ตอนที่ 91 แม่มดศตวรรษที่ 21 (3)
ความต้องการขั้นต่ำที่สุดเพื่อที่จะประสบความสําเร็จในการเคลียร์ดันเจี้ยนได้นั้นอย่างน้อยจําเป็นที่จะต้องมีฮันเตอร์แรงค์ S 3 คนและฮันเตอร์แรงค์ A 20 คน
ดังนั้นเพื่อที่จะทํางานโจมตีดันเจี้ยนแรงค์ SS ซึ่งได้รับการเรียนขานว่าเป็นดันเจี้ยนที่ “ไม่ธรรมดา” ได้มันจะต้องมีฮันเตอร์เท่าไหรกันที่ใช้ในการลงดันแบบนี้หละ?
คําตอบก็คือ อย่างน้อยก็ต้องมีฮันเตอร์แรงค์ SS หนึ่งคน แน่นอนว่าคุณก็สามารถที่จะประสบความสําเร็จด้วยเหล่าฮันเตอร์แรงค์ S หลายสิบคนได้เหมือนกัน
มันถือเป็นเรื่องที่โชคดีมากๆ เพราะว่างานเลี้ยงแห่งนี้ มีเหล่ายอดมนุษย์แรงค์ S รวมตัวกันอยู่เป็นจํานวนมาก จํานวนของเหล่ายอดมนุษย์แรงค์ S ทั้งหมดที่ปรากฏตัวอยู่ที่นี่ก็มีจํานวนราวๆ 40 คน ซึ่งเป็นฮันเตอร์แรงค์ S ประมาณ 10 จากกิลด์โมเรียน
เหล่าอัศวินแรงค์ S มีความสามารถที่อย่างน้อยที่สุดก็สามารถเอาชนะมอนสเตอร์แรงค์ A ลงได้
ถึงแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้น แต่เพื่อที่จะล่าเหล่ามอนสเตอร์ได้อย่างมีประสิทธิถาพ เหล่ายอดมนุษย์ “ฮันเตอร์” เป็นสิ่งที่จําเป็นมากว่าอัศวิน
ทําไมนะเหรอ? ก็เป็นเพราะว่าความสามารถของอัศวินนั้นมีดีแค่ความสวยงามเท่านั้น มันอาจจะครอบคลุมแต่ไม่มีประสิทธิภาพในการต่อกรกับเหล่ามอนเตอร์เลย
“เชี่ยเอ้ย ไอ้บ้านั้นมันจุดไฟบนหัวของมอนสเตอร์!”
“เฮ้! มันอ้าปากแล้ว ถอยออกมาเร็ว!”
“ไอ้อัศวินห่านี้! ถ้าเอ็งไม่รู้ว่าจะต้องล่ามอนสเตอร์ยังไง ก็ยืนเฉยๆไปซะ”
“อ้า! พลังถึงโดนกูเฟ้ย!”
ด้วยการล่าที่ไร้ซึ่งประสิทธิภาพแถมยังสร้างความเสียหายให้กับพรรคพวกของตนเองด้วยเช่นกัน
มากไปกว่านั้น เหล่ามอนสเตอร์นั้นมีโครงสร้างร่างกายที่แตกต่างไปจากมนุษย์ พวกเขาไม่ควรที่จะโจมตีไปที่มอนสเตอร์เหล่านั้นด้วย “จุดอ่อน” เดียวกันกับมนุษย์
นอกจากนี้แล้ว มันมีเพียงแค่สิ่งเดียวเท่านั้นที่อัศวินเหล่านี้รู้ ดังนั้นพวกเขาจะไปทําอะไรได้?
