เยคาเทริน่า แม่มดที่เคยเป็นผู้พยากรณ์เพียงหนึ่งเดียวบนโลกใบนี้ เธอเคยใช้ชีวิตอยู่ด้วยการทำตัวให้เหมือนกับแม่มดคนอื่น ทำให้เธอจำเป็นต้องกักเก็บความรู้สึกของตัวเธอเองไว้ มันค่อนข้างที่จะเป็นชีวิตที่ไร้ซึ่งเรียวแรง เหล่าแม่มดคนอื่นที่สูญเสียความรู้สึกของตนเองและใช้หลักตรรกะของตนเองในการตัดสินใจในทุกๆเรื่องก็มองว่าเธอเป็นพวกแปลกแยก
อย่างไรก็ตาม ตัวของเยคาเทริน่ามีประโยชน์มากเกินไปจนไม่อาจที่จะปล่อยทิ้งไปได้ ดังนั้นเหล่าแม่มดทั้งหมดจึงได้ตัดสินใจที่จะทำบางสิ่งบางอย่างกับเยคาเทริน่า
มันคือการพันธนาการ
เธอได้สูญเสียอิสรภาพของเธอ มากไปกว่านั้นในการแลกเปลี่ยนกับความสามารถในการพยากรณ์ของเธอ เธอได้สูญเสียการมองเห็น,เวทมนตร์ และเป้าหมายในการมีชีวิตของเธอ เสียงเพลง
แล้วในตอนนั้น ตอนที่เธอได้ตัดสินใจที่จะโยนความสามารถในการพยากรณ์ของเธอทิ้งไป เธอได้รับเวทมนตร์และเสียงเพลงของตัวเธอเองกลับคืนมา แม้ว่าดวงตาของเธออาจจะยังไม่สามารถกลับมามองเห็นได้เหมือนแต่ก่อนในตอนนี้ แต่เธอเคยได้พูดเอาไว้ ว่าด้วยความช่วยเหลือของเวทมนตร์ เธอสามารถที่จะอ่านได้ทุกอย่างตราบเท่าที่ปลายนิ้วเธอไปถึง
“เธออยากจะออกจากกิลด์โมเรียนแล้วมาที่กิลด์ฉันเนี่ยนะ?”
“ใช่ ฉันเสียความสามารถในการพยากรณ์ไปแล้ว และคนพวกนี้ก็ไม่เคยที่จะปฏิบัติกับฉันราวกับว่าฉันเป็นมนุษย์อยู่แล้ว มากไปกว่านั้น ตัวตนของฉันก็ยังไม่มีใครบนโลกนี้ที่รับรู้แถมในอีกไม่กี่เดือนต่อจากนี้ความสามารถในการพยากรณ์ก็จะหายไปซึ่งมันจะทำให้ฉันตายในที่ที่แม้แต่ตัวฉันเองก็ไม่อาจที่จะรู้จัก”
เยคาเทริน่าตอบกลับคำพูดของซอดัมในขณะที่เธอพลิกผ่านหนังสือเวทมนตร์ที่อยู่ในมือของเธอ
“กิลด์ของฉันไม่มีปัญญาจัดหาคฤหาสน์และก็เปียโนหลังโตๆให้เธอหรอกนะ อาหารที่นี้ก็แย่โครตๆ มันเป็นเรื่องยากหรับเธอเธอนะที่จะปรับตัวในเข้ากับที่เกาหลี”
“มันโอเค”
เธอหัวเราะเบาๆ
ใช่แล้ว มันโอเค
แทนที่จะได้สเต็กที่มีราคาเป็นแสนดอนล่าในแต่ละมื้อ มันก็ยังโอเคสำหรับเธอแม้ว่าจะต้องกินอาหารกระป๋องก็ตาม
แทนที่จะได้นอนที่นอนหรูหราที่มีราคาเป็นหมื่นๆดอลล่า เธอสามารถที่จะหลับบนลังกระดาษแทนได้
แทนที่จะมีคฤหาสน์ที่งดงามและราคาแพง มันโอเคสำหรับเธอที่จะอยู่ในห้องเล็กๆห้องหนึ่ง
ถ้าหากว่ามันมันแลกกับการที่เธอจะได้รับอิสระภาพ,ไม่ถูกควบคุม และได้ใช้ชีวิตอย่างที่เธอต้องการแล้วหละก็
มันก็มากพอแล้วแม้จะต้องอยู่ในกระท่อมที่เธอสามารถจะมีอิสระได้แม้ว่าจะไม่มีเปียโนหลังใหญ่ก็ตาม
ถ้าหากว่าใครก็ตามสามารถที่จะพาเธอออกไปจากที่นี่ได้หละก็ เธอมั่นใจได้เลยว่าเธอสามารถทำได้แม้แต่จะขายวิญญาณให้กับปีศาจเลย
แถมว่าไปแล้ว
‘ฉันเองก็ขายวิญญาณของตัวเองให้กับปีศาจในเรียบร้อยแล้วใช่ไหมนะ?’
