(ผู้แปล : แก้ไขชื่อตอนนะครับ ผมลงชื่อตอนผิดแต่เนื้อหาเหมือนเดิม แหะๆ)
ในขณะเดียวกันกับที่เทเลอร์ค้างและฝึกฝนอยู่ที่เกาหลีในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา ฉันได้เดินทางไปทั่วทั้งเกาหลีเพื่อที่จะค้นหาสถานที่ที่สามารถจะใช้เป็นสํานักงานออฟฟิศของกิลด์ได้
เพราะว่าฉันคิดว่ามันถึงเวลาแล้วที่จะต้องแนะนํากิลด์ของตนเองให้กับสาธารณชนได้รับรู้เสียที ฉันไม่รู้หรอกว่าเยคาเทริน่าวางแผนไว้ยังไงบ้างแต่หากว่าเธอมาที่กิลด์ของฉันจริงๆหละก็เธอจะต้องรับเอางานในส่วนของการบริหารทั้งหมดไป ดังนั้นแล้วฉันจึงจําเป็นต้องเตรียมพร้อมทุกอย่างให้พร้อมไว้ล่วงหน้าก่อนที่เธอจะมา
มากไปกว่านั้น สมาชิกอนาเตอร์กิลด์คนอื่นๆ ฮาซุนยังก็ได้หิ้วเอายีซาฮเยไปด้วยทุกที่ ไม่ว่าเธอจะไปที่ไหนก็ตามพร้อมกับสอนวิชาดาบให้กับเธอในเวลาเดียวกัน และ นั้นทําให้ความสําเร็จของเธอเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย มันดูราวกับว่าพวกเราคงจะได้รับสมาชิกกิลด์มาเพิ่มในอีกไม่นานนี้
ฮาซุนยัง เธอเป็นคนๆหนึ่งที่ได้สร้างเพลงดาบของตัวเองขึ้นมาโดยปราศจากอาจารย์หรือคําแนะนําใดๆ เธอได้ดูดซับเทคนิคทุกประเภทและผสมผสานรวมมันเข้าด้วยกันด้วยตัวเธอเอง แถมในตอนนี้ฉันยังสอนเพลงดาบที่ฉันได้เรียนรู้มาจากโลกแฟนตาซีบางส่วนให้กับเธอ
ทั้งเทคนิค ดาบเร็ว ดาบข้า ดาบหนัก และ ดาบเบา
เทคนิคดาบทั้งสี่นี้เป็นรูปแบบอย่างง่ายและตรงไปตรงมา ดังนั้นจากมุมมองของชาวมูริมคนที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในโลกแห่งศิลปะการต่อสู้ เทคนิคเพลงดาบเหล่านี้ก็ดูเหมือนกับเป็นแค่ของเด็กเล่น อย่างไรก็ตาม เทคนิคดาบเหล่านี้นั้นมีประโยชน์เป็นอย่างมากสําหรับใช้รับมือกับมอนสเตอร์ มันไม่ได้เอาไว้ใช้สําหรับรับมือกับมนุษย์
พวกมันเป็นเพลงดาบที่ได้ลบเรื่องของสงครามจิตวิทยาระหว่างมนุษย์ไปโดยสิ้นเชิง เป็นเพลงดาบที่สามารถใช้ในการฆ่าตัวตนที่แข็งแกร่งยิ่งกว่ามนุษย์หลายเท่าตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