พวกเขาเติบโตขึ้นมาผ่านการต่อสู้กับเองด้วยการลับคมเทคนิคการต่อสู้ที่ใช้สําหรับการต่อกรกับมนุษย์เท่านั้น
ความสามารถในการต่อสู้ทั้งหมดของพวกเขาไม่ได้รุนแรงถึงชีวิต มันไม่นับว่าเป็นอะไรเลยนอกไปจาก “การแสดง” เพื่อสร้างความบันเทิงให้กับผู้ชมทั้งหลายด้วยพลังพิเศษที่สวยงามและทรงพลัง
ถ้าหากว่าอีกฝ่ายโจมตีมาแบบนี้ ตนเองจะต้องป้องกันแบบนี้และจะต้องโจมตีสวนกลับแบบนั้น และก็ต้องป้องกันตอบแบบโน้น นี้คือสิ่งที่มันเป็นของการต่อสู้กันระหว่างเหล่าอัศวิน
แน่นอนว่ามันก็ไม่ได้แย่ไปซะทั้งหมดหรอก ด้วยการฝึกฝนซ้ำๆกันแบบนี้ พวกเขาเลยสามารถที่จะตอบสนองได้ในทันทีเมื่อสถานการณ์แบบนั้นเกิดขึ้น มันเป็นเรื่องที่ดีที่สามารถใช้งานพลังพิเศษที่เชื่องช้าได้ในทันทีที่มีสถานการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นอย่างไรก็ตามมันจะมี “สถานการณ์” แบบนั้นก็เกิดทุกครั้งเหรอ?
การต่อสู้กับมอนสเตอร์ต้องใช้วิธีการที่แตกต่างไปจากต่อสู้กับมนุษย์ด้วยกันเอง พวกมอนสเตอร์ไม่ได้มีรูปแบบการโจมตีของตัวเองแบบตายตัว
ผู้คนต่างพากันคลั่งไคล้ “อัศวิน” และเหล่าอัศวินเองก็ใช้ชีวิตด้วยความภาคภูมิใจด้วยความคิดที่ว่าพลังพิเศษของตนเองแข็งแกร่งว่าเหล่าฮันเตอร์ทั่วไปเป็นอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม เหตุผลที่ว่าทําไมคนทั่วไปถึงได้คิดว่าเหล่าอัศวินมีความสามารถที่ทรงพลังกว่าเหล่าฮันเตอร์นั้นเป็นเพราะว่าเหล่าฮันเตอร์ทั้งหลายมองในเรื่องของประสิทธิ์ภาพเหนือสิ่งอื่นใด พวกเขาจะไม่ทําเรื่องที่ไร้ประโยชน์อย่างการเคลื่อนไหวสวยงามพวกนั้นมากเท่าที่จะเป็นไปได้
เหล่าอัศวินทั้งหลายแน่นอนว่าเป็นเหล่ายอดมนุษย์ที่มีความสามารถที่ยอดเยี่ยม แต่ถึงอย่างนั้น พวกเขาก็ไม่นับว่าเป็นอะไรเลยนอกไปจากมือใหม่เมื่อพูดถึงเรื่องการจัดการกับมอนสเตอร์
ใช่แล้ว หลังจากที่ทางเข้าของดันเจี้ยนที่บิดเบี้ยวได้ระเบิดออก คนพวกนี้สามารถที่จะรับมือได้เป็นอย่างดีต้องขอบคุณความแข็งแกร่งของพวกเขาแต่ว่าเมื่อฝูงมอนสเตอร์แรงค์ S เริ่มปรากฏตัวขึ้นมา คนพวกนี้ก็ค่อยถูกดันกลับไป
เหล่าอัศวินทั้งหลายได้รับรู้เป็นครั้งแรก
เกี่ยวกับโลกใบนี้ที่ที่เหล่าฮันเตอร์ทั้งหลายที่พวกตนไม่เคยใช้ความสนใจใช้ชีวิตอยู่
เกี่ยวกับสนามรบกับมอนสเตอร์จริงๆ
พวกตนมักจะใช้ชีวิตในแบบของชนชั้นสูง พวกเขาคิดเอาเองว่า ตนสามารถที่จะล้มพวกมอนสเตอร์หน้าโง่พวกนั้นได้อย่างง่ายๆอยู่แล้ว
แต่นั้นเป็นเพียงแค่ความหยิ่งผยองที่ไร้สาระเท่านั้นเอง เหล่าอัศวินทั้งหลายจากทั้งเจ็ดตระกูลได้รับรู้ถึงความจริงเรื่องนี้ก็ในวันนี้เอง
แคร็ก!! แคร็ก!!