เยคาเทริน่าหัวเราะออกมาอย่างมีความสุขในขณะที่เธอมองไปยังชายตรงหน้า คนที่กำลังยุ่งอยู่กับการมองมาที่เธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสับสนต่อหน้าของเธอ
“ฉันไม่ได้ต้องการสิ่งของพวกนั้น สิ่งที่ฉันต้องการก็แค่อิสระ อิสระที่จะเลือกว่าจะนอนที่ไหนด้วยตัวของฉันเอง พึ่งพาตัวเองเพื่อที่จะมีชีวิตอยู่และสามารถที่จะพูด,ร้อง หรือ ทำอะไรก็ได้ที่ฉันอยากจะทำ”
ในท้ายที่สุด คำพูดของเธอก็โน้มน้าวใจของยูซอดัมได้
แต่หลังจากที่พูดจบลง เธอก็เจอเข้ากับปัญหาแบบจังๆ
“ฉันไม่สามารถที่จะพาเธอออกมาจากโมเรียนมาที่กิลด์ของฉันได้หรอกนะ พันธมิตรมูริมและอนาเตอร์กิลด์นะเป็นเพียงแค่กิลด์เล็กๆเท่านั้นเองเมื่อเทียบกับกิลด์ที่มีชื่อเสียงระดับโลกอย่างกิลด์โมเรียน”
“มันโอเคน่า”
โมเรียน หนึ่งในท็อป 10 ของกิลด์ระดับโลก แถมเมื่อเร็วๆมานี้ เขาได้ยินมาด้วยว่ากิลด์โมเรียนได้ร่วมมือกับลอสเดย์ในโปรเจคขนาดยักษ์บางอันอยู่ สำหรับกิลด์ท็อป 10 ระดับโลกเช่นนี้ ยูซอดัมจะไปต่อกรกับอีกฝ่ายได้ยังไงกันหากว่าพวกเขาพูดบางอย่างเกี่ยวกับ ‘คำพยากรณ์’ ขึ้นมาหละ?
ถึงแม้ว่าเขาจะมีซอลจองยอนแรงค์ SSS หนุนหลัง แต่หากว่าเขาไปยุ่งวุ่นวายกับคนพวกนี้แล้วหละก็ ขอบเขตในการปฏิบัติงานและการเติบโตในอนาคตของกิลด์เขาก็คงจะต้องหยุดชะงักหรือไม่ก็ถูกปิดกันโดยสมบูรณ์เป็นแน่ถ้าหากว่ากิลด์ยักษ์ใหญ่พวกนั้นตัดสินใจที่จะเข้ามาวุ่นวายในเรื่องนี้
‘มากไปกว่านั้น กิลด์โมเรียนยังเป็นสถานที่ซึ่งเหล่าแม่มดที่ใช้เวทมนตร์ได้มารวมกัน ซึ่งจำนวนของแม่มดเหล่านั้นมีอย่างน้อยๆก็หลายร้อย…’
ความรู้สึกของความไร้กำลังหล่นทับลงมาที่ตัวเขา
“ฉัน…ฉันไม่สามารถที่จะช่วยอะไรเธอได้เลยจริงๆ”
มันก็สักพักแล้วที่เขาไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองไร้กำลังขนาดนี้
เยคาเทริน่าเอียงหัวของเธอราวกับว่าเธอไม่เข้าใจในสิ่งที่เขากำลังพูดออกมา
“นายทำเพื่อฉันมามากพอแล้ว”
“หืม? ฉันทำอะไรให้เธอ?”