มันช่างน่าประหลาดใจยิ่งนักที่ฮาซุนยังสามารถที่จะดูดขับไม่ใช่แค่วิชาดาบของมูริมเท่านั้นแต่ยังรวมไปถึงวิชาดาบของโลกแฟนตาซีอีกด้วย! มันน่าจะเป็นไปได้ว่าฮาซุนยังคงจะต้องเป็นฮันเตอร์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดในพันธมิตรมูริมเป็นแน่หากว่าคุณไม่นับรวมซอลจองยอนไปด้วยหละก็นะ
แถม “เพลงดาบซันยัง” ก็ยังได้กลายมาเป็นเพลงดาบที่เหมาะสมสําหรับใช้รับมือกับเหล่ามอนสเตอร์และได้กลายมาเป็นตัวช่วยขั้นดีสําหรับยีซาฮเย
มันยังผ่านมาไม่ถึงครึ่งปีดีเลยนับตั้งแต่ที่เธอได้เริ่มที่จะเรียนรู้เพลงดาบซันยังอย่างเหมาะสม แต่ว่าเธอก็ได้บรรลุแรงค์ D เป็นที่เรียบร้อยแล้วในเรื่องของพลังทําลาย ยังไม่รวมถึงเรื่องที่ว่าฉันได้สอนเวทมนตร์พื้นฐานบางอย่างให้กับยีซาฮเยแล้วเธอก็เรียนมันได้ด้วยความเร็วที่น่าตกใจอีกด้วยนะ
ในตอนนี้ “ตัวเอก” ได้หายไปจากโลกใบนี้แล้ว ฉันเลยไม่ได้มีความคิดใดๆเกี่ยวกับค่าสถานะของเธอหรือรูปแบบสกิลที่เธอใช้งานเลย แต่ว่า ฉันเดาไว้ว่าเธอน่าจะมีพรสวรรค์หรือทักษะอะไรสักอย่างที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ หรือไม่ก็บางทีเธอคงจะเป็นพวกที่มุ่งมั่นสุดๆเท่านั้นเอง
ถ้าหากว่ายีซาฮเยโตมาขึ้นกว่านี้อีกเล็กน้อยหละก็ เธอก็สามารถที่จะใช้ได้ทั้งดาบและเวทมนตร์ในเวลาเดียวกัน เช่นนั้นแล้วเธอที่เป็นเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ได้เรียนรู้ในเรื่องของการบริหารมา ก็หมายความได้ว่าเธอจะเป็นคนเดียวที่ฉลาดที่สุดในกิลด์ของฉันเลย
ด้วยเหตุผลนั้นเองฉันจึงจําเป็นที่จะต้องมีสํานักงานกิลด์
“ที่นี้ไม่มีที่ว่างให้กับกิสต์หน้าใหม่หรอกนะ ไปหาที่อื่นเถอะ”
“สํานักงานกิลด์? ที่นี้ไม่มีหรอก แต่มันน่าจะมีสักที่เหลืออยู่ที่บังแบตงนะ?”
“เฮ้ ฉันเคยไปที่นั้นมาบ้างบางครั้งอะนะ ทําไปเธอขึ้นไม่ลองไปดูที่ตลาดมูรันดูหละ?”
“ไม่รู้ๆ ลองไปหาดูแถวๆปังโยที่อยู่ถัดไปเลยที่แถวนี้ฉันยืมเพื่อนมา”
“เธอนี้นะ ที่บังโย ที่ว่างทั้งหมดที่นี่ถูกขายไปหมดแล้วตั้งแต่เมื่อครึ่งปีก่อนนะ เสียใจด้วยนะ”
นี้เป็นสถานการณ์ที่ฉันกําลังเผชิญ
การค้นหาสํานักงานกิลด์ในใจกลางเมืองหลวงแบบนี้นั้นเป็นเรื่องที่แสนยากเย็น มันยากเย็นมากราวกับการที่คุณต้องกินข้ามต้มร้อนในขณะที่คุณต้องนอนราบไปกับพื้นแถมยังเปาไม่ได้อีกด้วย!
