ตอนที่ 92 แม่มดศตวรรษที่ 21 (4)
อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นได้จบลงอย่างรวดเร็ว
เหล่าอัศวินไม่ได้สูญเสียเกียรติของตน ด้วยระยะเวลาที่ยาวนานก่อนที่กองกําลังสนับสนุนของเหล่าฮันเตอร์จะมาถึง พวกเขาได้เอาชนะเจ้ามอนสเตอร์แรงค์ SS ตัวนี้ได้เป็นที่เรียบร้ายด้วยความแข็งแกร่งของพวกเขาเองภายใต้การสั่งการของอัศวินเอง อย่างไรก็ดี เหตุการณ์นี้ทําให้เหล่าอัศวินทั้งหลายเข้าใจถึงสัจธรรมของโลก ว่าการเข้าร่วมสนามรบเผชิญหน้ากับเหล่ามอนสเตอร์ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย และ ในโลกของเหล่าฮันเตอร์ก็ยากลําบายยิ่งกว่าพวกเขาเสียอีก
มากไปกว่านั้น เทเลอร์ บลิสแตนสามารถที่จะเดินจากตระกูลของเธอเองได้ภายได้การอนุมัติของอเล็กซานเดรได้ความสําเร็จ ในตอนที่เธอได้ก้าวเดินออกมา เหล่าพี่น้องทั้งหมดของเธอไม่แม้แต่จะพูดบอกลาเธอด้วยซ้ำ
ที่มันเป็นแบบนั้นก็เพราะว่าพวกเขาละอายใจในเรื่องที่พวกเขาไม่อาจจะแสดงพลังของตนเองออกมาได้และได้แต่ซ่อนตัวอยู่ด้านหลังของน้องสาวที่อายุน้อยที่สุดของตนเอง คนที่พวกเขาไม่ได้เหลียวแลมาเป็นเวลานาน ซึ่งได้เข้าต่อสู้อยู่แนวหน้าเมื่อมอนสเตอร์เหล่านั้นได้ปรากฏตัวขึ้น
แน่นอนว่าเทเลอร์รู้สึกดีกับสิ่งที่เกิดขึ้นและระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเพราะเรื่องนี้
โดยก่อนหน้าที่เธอจะจากไปพ่อของเธอได้พูดทิ้งท้ายเอาไว้ว่า
“ถ้าเจ้ารู้สึกคิดถึงบ้านหละก็ กลับมาได้เสมอนะ”
แต่เทเลอร์ตอบกลับไปว่า
“ฉันไม่คิดว่ามันคงจะไม่มีทางเกิดขึ้นหรอกนะ”
ช่างน่าขบขัน ในตอนที่เธอได้กลับมาที่นี่หลังจากที่ได้จากบ้านหลังนี้ไปนานถึง 16 ปีเต็ม พ่อของเธอ คนที่ไม่ได้แสดงความสนใจต่อเธอเลยแม้แต่น้อย ได้เปลี่ยนความคิดของตนเองแบบหน้ามือเป็นหลังเท้าด้วยแค่อุบัติเหตุครั้งนี้เพียงเหตุการณ์เดียว หากว่าปราศจากเหตุการณ์นั้นแล้ว เขาคงจะไม่สนเธอไปตลอดชีวิตเลยละมั้ง?
แทนที่จะอยู่ในบ้านที่ไร้ซึ่งความรักเช่นนี้ มันดีกว่าที่จะไปหาสถานที่ที่เธอสามารถพบปะพูดคุยกับคนอื่นได้อย่างเปิดอกไม่ว่าสิ่งที่ตามมาจะเป็นเช่นไรก็ตาม
แน่นอนว่า เทเลอร์ บลิสแตนไม่ได้จากไปเพียงลําพัง
“ได้โปรดพาฉันไปด้วยเถอะค่า!”
“….”