“นายพังทลายความสามารถในการพยากรณ์ที่ราวกับว่าเป็นคำสาปบ้าๆนั้นไปจากฉัน มอบความรู้ในเรื่องเวทมนตร์ให้ฉันค้นคว้าได้อย่างไม่รู้จบ และแม้แต่มอบสถานที่ให้ฉันอยู่แบบฟรีๆ พูดตามตรงแล้ว สิ่งที่นายได้ทำลงไปสำหรับฉันแล้วมันมากเกินไปด้วยซ้ำ”
“ไม่นะ นั้นมัน…”
“เรื่องถัดจากนี้ไป ฉันจะลงมือทำด้วยตัวเอง ฉันจะลุกขึ้นยืนและเดินออกจากกิลด์โมเรียนด้วยเท้าทั้งสองข้างของตัวฉันเอง ฉันไม่อยากหรือจำเป็นที่จะต้องไปรับความช่วยเหลือไปมากกว่านี้อีกแล้ว”
กับดวงตาที่โปร่งใส่ของเธอ เธอมองตรงมาที่ซอดัมและพูดมันออกมา
“…เยี่ยม โอเค ฉันต้อนรับเธอแน่ๆแหละหากว่าเธออยากที่จะมาเข้ากิลด์ของฉัน แต่ว่าก็อย่างที่ฉันได้พูดไปก่อนหน้านี้ เธออยากที่จะทำงานจนเหนื่อยรากเลือดให้กับกิลด์ของฉันจริงๆนะเหรอ? เพื่ออิสรภาพ? บางทีมันอาจจะไม่มีสิ่งแบบนั้นอยู่ก็ได้นะ?”
“ฮ่าฮ่า มันโอเคน่า มันก็ยังดีกว่าที่จะต้องใช้ทั้งชีวิตที่เหลือของตัวเองไปแบบไม่มีความหลายเช่นนี้”
เธอหัวเราะ
“ฉันสัญญา อีกครึ่งปีต่อจากนี้ ฉันจะออกจากกิลด์โมเรียนและไปเยี่ยมนายถึงที่กิลด์แน่นอน”
แล้วทันใดนั้นเอง เธอก็ถามออกมาราวกับว่าเธอนึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“แล้ว กิลด์นายชื่ออะไรนะ อนาเตอร์กิลด์งั้นเหรอ?”
“ใช่แล้ว มันเจ๊งดีใช่ไหมหละ?”
เธอรู้สึกสับสนงุนงงเล็กน้อยกับสายตาที่ใส่ซื่อของเขา
“…หะ? อ้า…ใช้แล้วๆ มันก็เจ๊งดีเวลาที่คำสองคำนี้มารวมกัน”
“ฉันว่าแล้ว ฉันรู้ว่าเธอสามารถที่จะเข้าใจฉันได้”
เยคาเทริน่าเปลี่ยนเรื่องในขณะที่เหงื่อของเธอกำลังแตกพักๆออกมา
“แล้วความหมายของมันคืออะไรหละ?”
“ไม่มีอะไรพิเศษ…”
ยูซอดัมบอกในขณะที่เขามองไปที่หนังสือเวทมนตร์
“โลกมนุษย์นั้นเต็มไปด้วยพลังพิเศษและวิทยาศาสตร์แต่ว่ามันมีผู้คนเพียงแค่หยิบมือเดียวเท่านั้นที่สามารถใช้ศิลปะการต่อสู้และเวทมนตร์ได้ ดังนั้น กิลด์อนาเตอร์ลีกก็หมายถึงกลุ่มของคนที่พิเศษและแตกต่างออกไปเล็กน้อย”
“อ้า…”
คิดแบบนั้นแล้วมันก็ทำให้ชื่อนี้รู้สึกดูดีขึ้นเล็กน้อยแหะ…หรือว่าไม่กันนะ…? เยคาเทริน่าที่ตกไปสู่การครุ่นคิดเงยหน้าของเธอขึ้นมาในทันทีเพราะว่าเธอรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างกำลังแตะที่หน้าของเธออยู่
“อ้า บอดี้การ์ดของฉันกำลังปลุกฉันแล้ว”
“หา?”