สํานักงานกิลด์ที่ถูกต้องตามกฎหมายนั้นได้รับการอนุญาตให้กับตัวปล่อยอีเทอร์ไว้ได้ที่ด้านในตู้เซฟที่สามารถทนต่อการระเบิด และสิ่งก่อสร้างจะตั้งสํานักงานกิลด์ก็จําเป็นที่จะต้องได้รับการติดตั้งสิ่งอํานวยความสะดวกพิเศษลงไปด้วย ดังนั้นคุณไม่สามารถที่จะสุ่มเลือกซื้อที่ไหนแบบมั่วๆและประกาศว่ามันเป็นสํานักงานกิลด์ได้
ถ้าหากว่าขนาดของกิลด์มีขนาดที่ค่อนข้างใหญ่หละก็ โซนฝึกซ้อมก็ต้องมีบาเรียพลังงานแบบพิเศษก็จะเป็นสิ่งที่จําเป็นต้องมีไว้สําหรับการฝึกฝนของสมาชิกด้วยเช่นกัน สิ่งก่ สร้างๆนั้นยังจําเป็นที่จะต้องมีห้องครัว ห้องซักรีต,ห้องพยาบาล, ห้องเกมส์, ยิม,สระว่ายน้ำ และ อื่นๆอีกมากมายนั้นหมายความว่าได้ว่าสิ่งก่อสร้างนั้นจําเป็นที่จะต้องมีสิ่งอํานวยความสดวกหลากหลายประเภทเพื่อนาไปใช้ในสํานักงานกิลด์
แน่นอนว่า ฉันไม่ได้จําเป็นที่จะต้องมีมากขนาดนั้น ถ้าหากว่าสิ่งก่อสร้างนั้นผ่านเงื่อนไขขั้นต่ำสุด(มีตู้เซฟอีเทอร์แบบพิเศษ) แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว
ฉันยังคงไม่พบสิ่งก่อสร้างสําหรับที่จะใช้เป็นสํานักงานกิลด์เลยแม้ว่าจะมองหามันมานานกว่าสามเดือนแล้วก็ตาม ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะยากขนาดนี้ ในเรื่องนี้เอง ฉันเลยรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมากกับฮาซุนยังและยีขาฮเย เพราะว่าโดยปกติแล้วเหล่าฮันเตอร์ที่มีกิลด์จะอยู่ประจํากิลด์ที่ตนเองสังกัดในช่วงที่พวกเขาไม่ได้ออกปฏิบัติภารกิจ โดยพวกเขาจะใช้เวลาในการพักผ่อนเพื่อผ่อนคลายความเครียดและฟื้นฟูร่างกาย แต่ทั้งฮาซุนยังและยีซาฮเยกลับต้องไปอยู่ในห้องพักชั่วคราวและและเปลี่ยนที่พักเรื่อยๆ แทน
ฮาซุนยังบอกว่ามันไม่ได้มีปัญหาอะไรกับเธอเลย เพราะว่าเธอคิดว่าฉันเป็นผู้มีบุญคุณกับเธอตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
“ฉันอยากได้ที่ที่มันอยู่ในเขตนี้”
คิดแบบนั้นแล้ว ฉันก็เดินลงไปที่ถนนแล้วค้นหาสถานที่ต่อไปแต่แล้วในตอนนั้นเองเจ้าจิตวิญญาณดอกไม้ได้พูดขึ้นมาว่า
– เฮ้ แม่มด
“อะไรอีกหละคราวนี้?”
– กลิ่นนี้ดีจัง
“ก็แน่หละ แถวนี้มันมีบาร์อยู่เต็มไปหมดเลยนิ”
– ไม่ใช่แบบนั้น
เจ้าจิตวิญญาณดอกไม้เงียบไปสักพักหนึ่งและเหมือนเช่นเคย ฉันไม่สนใจมันเพราะว่าฉันรู้ดีว่าเธอก็แค่อยากจะขอเหล้าสักขวด แต่แล้วเธอก็พูดขึ้นอีกครั้ง
– กลิ่นมันเหมือนกับจิตวิญญาณ
“อะไรนะ? จิตวิญญาณ? ที่นี่อะนะ?”
– ใช่แล้ว
ไม่มีทางน่า
บนโลกมนุษย์ ทางเดียวที่คุณจะสามารถค้นหาจิตวิญญาณพบได้นั้นคือคุณต้องมีโชคแบบที่โคตรๆของโชคดีจริงๆ แต่ว่ามันมีจิตวิญญาณอยู่ที่นี่จริงๆนะหรือ? ใจกลางย่านกังนัมเนี่ยนะ?
“ที่ไหน?
