปเพื่อสนองให้กับความยุติธรรมของตัวเขาเอง อย่างไรก็ดี เธอเป็นลูกสาวของอีดงจุน เธอไม่ได้ถูกโน้มน้าวไปเลยสักนิดเดวว่าชายคนที่อยู่ในเรื่องเล่านะเป็นพ่อของเธอจริงๆ สุดท้ายแล้วเธอก็คิดว่าคนที่ทำสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนั้นนะไม่มีทางเป็นพ่อของเธอไปได้หรอก
เขาอาจจะเป็นคนที่แสดงอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองออกมาได้แย่มากแต่ว่าเขาอบอุ่นยิ่งกว่าใครก็ตามเสียอีกและเขาก็เป็นพ่อที่คอยเป็นห่วงเป็นใยเธออยู่เสมอ
เมื่อก่อน ในตอนที่เธอมีความฝันที่ไม่มีทางเป็นไปได้ ความฝันของเธอก็คือการกลายเป็นฮันเตอร์ในขณะที่มีอัตราการแปลงอีเทอร์เข้าสู่ร่างกายที่ 1% ชินฮเยจีที่มีความสามารถแย่ถึงที่สุดไม่มีทางที่เธอจะเป็นฮันเตอร์ได้เลยและถูกบอกให้ยอมแพ้ต่อความฝันของนั้นมาทั้งชีวิตของเธอเอง
แม้จะเป็นแบบนั้น เธอก็ไม่เคยเลือกที่จะยอมแพ้
เธอยืนอยู่ต่อหน้าต่อตาฉากที่พ่อแม่ของเธอถูกกินด้วยเอเลี่ยนด้วยเจ้ามอนสเตอร์นั้น นั้นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเธอถึงได้จงเกลียดจงชังมอนสเตอร์มากนักและในเวลาเดียวกันด้วยความเชื่อมั่นในการช่วยเหลือเหล่าผู้คนที่อ่อนแอ เธอยังคงพยายามต่อไป
แล้วเธอก็ได้เจอกับอีดงจุน
พวกเขาไม่ได้มีสายเลือดเดียวกันแต่ชายคนนี้ ในท้ายที่สุดเขาก็ได้กลายมาเป็นพ่อของเธอแม้ว่าจะพ่วงไว้ด้วยความต้องการที่ไร้เหตุผลของเธอก็ตาม
เขาคอยช่วยเหลือเธอ ช่วยให้เธอเอื้อมไปถึงความฝันของเธอเอง มันไม่ได้ผ่านการใช้พลังพิเศษแต่เป็นควาสามารถลึกลับที่เรียกกับว่าศิลปะการต่อสู้
‘ด้วยพลังนี้ ลูกไม่จำเป็นที่จะต้องปล่อยมือของตัวเองและทำได้แต่ยืนมองคนที่อ่อนแอตายลงไปต่อหน้าต่อตาของลูกอีกต่อไปแล้ว’
เธอได้ฝึกฝนอย่างหนักในทุกๆวัน มันไม่ได้เป็นเพราะว่าเธอหมกมุ่นกับความยุติธรรมโง่ๆของเธอเอง เธอรู้ เธอรู้ดีเลยว่าเธอไม่สามารถที่จะช่วยเหลือทุกคนบนโลกใบนี้ได้ แต่ว่าหากว่าเธอสามารถที่จะช่วยเด็กน้อยและคนแก่ที่อยู่ต่อหน้าเธอได้หละก็นั้นก็เพียงพอแล้ว
แต่ว่า
พลังที่เธอได้รับสืบทอดมานั้นจริงๆแล้วก็ถูกใช้ในการสังหารผู้คนที่อ่อนแอไม่ใช่ช่วยเหลือพวกเขาเลยสักนิด
“พ่อค่ะ หนูนะยังเชื่อพ่อจนถึงท้ายที่สุดนะ แต่ว่า…”
“ใจเย็นก่อนชินฮเยจี! พ่อสามารถที่จะอธิบายทุกสิ่งทุกอย่างได้”
“หนูไม่ชอบมันอีกต่อไปแล้ว ตัวหนูในตอนนี้…”
เมื่อชินฮเยจีก้าวถอยหลังออกไป อีดงจุนรู้สึกหงุดหงิดใจ มือที่เอื้อมออกไปของเขากลับยิ่งทำให้ชินฮเยจีหวาดกลัวมายิ่งขึ้นเท่านั้นเอง เธอซ่อนตัวเองอยู่ที่หลังของยูซอดัมด้วยความหวาดกลัว
มองเป็นภาพนั้นแล้ว อีดงจุนแทบจะทรุดลงไปกับพื้น
‘ทำไม?’
ทำไม?
เขามองไปรอบๆ
นับรบทั้งหลายจากมูริม 3 ราชันย์ และ 6 จักรพรรดิเช่นเดียวกันกับกอมฮี นอกไปจากนั้นแล้ว หญิงสาวที่เขารักซอลจองยอนและหนึ่งเดียวของเขา ลูกสาวที่แสนล้ำค่าเพียงคนเดียวของของ ชินฮเยจี
‘ทำไมกัน ทำไม ทำไมทุกคนถึงได้ไปยืนอยู่ข้างเจ้านั้น?’
เขาไม่อาจที่จะเข้าใจได้เลย
เขาได้ใช้ชีวิตครึ่งหนึ่งของตัวเองในการทำตามความยุติธรรมในใจของเขา แต่ว่าทำไมคนทั้งหมดนี้ถึงได้ไปยืนอยู่ข้างคนที่ทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองจากคนพวกนี้เท่านั้นเองกันได้หละ?
“ไม่”
มันโอเค แม้ว่าทุกๆคนในโลกใบนี้เลือกที่จะปฏิเสธเขา…
“ชินฮเยจี ลูกต้องเชื่อพ่อนะ ลูก ลูกเข้าใจความยุติธรรมของพ่อใช่ไหม? เหมือนกับที่พ่อรู้สึกกับลูกไง ลูกก็รู้ใช่ไหมว่าพ่อนะดีที่สุดแล้ว…ใช่ไหม?”
“พ่อค่ะ…”
ชินฮเยจีเปิดปากของเธอ อีดงจุนมองไปที่เธออย่างสิ้นหวัง พยายามที่จะเหนี่ยวรั้งความหวังสุดท้ายของตัวเองเอาไว้
“นั้นไม่ใช่ความยุติธรรมค่ะ…หนูว่ามันเหมือนกับมอนสเตอร์ที่ดำรงอยู่ด้วยความเชื่อมากกว่าคะ…?”
เหตุผลสำหรับการมีชีวิตอยู่ของเขาถูกปฏิเสธด้วยใครบางคนที่ล้ำค่ามากที่สุดสำหรับตัวเขาเอง…
[สกิล ‘หัวใจพระสูตร (SSS)’ ได้หายไปอย่างสมบูรณ์เนื่องจากอารมณ์ด้านลบ]
[ระดับเลเวลของตัวเอกหลังจากได้รับการยืนยันคือ : 500(-150)]
เขารู้ตัวแล้วความแข็งแกร่งของเขาอ่อนแอลงไป เหล่าปรมาจารย์ทั้งหลายได้พุ่งเข้ามาจากทั่วทุกทิศทางแต่ว่าอีดงจุนไม่แม้แต่จะขัดขืนอะไรเลย
ไม่สิ ถ้าจะบอกให้แม่นยำกว่านั้น เขาไม่สามารถที่จะขัดขืนอะไรได้เลยต่างหาก