“ดูเหมือนว่ามันจะถึงเวลาสำหรับงาน ‘ประชุมแม่มด’ แล้ว”
ถึงแม้ว่าจิตใจของเธอจะยังอยู่ในห้องสมุดนี้ แต่ความรู้สึกด้านประสาทสัมผัสของเธอก็ยังคงเชื่อมต่ออยู่กับร่างกายของเธอในโลกแห่งความเป็นจริง
เยคาเทริน่ารีบลุกขึ้นจากที่นั่งของเธอ ฉีกยิ้มออกมาอย่างสดใสและปิดตาของเธอลง
“แล้วเจอกันนะ”
หลังจากที่เธอบอกลาแล้ว เธอก็เปิดตาของตัวเองขึ้นอีกครั้ง
โลกที่มืดมิดกลับมาอีกครั้ง
โลกแห่งความเป็นจริงของเธอ
“คุณค่ะ มันเกือบจะถึงเวลาประชุมแล้วนะคะ ฉันเลยต้องปลุกคุณขึ้นมา ขอโทษด้วยสำหรับการแตะแก้มของคุณค่ะ”
“มันโอเค…”
เธอลุกขึ้นจากที่นั่งของเธอด้วยการแสดงออกที่จริงจัง
ในอีกครึ่งปีต่อจากนี้ เยคาเทริน่าวางแผนไว้ว่าเธอจะท้าทายหัวหน้าของกิลด์โมเรียนด้วย ‘การประลองแม่มด’ ซึ่งเป็นสิ่งที่ตั้งอยู่บนกฎของแม่มดและเธอจะต้องชนะแล้วออกไปจากกิลด์นี้อย่างภาคภูมิใจ
ก่อนหน้านั้น การที่จะทำแบบนี้นั้นเป็นไปไม่ได้เลยเพราะว่าเธอไม่สามารถที่จะใช้เวทมนตร์ได้
เพราะอย่างนั้นมันอาจจะดูเป็นเรื่องที่ไร้สาระสำหรับการที่ใครบางคนที่ใหม่มากๆกับเวทมนตร์จะมาท้าทายใครอีกคนหนึ่งที่ได้ผ่านการฝึกฝนเวทมนตร์มานานนับทศวรรษในการประลอง
แต่ว่า ด้วยห้องสมุดของแม่มดขาว
‘ฉันสามารถที่จะออกไปจากที่นี้ได้ด้วยเท้าทั้งสองข้างของฉันเอง’
เยคาเทริน่าสามารถที่จะอยู่รอดได้ด้วยตัวเองแล้ว
เพราะว่าในตอนนี้ เธอสามารถที่จะเห็นอนาคตได้ด้วยตาทั้งสองข้างของตัวเธอเอง
……………………………………………………..
หากชอบเรื่องนี้สามารถให้กำลังใจและสนับสนุนผู้แปลได้ทาง mynovel.co หรือ
www.amnovel.com หรือ www.thai-novel.com แค่สามช่องทางนี้เท่านั้นนะครับ
……………………………………………………..