– ตรงหน้าของนาย
ในขณะที่เดินหน้าต่อไปยังทางที่เจ้ากระถางดอกไม้แนะนํา ฉันได้เห็นศูนย์การค้าขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ใจกลางทิวแถวของตึกระฟ้าจํานวนนับไม่ถ้วน ที่นี่ติดกับศูนย์การค้ากังนัม ที่แห่งนี้เป็นสถานที่ซึ่งได้ถูกสร้างขึ้นมาหลังจากที่ศูนย์การค้าดังเดิมในอดีตได้ถูกเป่าหายไปด้วยแรงระเบิดจากศึกมหาสงครามเมื่อ 31 ปีก่อน เป็นสถานที่ที่วัยรุ่นหนุ่มสาววัยยี่สิบปีมานัดเจอกันและเป็นจุดที่สําคัญ ซึ่งมีสํานักงานกิลด์ชื่อดังจํานวนมากตั้งอยู่
“ ถ้างั้นแล้ว จิตวิญญาณอยู่ที่ไหนหละ? ที่นี่ไม่เห็นจะมีเลย”
– มันอยู่ด้านล่างนี้
“ด้านล่าง? นี่เธอหมายถึงท่อระบายน้ำอะนะ?”
– หืย ไม่ใช่แบบนั้น
ในตอนนั้นเอง เจ้ากระถางดอกไม้ก็ได้เรียกใช้งานเวทมนตร์สแกน มุมมองของฉันได้ถูกย้อมไปด้วยพลังงานเวทมนตร์และเริ่มที่จะตรวจสอบไปยังพื้นที่แห่งนี้ และด้วยความประหลาดใจมันใหญ่โตสุดๆ แบบใหญ่โคตรๆเลย มันมี “ดันเจี้ยน” อยู่ใต้เท้าของฉัน
“ดันเจี้ยน?”
มันเป็นครั้งแรกเลยที่ฉันพบดันเจี้ยนผ่านการตรวจจับด้วยเวทมนตร์ ดังนั้นฉันก็ไม่รู้ว่าตัวเองควรจะทําอะไรต่อไปดีเหมือนกัน อย่างไรก็ตามเมื่อดันเจี้ยนถูกสร้างขึ้น พื้นที่ทั้งหมดที่มีอาณาเขตตั้งอยู่ในรัศมี 10 เมตรโดยรอบดันเจี้ยนแห่งตั้งอยู่จะถูกปิดลงจนกระทั้งปัญหานี้ถูกแก้ไข และทหารก็จะต้องมาสแตนบายอยู่ตลอดเวลาจนกว่าเหล่าฮันเตอร์ที่รับเรื่องในการเคลียร์ดันเจี้ยนแห่งนั้นจะปรากฏตัว แต่ว่าไม่ได้มีอะไรแบบนั้นอยู่ใกล้ๆนี้เลยสักนิด
มันราวกับว่าพวกเขาไม่ได้แม้แต่จะรู้ด้วยซ้ำว่ามันมีดันเจี้ยนนี้เกิดขึ้น
“นี้มันบ้า ๆ”
<มันเป็นมิติเลื่อนลอยค่ะ>
“นั้นมันอะไรกันหละ?”
<มันเป็นมิติที่ได้แตกตัวออกมาจากมิติดังเดิมและเร่รอนไปยังโลกต่างๆ โดยพื้นฐานแล้วมันก็เหมือนกับ “ดันเจี้ยน” ค่ะ แต่ว่ามันจะไม่ได้ปล่อยพลังงานที่เป็นอันตรายซึ่งส่งผลร้ายต่อโลกมนุษย์ออกมา ดังนั้นแล้วดูเหมือนว่ามันเลยทําให้อุปกรณ์ตรวจจับทางวิทยาศาสตร์ของโลกไม่สามารถที่จะตรวจจับมันได้ค่ะ>
หอสังเกตความผิดปกติมักจะติดตามและจัดระดับของคลื่นพลังงานจํานวนมหาศาลที่เกิดขึ้นในบริเวณใดบริเวณหนึ่งเพื่อตรวจสอบดูว่าถึงความเป็นไปได้ว่ามีโอกาสที่จะเกิดดันเจี้ยนหรือเกตขึ้นหรือไม่ แต่อย่างไรก็ดี พวกเขาไม่สามารถที่จะตรวจจับดันเจี้ยนที่ปรากฏอยู่ในกลางย่านกังนัมนี้ได้ ที่ที่ปกคลุมไปด้วยผู้คนหนาแน่นนับหมื่นๆคนในแต่ละวัน ถ้าหากว่าดันเจี้ยนเกิดการแตกออกมาและผสานเข้ากับความเป็นจริงหละก็ ภัยพิบัติได้เกิดขึ้นแน่
“ ยังดีนะที่ฉันได้พบมันก่อน ฉันเป็นฮันเตอร์มาตั้ง 16 ปีแล้วนะ แต่นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ค้นหามันเจอได้ด้วยวิธีแบบนี้”
<เท่าที่ฉันรู้มา มันมีมิติเลื่อนลอยอยู่บนโลกมากกว่านี้อีกค่ะ มันก็แค่ยังไม่ได้ถูกค้นพบเพ ราะว่ามันไม่สามารถที่จะค้นพบได้ด้วยเทคโนโลยีที่มนุษย์ครอบครองอยู่ในปัจจุบันเท่านั้นเอง>
“ถ้างั้นมันไม่มีอุบัติเหตุหรือแบบมีใครสักคนหลุดเข้าไปโดยบังเอิญเลยหรือไง?”