อีกฝั่งหนึ่ง เยคาเทริน่าเองก็ตัดความสัมพันธ์ของตนเองกับกิลด์โมเรียนได้สําเร็จเช่นกัน ในกรณีของเธอมันเป็นเรื่องที่น่าสงสัยว่าเธอจะได้รับอนุญาตจากกิลด์หรือปาว แต่ไม่ว่าจะในกรณีไหนก็ตาม กิลด์โมเรียนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากปล่อยเยคาเทริน่าไปตามกฎของแม่มด
“เธอคิดว่าตัวเองจะเอาตัวรอดในสังคมได้หรือไงกัน? เดวเธอก็จะเปลี่ยนความคิดของตัวเอง”
“แต่ฉันไม่คิดงั้นนะคะ”
ทั้งตระกูลบลิสแตนที่ได้ปล่อยความสามารถที่โดดเด่นของเทเลอร์ให้หลุดมือของตัวเองไปและกิดล์โมเรียนเองที่ได้ปล่อยเยคาเทริน่าที่ครอบครองพลังเวทมนตร์ที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าพวกเขาให้หลุดมือไป แม้ว่าพวกเขาจะพยายามยื้อเธอไว้กับตนเองอีกครั้งแต่ก็ไม่ได้ผล
แต่มันยังมีปัญหาอีกหนึ่งอย่างที่เหลืออยู่คือ เยคาเทริน่าไม่มีพาสปอร์ต,เงิน หรือสิ่งของอื่นๆติดตัวเลย ดังนั้นแล้วด้วยคําขอร้องจากปากของเยคาเทริน่าเองบวกกับของยูซอดัม เทเลอร์ได้ตัดสินใจที่จะหิ้วเธอติดไปด้วย
“ว้าววว…”
ด้วยเหตุนี้เอง หญิงสาวทั้งคู่จึงได้ไปปรากฏตัวในเครื่องบินลําเดียวกัน
เยคาเทริน่าได้ส่งพลังเวทย์ของเธอไปที่ดวงตาที่โปร่งใสของตัวเธอเอง แล้วดวงตาของเธอเองก็ได้เปลี่ยนไปเป็นสีขาวบริสุทธิ์คล้ายกับดวงตาของยูซอดัม ด้วยเวทมนตร์นี้ทําให้เธอกลับมามองเห็นได้อีกครั้งเป็นการชั่วคราว
“ว้าววว มันกําลังบิน!”
“อ้า! หยุดส่งเสียงน่ารําคาญได้แล้ว เธอพึ่งเคยขึ้นเครื่องบินหรือไงหะ?”
“ใช่แล้วค่า”
“เอ่อ โอเคๆ ยังไงก็ตาม อยู่นิ่งๆซะทีเถอะ”
เยคาเทริน่ามองไปยังที่นั่งข้างหน้าต่างที่ที่เทเลอร์กําลังนั่งอยู่และพูดออกมาเบาๆ
“เออ ฉันต้องนั่งติดหน้าต่างไม่ใช่หรือค่ะ?”
“ไม่นิ”
“ชิ”
เยคาเทริน่าที่มีสีหน้าบูดบึงก็ได้ยอมแพ้ไปเพราะเธอคิดว่าเธอคงจะทําอะไรกับเรื่องนี้ไม่ได้ เธอเลยเปลี่ยนจุดสนใจของตัวเธอเองไปที่นิตยาสารซึ่งเสียบอยู่ตรงที่นั่งด้านหน้าของเธอ เนื้อหาส่วนใหญ่ในเล่มเกี่ยวกับเรื่องกระเป๋าและแฟชั่นสมัยใหม่ แต่เธอไม่ได้สนใจสิ่งของหรือสินค้าพวกนั้นเลย เธอไม่เคยจะได้สัมผัสมันในตอนที่อยู่ในคฤหาสน์กิลด์โมเรียนเลยแม้แต่นิดเดียว และถึงแม้ว่าเธอจะเป็นอิสระจากฝันร้ายนั้นแล้ว เธอก็ยังไม่เคยได้สัมผัสกับโลกในยุคปัจจุบันอยู่ที่เธอได้แต่ใช้ชีวิตอยู่ในโลกแห่งหนังสือเวทมนตร์ที่เธอพึ่งจะได้รู้จักเมื่อไม่นานมานี้ตลอดเวลา!
เทเลอร์มองไปยังร่างของคนที่อยู่ข้างๆเธอ และพูดออกมาด้วยสีหน้าท่าทางที่สุดแสนจะรำคาญ
“หลบไปสิ”
“ค่ะ?”
“ฉันบอกว่าให้หลบไปไง ที่ของเธอดูเหมือนว่ามันจะสบายกว่านะ”
“อ้า ได้เลยค้า!”