ทางเข้าของดันเจี้ยนที่บิดเบี้ยวถูกฉีกกระชากออกและบางสิ่งบางอย่างได้เบียดลอดผ่านมันมา มันเป็นหัวของมอนสเตอร์ขนาดมหึมาที่มีผิวสีฟ้าและดาวตาสีแดง เจ้ามอนสเตอร์ตัวนี้อ้าปากออกและคํารามออกมา
กร้ากกกกกก!!
ประกายอีเทอร์ปะทุขึ้นกระจายไปทั่วทั้งงานเลี้ยงแห่งนี้
วูงงงงง!!
เสียงน่ารําคาญที่ระบุไม่ได้ปกคลุมไปทั่วทั้งห้องโถงแห่งนี้ ไม่อาจทราบได้เลยว่ามันเป็นเสียงร้องคํารามของมอนสเตอร์หรือเสียงของมิติที่ถูกฉีกกระชากออกจากกัน และในตอนที่ “ไฟนอลบอส” ได้หลุดออกมาจากดันเจี้ยนที่บิดเบี้ยวในจนหมดทั้งตัว ทุกคนที่อยู่ที่นี้ก็ต่างพากันสูญเสียจิตวิญญาณในการต่อสู้ไปจนหมดสิ้น
เพดานของตึกแห่งนี้พังลงมาและแสงของพระจันทร์เต็มดวงก็ได้สาดส่องลงมาที่พวกเขาโดยตรง อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่อาจที่จะมองเห็นท้องฟ้าได้เลยเพราะว่าร่างกายของมอนสเตอร์ขนาดมหึมาได้บดบังทุกสิ่งที่พวกเขามองเห็นได้
นี้เป็นมอนสเตอร์ตัวเป็นๆ
จนถึงในตอนนี้เอง เหล่าฮันเตอร์ทั้งหมดที่อยู่ในโลกใบนี้ต่างก็ต่อสู้กับสิ่งมีชีวิตเช่นนี้
“อ้า…………..”
แม้แต่เหล่าอัศวินแรงค์ S จะถอยหลังกลับไปอย่างช่วยไม่ได้
ทําให้เหลือเพียงแค่เหล่าฮันเตอร์เท่านั้นที่ยังเผชิญหน้ากับมอนสเตอร์แรงค์ SS ตนนี้อยู่
มองไปทางเจ้ามอนสเตอร์ขนาดมหึมาตัวนั้น เทเลอร์กําหมัดของเธอแน่น
เธอพยายามที่จะนึกย้อนไปถึงประสบการณ์ในอดีตและความรู้ที่เธอมี สิ่งเธอได้แบ่งปันมันกับเพื่อนร่วมงานของเธอเมื่อนานมาแล้ว
“เฮ้ ไม่ใช่ว่าวิธีจัดการกับไอ้พวกตัวบินได้เราแค่ต้องโจมตีไปที่ปีกของมันไม่ใช่หรือไป?”