คืออย่างนี้ค่ะ สําหรับดันเจี้ยนแล้ว ดันเจี้ยนถือว่าเป็นมิติถึงประสานกับโลกแห่งความเป็นจริงและมีประตูปรากฏขึ้นเชื่อต่อระหว่างทั้งสองมิติเข้าด้วยกัน ส่วนมิติเลื่อนลอยนั้นถือเป็นมิติที่แยกตัวออกจากโลกแห่งความเป็นจริงไปโดยสิ้นเชิงและไม่มีประตูเชื่อมระหว่างสองมิติ แต่ถึงอย่างนั้นคุณก็สามารถที่จะเข้าไปได้ทุกเมื่อที่คุณต้องการค่ะ
งั้นความหมายของมันก็ง่ายๆเลยนิ
“งั้นไม่ใช่ว่าดันเจี้ยนลับนี้มีแค่ฉันเพียงคนเดียวที่สามารถเข้าไปได้ใช่ไหม?”
ดังนั้นแล้วฉันจึงได้พาเทเลอร์,ฮาซุนยัง และยีซาฮเยมาที่กังนัม เดิมทีแล้วฉันคิดว่าจะไม่พายีซาฮเยมาด้วยแต่ว่าฮาซุนยังยืนยังที่จะให้พาเธอมาด้วยโดยบอกว่า “ประสบการณ์ภาคสนามเป็นสิ่งสําคัญ”
โดยให้พวกเขารออยู่ด้านหลัง ฉันเข้าไปหารูปปั้นหินที่อยู่ใจกลางของย่านกังนัมสแควและแตะไปที่มัน แล้วก็มีพลังงานบางอย่างไหลออกมาจากมัน ฉันไม่ได้รู้เกี่ยวกับรูปแบบของพลังงานเหล่านี้ก่อนหน้านี้ แต่ว่าตอนนี้ฉันรู้แล้ว
“เธอจะสร้างประตูใช่มะ?”
< คุณรู้ได้ยังไงกันคะ?>
“ทําไมจะไม่รู้หละ ฉันเคยไปๆมาๆผ่านประตูมิติมาตั้งเท่าไหรแล้วมันก็แน่นอนอยู่แล้วว่าขั้นต้องสัมผัสมันได้สิ”
<อ่าหะ อย่างนี้นี่เอง>
มาอย่างนี้นี่เองอะไรกันเล่า? แต่ก่อนที่ฉันจะได้ถามเธอออกไป โลกก็ได้บิดเบี้ยวและพลิกกลับด้าน
[คุณได้เข้าสู่มิติเลื่อนลอย ‘สวนลอยฟ้าของเหล่าจิตวิญญาณที่ตายแล้ว’]
“ อึก!”