เหล่าสมาชิกของพันธมิตรมูริมได้กระจายตัวออกไปทั่งทั้งโลกร่วมไปถึงประเทศจีน แต่ว่ามันช่างน่าประหลายใจเสียจริงที่ว่าเทวีหลักที่ซอลจองยอนได้ทำงานในตอนนี้กลับไม่ใช่ที่ประเทศจีน แต่กลับเป็นที่สหรัฐอเมริกา ถ้าจะเอาให้แม่นยำกว่านั้นก็ ที่เมืองหลวงของอเมริกา วอชิงตัน ดีซี
ยูซอดัมเคยถามเธอครั้งหนึ่งว่าทำไมเธอถึงได้อยากจะทำงานที่นั้น และคำตอบของเธอก็คือเพราะว่าวอชิงตันเป็นบ้านเกิดของเธอ
พอยูซอดัมคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว เขาก็รู้สึกว่าเขายังคงไม่ได้รู้จักซอลจองยอนดีพอในตอนที่พวกเขาได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันในคืนนั้น พวกเขาได้พุดคุยเรื่องต่างๆด้วยกันมากมายแต่ว่ามันกลับไม่มีเรื่องอะไรที่เกี่ยวข้องกับเธอเลยที่มันเป็นอย่างนั้นก็เพราะว่าซอลจองยอนเป็นคนๆเดียวที่ถามคำถามและเขาก็เป็นคนที่ตอบ ทั้งหมดที่เขาทำก็คือให้คำตอบกับคำถามส่วนมากของเธอ ดังนั้นในตอนนี้เธอน่าจะรู้ถึงขนาดที่ว่าบ้านของเขามีช้อนอยู่กี่ด้ามแล้วหละ
“ใช่แล้ว อันดับแรกเลย โปรดส่งเอกสารที่ฉันส่งให้กับเธอผ่านทางอีเมลให้กับเลขาพัคซองโฮด้วยหละ”
ยูซอดัมส่งสิ่งที่เขารู้มาเกี่ยวกับความสามารถลึกลับผ่านความช่วยเหลือของเยคาเทริน่า เมื่อเขาพูดออกไปแบบนั้นผ่านสมาร์ทโฟน ซอลจองยอนก็ได้ตอบกับมาด้วยความสงบ
– เยี่ยม อีเมลนี่มันยุ่งยากจริงๆเลย
“เธอไม่ใช่คนยุคปัจจุบันหรือยังไงกัน? แม้ว่าเธอจะถูกส่งไปยังมูริมแต่ว่าในตอนนั้นคนก็ใช้งานอีเมลกันแล้วนิ”
– ฉันเด็กมากเลยนะในตอนนั้น
“อ้า… เยี่ยม โอเค”
– แต่ยังไงก็ขอบคุณนะ ขอบคุณสำหรับเรื่องนั้น ในตอนนี้สื่อพวกที่เคยวิพากวิจารณ์เหล่าผู้คนจากมูริมเงียบหายไปแล้ว
ไม่เหมือนกับคนอื่นๆจากมูริม ซอลจองยอนเป็นคนที่มีเหตุผลเป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้เรียนรู้อีกหลายๆอย่างในโลก ณ ปัจจุบันจากช่วงเวลาที่ผ่านมา เธอก็รู้ดีว่าสำหรับเหล่าผู้คนจากมูริมแล้วมันค่อนข้างยากที่จะต้องปรับตัวให้เข้ากับสังคมให้ได้ ดังนั้นพวกเขาควรที่จะทำงานด้วยตัวตนของผู้คนชาวมูริมต่อไปในอนาคต
นั้นเป็นเพียงแค่สิ่งเดียวเท่านั้นที่ซอลจองยอน หัวหน้ากิลด์ของพันธมิตรมูริมต้องการ
มันก็เพื่อที่ว่าพันธมิตรมูริมจะได้แยกตัวออกมาเป็นอิสระ,ทำทุกอย่างเหมือนกับตอนที่พวกเขาอยู่ในมูริมโดยปราศจากการยุ่งเกี่ยวจากผู้คนภายนอก เหมือนกับที่รัฐบาลในโลกมูริมไม่มายุ่งเกี่ยวกับชาวมูริมในจุงวอนมูริม
แต่พูดตามจริงแล้ว จากมุมมองของยูซอดัมเอง เขาคิดว่าความฝันของเธอไกลเกินเอื้อมเกินไป ไม่ว่าจะทั้งในตอนนี้หรือในอนาคตก็ตาม ประเทศจะยอมให้เหล่ายอดมนุษย์บางส่วนมารวมตัวกันแล้วแยกตัวเป็นอิสระได้ยังไงกันหละ?