สุดท้าย เทเลอร์ ผู้ที่ยกที่นั่งติดหน้าต่างให้กับเยคาเทริน่าก็ได้เอนหลังลงพิงเข้ากับที่นั่งของเธอ
ส่วนคนที่มองออกไปนอกหน้าต่างที่นั่งอยู่ข้างกับเธอ เยคาเทริน่าได้อุทานออกมา
“ว้าววว! ก้อนเมฆ!”
มันเป็นคําอุทานที่ราวกับว่าเป็นเด็กน้อย
ในขณะเดียวกันนั้นเอง เทเลอร์ก็ได้หยิบเอาสมาร์ทโฟนของเธอขึ้นมาและเปิดเครื่อง
เกมส์เบสบอลที่เกาหลีกําลังเล่นอยู่ในสมาร์ทโฟนของเธอ และ เยคาเทริน่าที่กําลังมองก้อนเมฆเมื่อไม่กี่นาทีที่แล้ว ได้แสดงออกถึงความสนใจกับในสิ่งที่เธอกําลังดูอยู่เช่นกัน
“โห้ว เบสบอลหรือค่ะ? ฉันก็ชอบมันเหมือนกันค่ะ”
“หม เธอรู้กฏด้วยเหรอ?”
“มันเป็นกีฬาที่ได้คะแนนจากการขว้างลูกเบสบอลออกไปและตีไปที่หัวของผู้รักษาประตูไม่ใช่เหรอค่ะ”
“นี่เธอล้อเล่นใช่ปะ?”
“อ้า แน่นอนอยู่แล้วว่าฉันต้องล้อเล่นสิค่ะ”
“แต่ไม่ใช่ว่ามันก็ถูกแล้วนิ?”
“ค…ค่ะ?”
เยคาเทริน่าเบิกตาของตัวเองกว้าง เธอพูดเล่นจริงๆแต่ข้างในของเธอในตอนนี้กําลังสงสัยว่ากฏของเบสบอลเปลี่ยนไปในตอนที่เธอไม่รู้หรือยังไงกัน
“เพราะว่าทีมที่ฉันกําลังเชียร์อยู่เล่นแบบเดียวกับที่เธอพูดออกมาเมื่อกี้เลย”
“แหะๆ…ถ้างั้นแล้วเธอเชียร์ทีมไหนอยู่เหรอ?”
เยคาเทริน่าถามทุกอย่างที่เธอให้ความสนใจออกมา มันราวกับว่าเธอกําลังพยายามที่จะเรียนรู้โลกใบนี้ผ่านการสนทนากัน เทเลอร์ไม่ได้รู้มากนักเกี่ยวกับสถานการณ์ของเธอแต่ว่าหลังจากที่ได้พูดคุยกับเธอสักพักหนึ่ง เธอก็รู้สึกว่าเธอติดกับยังไงก็ไม่รู้
ด้วยเหตุผลนั้นเอง แม้ว่าเธอจะรําคาญใจก็ตาม เธอก็ยังคงให้คําตอบกับเยคาเทริน่าไปอยู่ดี
“ก็ฮเวดาไง”
“โห้ว อืม…แล้วเธอชอบผู้เล่นคนไหนงั้นหรือ?”
“ไม่มีเลยสักคนที่ฉันชอบ พวกนี้มันขยะทั้งนั้นแหละ”
“อ้า แหะๆ”
ส่วนมากของการสนทนาของทั้งสองคนก็เป็นแบบนี้แหละ
แต่เยคาเทริน่าก็ยังคงพูดคุยกับเทเลอร์เกี่ยวกับสิ่งอื่นอีกมากมายต่อไปราวกับว่าเธอมีความสุขที่เธอสามารถพูดคุยกับใครสักคนได้อย่างเปิดเผย
เยคาเทริน่าที่ยังคงพูดต่อไปเรื่อยๆราวกับว่าตัวเองเป็นนกกระจอกได้หลับลงในท้ายที่สุดและเทเลอร์ได้แต่ส่ายหน้าของเธอและดูเคบีโอในสมาร์ทโฟนของเธอต่อไป
เวลาได้ไหลผ่านไปอย่างรวดเร็ว และ ไม่ได้ใช้เวลานานเท่าใดนักก่อนที่พวกเธอทั้งคู่จะมาถึงเกาหลี
“นี่มันเร็วจริงๆ!”