“เฮื้อก”
“อุก หัวฉัน”
บางที่อาจเป็นเพราะว่าฉันเลือกที่จะเคลื่อนผ่านมาแบบกึ่งมิติแทนที่จะใช้วิธีการเข้าดันเจี้ยนแบบทั่วไป ฉันเลยได้ยินเสียงที่ดูจะไม่ค่อยมีความสุขเท่าไหรจากมาด้านหลังของตนเอง
ฉันเงยหน้าของตัวเองขึ้นและมองตรงไปยังด้านหน้า
อยู่ๆ ฉันก็รู้เลยว่าจะพูดอะไรออกไป
“ จริงปะเนี่ย”
ตรงตัวตามชื่อของมันเลย ‘สวนลอยฟ้า’ มิตินี้ทั้งหมดลอยอยู่บนอากาศ ในแล้วในตอนนี้พวกเขากําลังยืนอยู่ที่ขอบของสวนลอยฟ้าแห่งนี้ อยู่ตรงที่ที่ฉันเชื่อว่ามันน่าจะเป็นทางเข้า ห่างออกไปจากตรงนี้ฉันสามารถที่จะมองเห็นสิ่งก่อสร้างนับสิบๆอย่างและปราสาทขนาดมหึมา
สวนลอยฟ้าที่กว้างขวางแห่งนี้มีดสนิทราวกับว่าเป็นสถานที่ซึ่งพระอาทิตย์ไม่ได้มีตัวตนอยู่ อย่างไรก็ตาม มันช่างน่าประหลาดใจ มันกลับมีแสงระยิบระยับส่องประกายออกมาตลอดเพราะว่าเจ้าสิ่งที่ดูราวกับว่าเป็นสิ่งห้อยที่กระจายอยู่ทั่วทั้งอากาศ
อนุภาคแสงเหล่านี้ลอยอยู่ในอากาศราวกับว่ามันเป็นหิมะที่กําลังตก สะพานเส้นยาวที่ส่องแสงออกมาทุกครั้งที่คุณเหยียบมัน และสิ่งของบางอย่างอันมีโครงสร้างที่ดูลึกลับที่กําลังลอยอยู่ก็เปล่งแสงอ่อนๆออกมา
มากไปกว่านั้น ท้องฟ้ายามค่ำคืนที่มืดมิดแห่งนี้ยังประดับประดาไปด้วยแสงอาโรราสีม่วง,สีแดง และสีฟ้า
นี่ใช่ไหนที่เรียกว่าโลกแฟนตาซีในเทพนิยาย?
หรือมันควรจะเรียวว่าโลกแห่งความฝัน ?
มันเป็นสถานที่ที่สวยงามมากๆ
“สวยจัง”
ยีซาฮเยไม่แม้แต่จะรู้สึกตัวเลยต่อหน้าทิวทัศน์อันตระการตาเช่นนี้ ในขณะเดียวกันกับที่ฮาซุนยังหยิบเอามือถือของเธอออกมาและกดปุ่มชัตเตอร์รัวๆแบบไม่ยัง
ถ้าหากว่าคุณเชื่อตามความคิดเก่าๆที่ว่าพระอาทิตย์ตกดินเป็นสัญญาณที่แสดงถึงความสัมพันธ์ที่จบสิ้นลง ถ้างั้นฉันก็เคยได้ยินมาเหมือนกันว่าโลกที่ล้มสลายส่วนมากแล้วมักจะหยุดอยู่ในช่วงเวลาที่พระอาทิตย์ตกเสมอเหมือนกัน
อย่างไรก็ตาม ยามเย็นอันเป็นนิรันตร์จะมาถึงก็ต่อเมื่อโลกใบนั้นได้จบสิ้นลงโดยสมบูรณ์ โลกที่ไม่มีพระอาทิตย์ขึ้นอีกต่อไป มิติแห่งนี้ก็เป็นโลกแบบนั้น โลกที่ได้มาถึงจุดจบ
“เฮ้นั้น คือมอนสเตอร์ใช่มะ?”