ซอลจองยอนรู้ว่าความฝันของเธอมันเกินกว่าความเป็นจริง แต่ถึงจะเป็นอย่างงั้นก็ตาม นับตั้งแต่ที่เธออยากที่จะสร้างโลกที่คนพวกนี้จะได้ใช้ชีวิตอยู่ในโลกปัจจุบันได้ เขาคิดว่าเขาคงจะเอาด้วยกับความฝันของเธอ
– ฉันเกือบจะเสร็จงานที่นี่แล้วนะ
“ใช่แล้ว ถ้าเธอทำงานหนักอย่างนี้ไปอีกสักครึ่งปีหละก็ ชาวมูริมคงจะได้รับการจดจำในระดับหนึ่งเลย เมื่อถึงตอนนั้นแล้วเธอก็ไม่จำเป็นที่จะต้องผู้ตัวเองไว้กับพันธมิตรมูริมอีกต่อไป”
– ก็ถ้าเป็นอย่างนั้น มันก็คงดีนะ ฉันยังไม่รู้เลยว่าจะใช้มูกงในการล่ามอนสเตอร์ได้ยังไง
นับตั้งแต่วันที่พันธมิตรมูริมถูกก่อตั้งขึ้น ชาวมูริมทั้งหลายก็เริ่มที่จะทำเงินได้เป็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่แล้วพวกเขาจะมุ่งเป้าไปยังดินแดนที่ถูกทอดทิ้งของประเทศต่างๆซึ่งเป็นส่วนที่ทางประเทศจะไม่เข้าไปแทรกแซงในเรื่องของการล่ามอนสเตอร์ พวกเขาเป็นกลุ่มคนที่เก่งกาจในการต่อสู้เป็นอย่างมาก ดังนั้นพวกเขาสามารถที่จะทำกำไรได้ด้วยแค่มีดเพียงเล่มเดียวในมือและไม่จำเป็นที่จะต้องมีอุปกรณ์เสริมใดๆ แล้วมันจะเป็นยังไงกันหละหากว่าพวกเขามีอุปกรณ์อีเทอร์เสริมเข้าไปอีกหละ?
ซอลจองยอนก็สวมใส่เครื่องแบบอีเทอร์ที่ถูกปรับปรุงในสไตล์เกาหลีด้วยเช่นกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ได้รับมอบมาจากช่างฝีมือระดับพิเศษ และเหล่าแฟนคลับของเธอก็ต่างพากันส่งเสียงเชียร์อย่างกระตือรือร้น มันถึงขั้นที่กลายเป็นแม้แต่เป็นตัวจุดกระแสของชุดฮันบกขึ้นมาอีกครั้งเลยด้วยซ้ำ
เมื่อยูซอดัมถามเธอว่าทำไมเธอถึงได้ใส่ชุดคลุมสไตล์เกาหลีแบบนี้ เธอก็ตอบว่านั้นก็เพราะว่าเธอเป็นชาวเกาหลียังไงหละ
– ถึงแม้ว่า ฉันจะต้องไปที่เกาหลีในอีกไม่นานนี้อยู่แล้ว แต่มันจะดีมากเลยถ้านายมาหาฉันก่อนหน้านั้น…
“อ-เอางั้นก็ได้”
หลังจากที่วางสายจากซอลจองยอนลง ยูซอดัมเอียงหลังพิงเข้ากับเก้าอี้และถอนหายใจออกมา ในเมื่องานทั้งหลายทั้งแหล่ที่จำเป็นจะต้องทำในตอนนี้เสร็จหมดแล้ว มันก็คงจะเป็นเรื่องดีที่เขาจะหาเวลาไปล่ามอนสเตอร์บ้าง
ถึงแม้ว่ายีซาฮเยที่ดูเหมือนว่าจะเรียนรู้มูกงจากฮาซุนยังได้เป็นอย่างดี แต่สำหรับเขาแล้วมันก็ยังมีประสิทธิภาพมากกว่าอยู่ดีที่เขาจะล่ามันด้วยตัวเองแทนการไปร่วมทีมกับพวกนั้น
‘ฉันต้องมีเกราะใหม่ด้วยเหมือนกัน’