“ที่มันเร็วก็เพราะเธอหลับต่างหากหละ”
เทเลอร์มองตรงไปข้างหน้า
ที่นี่ ที่สนามบินอินชอน ณ เกตทางเข้า
มันเป็นสถานที่ที่เธอเดินผ่านเป็นประจํา แต่วันนี้มันกลับให้ความรู้สึกที่ต่างออกไป
เธอค้นกระเป๋าของเธออยู่สักพักหนึ่งและดึงเอาแว่นกันแดดของเธอออกมา
แล้วอยู่ๆ เธอก็หันไปทางที่ด้านข้างของเธอและสังเกตเยคาเทริน่าที่กําลังมองไปรอบๆอยู่และส่งแว่นตาอีกอันให้กับอีกฝ่าย
“ให้ฉันทําไมเหรอค่ะ?”
“เพราะว่าแสงแฟลชมันจะทําให้เธอลายตาได้นะ
“หืม?”
เทเลอร์อธิบายออกมาด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างจะคลุมเครือ แม้ว่าจะเป็นตัวเยคาเทริน่าเองที่สามารถเข้าใจเรื่องต่างๆได้อย่างรวดเร็ว ก็ยังไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ว่าเทเลอร์กําลังสื่อถึงอะไร
ในขณะที่กําลังลากกระเป๋าของเธอและกําลังเดินออกไปที่ประตูทางออกด้วยความมั่นใจ เทเลอร์ก็ได้พูดกับเยคาเทริน่า
“ถ้าหากว่าเธอออกไปที่ด้านนอกแล้ว มันจะมีคนมากมายที่จะมามองหาเธอ”
“ทําไมหละค่ะ…?”
เมื่อประตูได้เปิดออก ทั้งคู่ก็ได้เจอเข้ากับฝูงนักข่าวหลายสิบคนที่ได้ตั้งป้อมอยู่ด้านหน้าของประตูทางเข้าสนามบินนานาชาติประเทศเกาหลีซึ่งเป็นที่ที่เยคาเทริน่าคิดว่าอยู่แสนไกลในตอนที่ถูกขังอยู่
“ที่นี่สินะ”
และแล้วห่าคําถามก็ได้ถูกยิงไปยังพวกเธอทั้งคู่
“(คุณเยคาเทริน่าค่ะ!)”
“ (ทําไมคุณถึงได้ตัดสินใจมากที่เกาหลีกันค่ะ…)”
* (คุณมีความสัมพันธ์ยังไงกับหัวหน้ากิลด์อนาเตอร์ลีกยูซอดัมกันแน่ค่ะ!)”
“(แล้วเกี่ยวกับเรื่องเวทมนตร์!)”
เครื่องแปลภาษาและเสียงของคนมากมายได้ซ้อนทับกัน ส่งเสียงดังน่ารําคาญไปโดยรอบ ตอนนี้เท่านั้นเองที่เยคาเทริน่ารู้ว่าตัวเองพลาดอะไรบางอย่างไป เธอถึงกับสะดุดและชงักถอยหลังกลับไปเล็กน้อย หัวใจของเธอเต้นอย่างบ้าคลั่ง ที่มันเป็นอย่างนั้นก็เพราะว่านี่เป็นครั้งแรกเลยสําหรับเธอที่ถูกห้อมล้อมไปด้วยผู้คนมากมายขนาดนี้
เธออยากที่จะวิ่งหนีไป แต่เท้าของเธอกลับไม่ขยับเลย เธอพยายามที่จะพูดกับเทเลอร์ว่าเธออยากที่จะกลับ แต่เทเลอร์แค่หันมาแสยะยิ้มให้กับเธอเท่านั้น
“แก๊กๆ ดูนี้ไว้ให้ดีหละเดียวพี่สาวคนนี้จะทําให้ดูเป็นตัวอย่าง”
“…?”
ก่อนที่เยคาเทริน่าจะได้ถามว่าเธอหมายถึงอะไรออกไป เทเลอร์ก็ได้ลากกระเป๋าของเธอและเดินไปด้านหน้า เธอยกมือของตนเองขึ้นมากกลางอากาศและชูนิ้วกลางออกไป
“ฟักยู!”