เทเลอร์พูดพร้อมกับแตะมาที่ไหล่ของฉัน และฉันก็เบนสายตาไปยังจุดที่เทเลอร์ชี้ไป
สิ่งมีชีวิตที่อยู่คล้ายคลึงกับเหล่าแฟรีในสีต่างๆมากมายไม่ว่าจะเป็นแดง, ฟ้า,เขียวและอื่นกําลังบินอยู่ในอากาศพร้อมทั้งพวกมันยังเกราะสวมเอาไว้ในแต่ละตัวอีกด้วย
<มันพึ่งจะผ่านไปไม่นานเท่านั้นเองนับตั้งแต่ที่โลกใบนี้มาถึงจุดจบ มันเลยดูเหมือนว่าเหล่าสิ่งมีชีวิตทั้งหมดจะยังไม่ได้ตายลงไปค่ะ>
<ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็ตาม นับตั้งแต่ที่แหล่งพลังงานที่สําคัญทั้งหมดได้สูญสิ้นลงไปแล้วจิตวิญญาณตนใหม่จะไม่สามารถกําเนิดขึ้นมาได้อีกต่อไปค่ะ>
<เหล่าจิตวิญญาณทั้งหลายที่ติดอยู่ในโลกที่พังพินาศใบนี้จะค่อยๆเริ่มที่จะดับสูญลงถ้าหากว่าฮันเตอร์ยูชอดัมไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว>
“จริงจัง? เพราะถ้าหากว่าพลังงานในนี้ระเบิดออกมาและดันเจี้ยนนี้เกิดการประสานตัว พวกเราจะมีปัญหาใหญ่เลยนะ”
<ก็เหมือนกับที่ฉันได้พูดไปก่อนหน้านี้ค่ะ มิติเลื่อนลอยจะไม่ปลดปล่อยพลังงานเสียออกไป นีjเป็นเพราะว่าพลังงานทั้งหมดของมันได้ถูกใช้ไปจนหมดสิ้นแล้ว กล่าวโดยย่อก็คือนเป็น “มิติที่ตายแล้ว” ค่ะ>
“มิติที่ตายแล้ว? เยี่ยมถ้างั้นแล้วหากว่าเราปล่อยมันไว้เฉยๆ ก็หมายความว่าการประสานตัวของดันเจี้ยนก็จะไม่เกิดขึ้นใช่ไหม?”
<ใช่ค่ะ>
“หืม”
เมื่อมอนสเตอร์เหล่านี้ปรากฏตัวขึ้นมา ฮาซุนยังเหลือชุดของเธอและดึงดาบของเธอออกมาในขณะเดียวกันยีซาฮเยก็สวมใช่ชุดสูทเทอร์เกรด 3 และตั้งดาบอีเทอร์ของเธอออกมา เทเลอร์ก็ดึงไม้เบสบอลของเธอออกมาเหมือนกัน เธอไม่ได้จําเป็นต้องใช้มันอีกต่อไปแล้วแต่ดูเหมีือนว่าเธอจะติดเป็นนิสัยไปเสียแล้ว
ฉันก็ดึงเอาดาบเทอร์ชั่วคราวเกรด 3 ออกมาเหมือนกัน แต่ถึงอย่างฉันกลับไปได้เคลื่อนไหวได้ด้านหน้า
“มีอะไรงั้นหรือ? มีปัญหาอะไรหรือปาว?”
“ไม่หรอก ไม่ใช่แบบนั้น ๆ”
เดิมที มันก็ไม่ได้มีทางเข้ามาสู่โลกใบนี้ แต่ว่าด้วยความช่วยเหลือของระบบ ทางเข้าได้ถูกสร้างขึ้น และมันก็เป็นไปได้ที่จะสร้าง “ประตู” ที่สามารถจะใช้งานได้โดยสมาชิกกิลด์เท่านั้น มิติแห่งนี้เองก็เป็น “มิติที่ตายแล้ว” ที่นี่เป็นที่ที่จะถูกทิ้งไว้เพียงลําพังตลอดไป
ทันใดนั้นเอง
ฉันก็หันหน้าไปและพูดความคิดของตัวเองออกไปให้หญิงสาวทั้งสามคนนี้ได้ฟัง
“ที่นี่ ตําแหน่งของมันดีมากเลย แถมยังไม่มีใครสักคนสามารถเข้ามาได้ง่าย ทิวทัศที่สวยงาม ขนาดที่กว้างใหญ่แถมยังมีร้านเกี่ยวน้ำชื่อดังตั้งอยู่ถัดไปด้วย”
“…?”
ฉันให้คําแนะนําที่แสนยอดเยี่ยมกับหญิงสาวเหล่านี้ คนที่ดูเหมือนว่าจะมองมาที่ฉันราวกับมองตัวประหลาด
“ไปเก็บบอสของที่นี่ และ ยึดสวนนี้กันเถอะ”