แม้ว่าในตอนนี้เขาจะใช้ชุดสูทอีเทอร์เกรด 1 ที่ค่อนข้างจะดีพอตัวอยู่แล้วแต่มันก็ยังด้อยกว่าเล็กน้อยในแง่ของการป้องกันและฟังก์ชันการใช้งานบวกกับว่ามันยังไม่เหมาะกับความคล่องตัวในระดับสูงของเขาซะเท่าไหร อย่างไรก็ตามถ้าหากว่าคุณต้องการให้ช่างฝีมือที่มีชื่อเสียงสร้างมันขึ้นมาบวกกับการจ่ายเงินเป็นพันล้านสำหรับค่าธรรมเนียมให้คนพวกนี้สร้างอุปกรณ์เป็นเจาะจงให้กับคุณ คุณก็จะสามารถสวมใส่ชุดสูทอีเทอร์ที่ประกอบไปด้วยการออกแบบและฟังก์ชันการใช่งานที่คุณต้องการได้ ก็เหมือนกับชุดของเทเลอร์ไนน์และซอลจองยอน
“ว่าไปแล้ว เธอทำอะไรกันอยู่กันแน่นะ ถึงได้ยุ่งขนาดที่ว่าฉันไม่ได้เห็นหน้าเห็นตาเธอเลยช่วงนี้?”
ต้องขอบคุณความช่วยเหลือของยูซอดัม เทเลอร์ไนน์ถึงได้ประสบความสำเร็จในภารกิจคุ้มกันเฮโลนี่ เจ้าสตอล์กเกอร์ชาวมูริมแรงค์ SS คนนั้นได้ถูกจับและส่งไปยังพันธมิตรมูริมเรียบร้อยแล้ว
ชื่อเสียงของเทเลอร์ได้พุ่งทะยานขึ้นราวกับติดจรวดเนื่องจากการที่เป็นเธอเป็นยอดมนุษย์ที่ได้จับกุมใครบางคนจากมูริมได้และเป็นเพราะว่าเรื่องนั้นเองจึงได้มีผู้คนในระดับสูงมากมายจากทั่วทุกมุมโลกได้โทรหาเธออย่างรักใคร่เพื่อจ้างเธอมาเป็นบอดี้การ์ดของตัวเอง
ถ้าหากว่าคุณจ้างเทเลอร์ไนน์ คนที่ทั้งสวย แข็งแกร่ง และยังมากความสามารถ มันก็คงจะทำให้เป็นกระแสสังคมแน่ๆ เพราะไม่ใช่แค่ว่าคนพวกนั้นจะได้รับการคุ้มกันจากเธอเท่านั้น พวกเขายังได้พยายามที่จะใช้เธอในการสร้างภาพลักษณ์ของตนเองอีกด้วย
แน่นอนมันดูเหมือนว่าเทเลอร์จะปฏิเสธทุกสิ่งอย่างและกลับไปที่รัสเซียแทน
[ยูซอดัม : เธอเป็นยังไงบ้าง?]
[ยูซอดัม : ถ้าเธอไม่ได้มีงานอะไรไปล่าด้วยกันไหม?]
หากเป็นก่อนหน้านี้ เขาไม่อาจที่จะพูดคำพูดแบบนี้ออกมาได้ มันเป็นเทเลอร์ที่มันจะชวนเขาอยู่เป็นประจำ เหตุผลที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะว่าพวกเขาทั้งคู่มีสไตล์ที่แตกต่างกัน ยูซอดัมชอบดันเจี้ยนที่สามารถจะใช้แผนการทะลวงผ่านมันไปได้ในขณะที่เทเลอร์ชอบดันเจี้ยนที่เธอสามารถที่จะทะลวงผ่านมันไปได้ด้วยการใช้กำลังเป็นหลักมากเท่าที่เป็นไปได้
แต่ในตอนนี้มันต่างออกไปแล้ว เขามีความสามารถที่จะทะลวงผ่านดันเจี้ยนโดยที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งแผนการไปซะทั้งหมดได้แล้วเหมือนกัน
‘อ้า ใช่แล้ว’
ยูซอดัมจำบางอย่างขึ้นมาได้และได้ถามกับระบบ
“เฮ้ คุณลูกค้า รางวัลสกิลที่ได้รับจากการล่าเดอมาร์ยังไม่ได้อีกหรือ?”