เธอตะโกนออกไป
“…”
มันทําให้เยคาเทริน่าถึงกับพูดไม่ออก
แล้วจากนั้นเทเลอร์ก็เดินต่อไปด้านหน้าด้วยท่าทางที่เต็มไปด้วยความมั่นใจและพูดออกมาในภาษารัสเซียไม่ใช่เกาหลีว่า
“พวกเราจะบอกทุกอย่างในการให้สัมภาษณ์อย่างเป็นทางการหลังจากนี้ ดังนั้นในตอนนี้กลับบ้านไปซะ”
กําแพงมนุษย์ตรงหน้าของพวกเขาค่อยๆสลายตัวลงราวกับว่าเป็นการแสดงอภินิหารของโมเสส เส้นทางได้เปิดออกฝ่ากลางฝูงชน ในความจริงแล้ว ปรากฏการณ์ที่กําลังเกิดขึ้นนี้เป็นสิ่งรู้กันดีของเหล่านักข่าว พวกเขารู้ว่ามันไม่มีอะไรดีเลยกับการไปขวางทางฮันเตอร์เอาไว้ แต่สิ่งนี้ก็ยังดูราวกับเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อในสายตาของเยคาเทริน่าที่ไม่ได้รู้ความจริงในเรื่องนี้อยู่ดี
แม้ว่าต่อหน้าผู้คนที่มากมายเช่นนี้ เทเลอร์ก็ยังคงแสดออกมอย่างกล้าหาญและเต็มไปด้วยความมั่นใจซึ่งเป็นสิ่งที่น่าอิจฉาในสายตาของเยคาเทริน่า
“เฮ้ เธอจะไม่มาด้วยกันหรือไง?”
“…..!”
ในท้ายที่สุด พวกเธอทั้งคู่ก็ได้มาถึงจุดสิ้นสุดของการเดินทางและเจอกับชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่ตรงหน้าของพวกเธออย่างมั่นคง เขาส่งยิ้มให้กับพวกเธอทั้งคู่และโบกมือให้ มันเป็นท่าทางที่ดูโง่ๆ แต่น่าไว้วางใจที่ฝังอยู่ในความทรงจําของเยคาเทริน่า
มันเป็นของชายคนที่เยคาเทริน่าเคยเห็นเพียงแค่ในฝันของเธอเองเท่านั้น อย่างไรก็ตาม เธอสามารถที่จะเห็นได้ยิน และ สัมผัสเขาได้โดยตรงแล้ว
ด้วยการที่เธอได้เจอกับเขา มันทําให้เธอได้รับอิสระภาพที่แท้จริงทั้งในโลกแห่งความฝันและโลกแห่งความเป็นจริงกลับมา
“นี่เป็นครั้งแรกสินะที่ฉันได้เจอกับเธอสินะ เยคาเทริน่า”
เยคาเทริน่าผงกหัวของเธอเป็นการทักทายตอบ เธอเต็มไปด้วยความตื่นเต้นแล้วเธอก็พูดกับเขาด้วยสําเนียงเกาหลีที่ติดๆขัดๆว่า
“ฉันอยากที่จะเจอนายเหมือนกัน”
[โลกของ “เวทมนตร์” แห่งแรกได้รับการเปิดเผยโดยกิลด์โมเรียน!]
[ช่างน่ามหัศจรรย์! ดันเจี้ยนที่บิดเบี้ยวแรงค์ SS ได้ปรากฏขึ้นที่กรุงมอสโค]
[เหล่าฮันเตอร์ทั้งหลายต่างพากัน ประหลาดใจ” กันพลังพิเศษของเยคาเทริน่า บลิสแตน]
[จอมเวทย์ เยคาเทริน่า ทําไมเธอถึงได้กลายเป็นสมาชิกของกิดล์เกาหลีได้กัน?]
[“อนาเตอร์ลีก” กิลด์ที่ครอบครองทั้งศิลปะการต่อสู้และเวทมนตร์]
เวทมนตร์ได้ถูกเปิดเผยออกสู่โลกภายนอก
มันเป็นสิ่งที่แม้แต่เหล่าฮันเตอร์ที่ไร้พลังก็สามารถครอบครองความสามารถเหนือธรรมชาติได้ผ่านการเรียนรู้
เช่นนั้นแหละ มันเป็นสิ่งที่แม้แต่เหล่าคนที่ไม่มีพลังพิเศษก็สามารถเรียนรู้ได้
มันเป็นธรรมชาติที่โลกทั้งใบจะพลิกค่ำ เหตุผลไม่ใช่เพราะว่าพวกไร้พลังสามารถเรียนรู้ความสามารถนี้ได้หรอกแต่เป็นเพราะว่าทุกคนไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามสามารถกลายมาเป็นคนที่มีทักษะที่ตนเองใฝ่ฝันได้
ถึงแม้ว่าราคาของผลิตภัณฑ์ ตัวปล่อยแกนพลัง” จะอยู่เหนือจิตนาการของทุกคนก็ตาม สิทธิในการเข้าถึงการเรียนรู้ศาสตร์นี้ก็ช่างแสนยากเย็น มันขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้นเองก่อนที่ปัญหานี้จะถูกแก้ไข
เอวาน หัวหน้าของกิดล์โมเรียน ได้จัดแถลงข่าวขึ้นในวันต่อมาหลังจากที่เกิดเหตุการณ์ดันเจี้ยนแตก
“นับตั้งแต่มีการเกิดขึ้นของมนุษย์ชาติ ก็ได้มีการค้นพบและสร้างสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆเกิดขึ้นจํานวนนับไม่ถ้วน”
ยังไรก็ดี มันเป็นเสียงที่แสดงออกถึงความร้อนแรงอันเต็มไปด้วยจิตวิญญาณ
“มนุษยชาติได้ค้นพบและเรียนรู้ในการจัดการกับไฟครั้งแรกเมื่อหลายล้านปีก่อน ไฟฟ้าก็เกิดขึ้นเมื่อ 600 ปีก่อนคริสตกาล การประดิษฐ์และจัดการกับดินปืนเกิดขึ้นราวศตวรรษที่ 7 สนามแม่เหล็กถูกค้นพบเมื่อราวศตวรรษที่ 13 ในศตวรรษที่ 19 พวกเราก็ได้มีการค้นพบคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า และในท้ายที่สุดในยุคศตวรรษที่ 21 พวกเราก็ได้เริ่มต้นกับนวัตกรรมนิเคลียร์ฟิวชั่น”
ในขณะเดียวกันนั้นเองกับที่ผู้คนทั้งโลกต่างพากันให้ความสนใจ เอวานค่อยๆพูดต่อไปเรื่อยๆ ราวกับว่าเธอกําลังแถลงข่าว
“และเมื่อ 31 ปีก่อน มนุษยชาติได้ค้นพบพลังงานอีเทอร์และในท้ายที่สุดก็ได้ไปถึงหลักการทางวิทยาศาสตร์ของมัน”
ในตอนนี้ น้ำเสียงของเธอนั้นช่างเต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก
“แต่ ในวันนี้!”
เธอดูเหมือนที่จะสําลักในระหว่างที่พูด
แต่ดูเหมือนว่าเธอจะได้รับพรด้วยความจริงใจกับการค้นพบครั้งยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติในครั้ง
“มนุษยชาติได้ค้นพบหลังงานใหม่ที่เรียกว่า “แก่นพลังงาน” อีกครั้งหนึ่ง และได้ทําให้เกิดความเป็นไปได้ของการพัฒนาที่ไม่มีที่สิ้นสุด! แก่นพลังงาน พลังอํานาจอันแสนน่าตื่นตาตื่นใจ มันเป็นพลังงานที่ถูกสร้างขึ้นโดยการหมุนเวียนของธรรมชาติและจักรวาลในตัวของมันเอง และมันเป็นพลังงานนิรันดร์ที่ไม่มีวันเดือดแห้งหายไป พวกเราสามารถที่จะใช้พลังงานนี้ในการใช้ศาสตร์อันสุดแสนจะลึกลับและยิ่งใหญ่ที่เรียกว่า “เวทมนตร์” ได้ค่ะ”
เมื่อเอวานพูดจบลง ผู้คนต่างพากันลุกขึ้นยืนเพื่อตบมือให้กับเธอและเหล่านักข่าวทั้งหลายต่างพากันยิงคําถามออกไป
“ผมมีคําถามครับ”
“คุณคิดยังไงกับความจริงในเรื่องที่ว่าดันเจี้ยนที่บิดเบี้ยวก่อนหน้านี้ไม่อาจที่จะปิดได้ครับ!”