เขาพยายามที่จะไม่ไปเร่งรัดระบบแล้วแต่ว่ามันถึงเวลาที่เขาจะต้องไปล่าบ้างแล้วดังนั้นเขาเลยอดที่จะสงสัยไม่ได้
ระบบเงียบไปชั่วขณะหนึ่งก่อนที่จะตอบออกมา
<ฉันรู้เหตุผลที่เกิดการล่าช้าขึ้นแล้วหละค่ะ>
“ปัญหาคืออะไรหละ?”
<เดิมทีแล้ว คุณยูซอดัมก็เป็นคนๆหนึ่งที่ล่าตัวเอกและดูดกลืนความเป็นไปได้ของพวกเขามาเป็นของตัวเองค่ะ>
“ฉันรู้ และเราก็สามารถที่จะกลับมายังโลกเดิมได้ด้วยการใช้มันเป็นพลังงานใช่ไหมหละ”
<ถ้าว่าอย่างนั้นแล้ว…คุณก็จะไม่อาจย้อนกลับไปยังมิติที่คุณได้ล่าตัวเอกลงไปแล้วถูกต้องไหมคะ?>
“…เออ? คิดๆดูแล้ว?”
<ใช่แล้วค่ะ ในตอนนี้ มีความเป็นไปได้ส่วนเกินได้ไปรวมกันอยู่รอบตัวของคุณค่ะ>
“อะไรนะ? ความเป็นไปได้? นี้มันอันตรายไม่ใช่หรือไงกัน?”
<ความเป็นไปได้นี้ไม่มีความเสี่ยงคะสำหรับคนส่วนมากแล้วพวกเขาจะมีความเป็นไปได้ปริมาณน้อยนิดส่วนหนึ่งเป็นแก่นชีวิตของตน แต่ฮันเตอร์ยูซอดัมไม่มีมันเลยสักนิดค่ะ>
เขารู้สึกเศร้าใจที่ได้ยินแบบนั้น
<ถึงยังไงก็ตาม ความเป็นไปได้ก็ได้สะสมอยู่ในร่างกายของคุณมาทีละเล็กที่ละน้อยมาจนถึงตอนนี้ แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นมันก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรเพราะว่ามันก็เป็นเรื่องปกติทั่วๆไปเพราะมันเป็นปริมาณที่พอๆกับคนที่ ‘ประสบความสำเร็จ’ คนหนึ่งเท่านั้นเองค่ะ>
แต่ว่า
<ความเป็นไปได้นี้ได้กองทับถมกันไปเรื่อยๆจากเดิม ในตอนนี้นั้นทำให้มันมีประมาณที่มากเกินไปแล้วค่ะ>
“…งั้นแล้วมันเกิดอะไรขึ้นในตอนนี้กันแน่?”
<ถ้าหากว่าคุณฝืนดูดกลืนสกิลอะไรก็ตามเพิ่มเข้าไปอีกในสภาพแบบนี้หละก็…>
คุณลูกค้าได้พูดคำพูดต่อมาอย่างช้าๆและเต็มไปด้วยความระมัดระวัง ในขณะที่สูดหายใจเข้าไปลึกๆ
<คุณจะกลายมาเป็นตัวเอกค่ะ>
“!!!!!!!!”
ยูซอดัมถึงกับรู้สึกมึนงงและนิ่งสนิทไปอย่างช่วยไม่ได้ในเวลาเดียวกันหลังจากที่ได้ยินคำพูดนั้น