“อีกทั้งในอีกกรณีหนึ่งที่มีนักเวทย์อีกหนึ่งคนที่ชื่อว่า เยคาเทริน่า เธอได้กล่าวไว้ว่าเธอมาจากอนาเตอร์ลีกของเกาหลี โปรดชี้แจงให้เราฟังเกี่ยวกับเรื่องนั้นด้วยครับ”
คําถามจํานวนมากได้หลั่งไหลเข้ามา แต่เธอได้กําจัดคําถามที่ไม่จําเป็นทิ้งไปและตอบเพียงแค่คําถามที่สร้างภาพลักษณ์ในแง่บวกเท่านั้น
“อ้า เยคาเทริน่า? ฉันเสียใจด้วยในเรื่องของเธอ พวกเราเคยทํางานรวมกันในเรื่องของแก่นพลังงานจากความรู้ตั้งแต่เมื่อหลายร้อยปีก่อน และเยคาเทริน่าเป็นหนึ่งในนักวิจัยของพวกเรา แค่พึ่งจะเมื่อวานนี้เองในงานเลี้ยงที่พึ่งเกิดขึ้น เธอได้ทรยศกิลด์โมเรียนของพวกเราและได้เลือกที่จะจากไปแล้วค่ะ”
“มันหมายความว่า…?”
เอวานพูดต่อด้วยสีหน้าของคนที่หัวใจแตกสลาย
“ความรู้ด้านเวทมนตร์ของเธอเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับกิลด์โมเรียน หลักฐานก็คือ ข้อมูลจํานวนมากของพวกเราที่ได้เก็บรวบรวมไว้ตั้งแต่เมื่อหลายร้อยปีก่อน”
ทั้งพลังพิเศษและศาสตร์ลึกลับในยุคสมัยนี้ถูกตีค่าเป็นทรัพย์สิน มันเป็นเลยเป็นปัญหาที่อ่อนไหวเป็นอย่างมากทั้งทั้งในด้านสังคมและเชิงพาณิชย์ มากไปกว่านั้น อะไรจะเกิดขึ้นหละหากว่าข้อพิพาทในเรื่องเกี่ยวกับ “เวทมนตร์” กลายมาเป็นประเด็นร้อนในตอนนี้? เธอจะไม่มีทางปล่อยมันไปแน่
“เห้อ ฉันไม่มีทางเลือกจริงๆค่ะ แต่เพื่อที่จะตอบสนองกับสิ่งที่เยคาเทริน่าได้ทําลงไปกับกิลด์ของเธอ เราจําเป็นที่จะต้องพูดคุยกับอนาเตอร์ลีกในเรื่องนี้ค่ะ ซึ่งมันจะเป็นสิ่งที่อยู่บนกฎของ “พลังพิเศษซึ่งเป็นทรัพย์สินทางปัญญา” ค่ะ”
หลังจากนั้นไม่นาน เสียงปิดกล้องก็ได้ดังขึ้นจากทุกทาง
“ใช่แล้ว เยคาเทริน่า ฉันไม่รู้หรอกนะว่าเธอเรียนเวทมนตร์มาได้ยังไง แต่ว่า….”
แน่นอนว่าเธอได้แสดงมันออกมาได้เหนือกว่าตัวของเอวานเองเล็กน้อย แต่มันก็ไม่ได้มีความหมายอะไรเลย
เพราะว่าต้นกําเนิดของเวทมนตร์ในโลกใบนี้ในท้ายที่สุดก็เริ่มมาจากกิลด์โมเรียน
ไม่สําคัญว่าเทคนิคที่เธอใช้จะล้ำเลิศเพียงใด แต่ทุกอย่างมันจบแล้วตั้งแต่ที่เธอเลือกที่เดินออกจากปราสาทหลังมหึมาที่เรียกว่า โมเรียนและมุ่งหน้าไปยังเรือลําเล็กๆ ที่มากไปกว่านั้น เรือลํานั้นยังไม่มีความสามารถที่จะต่อกรกับพวกเขาได้
ตามกฎของแม่มด เหล่าแม่มดจะต้องรักษาคําสัญญาของตน เพราะหากว่าตนเองละเมิดคําสัญญาผลที่ตามมาคือพวกเขาจะสูญเสียทั้งเวทมนตร์และการมองเห็นที่ตนเองมีไปถ้างั้น
เธอเลยจําเป็นที่จะต้องทําให้เยคาเทริน่าผิดคําสัญญาและกลับมาด้วยตัวของเธอเอง
“กลับมาซะ เยคาเทริน่า เวทมนตร์นะเป็นของพวกเรา”