“นี้เธอบ้าไปแล้วหรือไง? ครั้งล่าสุดที่ฉันแตะโดนปีกของมัน พิษได้กระจายออกมาทําเอาฉันเกือบล่วงแนะ
“ซอดัมพูดถูกแล้ว พวกบินได้บางตัวก็มีใบมีดอยู่ที่ปีกของมันด้วยนะ
“โดยพื้นฐานแล้ว มอนสเตอร์นะเป็นสิ่งมีชีวิตที่ได้รับการวิวัฒนาการอย่างง่ายๆ จุดที่อ่อนแอที่สุดของมันเป็นจุดที่จะได้รับการปกป้องด้วยวิวัฒนาการนั้นแหละ”
ผ่านประสบการณ์ในการรับมือกับมอนเตอร์จํานวนมหาศาลที่เธอเคยได้เผชิญมา เทเลอร์สามารถร่าง กลยุทธ์รับมือที่เหมาะสม เพื่อที่จะใช้ในการจัดการกับมอนสเตอร์ทุกรูปแบบได้ ซึ่งพวกเขาไม่ควรที่จะโจมตีมันตรงๆด้วยการอาศัยพลังพิเศษของตนเองแบบโง่ๆ
“ฉันทํามันได้”
มียอมมนุษย์แรงค์ S ราวๆ 50 คนที่นี่เมื่อบวกกับกลยุทธ์ที่เหมาะสม พวกเขาสามารถที่จะกําจัดมอนสเตอร์แรงค์ SS จํานวนเท่าไหรก็ได้
เธอลากไม้เบสบอลของเธอและตรงไปหาพ่อของเธอ อเล็กซานเดร บลิสแตน ไม้เบสบอลของเธอเป็นอุปกรณ์เสริมที่พ่อและน้องเธอต่างมองมันด้วยสายตาดูถูก มองมันเป็นสัญลักษณ์ของความอ่อนแอสําหรับใครก็ตามที่ไม่สามารถที่จะควบคุมพลังพิเศษของตนเองได้และต้องพึ่งพาสิ่งของเข้าช่วย
แต่ในตอนนี้ เทเลอร์ไนน์ ควงมันด้วยความภาคภูมิใจและยืนอยู่ต่อหน้าพ่อของเธอด้วยความมั่นใจ
“เฮ้ ไม่เห็นจะมีอะไรที่ต้องกังวลเลย เดวส่วนงานฝ่ายฮันเตอร์ป้องกันเมืองหลวงก็ถูกส่งออกมาเองแหละ และพวกเขาก็คงจะมาถึงก่อนที่ความเสียหายก็แย่ไปมากกว่านี้อยู่แล้ว”
นั้นก็ถูกแล้ว รัสเซียเป็นมหาอํานาจในเรื่องของพลังพิเศษ มันไม่มีทางเลยที่พวกเขาจะอยู่เฉยๆและมองภัยพิบัติเกิดขึ้นที่ใจกลางของกรุงมอสโก
ถึงจะเป็นอย่างนั้น แต่ถ้าหากว่าพวกเขามาถึงที่นี้และเอาชนะเจ้าสัตวประหลาดนั้นได้หละก็
“ เหล่าอัศวินจากทั้ง 7 ตระกูลไม่มีพลังมากพอที่จะเอาชนะมอนสเตอร์แรงค์ SS ลงได้จึงได้ขอความช่วยเหลือออกไป! ฉันว่านี้คงจะเป็นหัวข้อข่าวที่ถูกตีพิมพ์ออกไปในเร็วๆนี้แน่”
เธอพูดออกมาอย่างจงใจไปที่พี่น้องทั้งหมดของเธอด้วยเสียงดังพอที่จะให้พวกเขาทั้งหมดได้ยิน แต่ไม่มีใครสักคนที่พูดขัดเธอออกมา ดังนั้นเทเลอร์ไนน์จึงได้พูดต่อ
“แต่ว่า ฉันเองก็เป็นฮันเตอร์เหมือนกัน”
เธอปฏิเสธยศอัศวิน
“ฉันรู้ว่าจะต้องจัดการกับเจ้ามอนสเตอร์นั้นได้ยังไง เพราะฉันคือเทเลอร์ ไนน์” ที่เป็นฮันเตอร์”
และ
“แล้วถ้าหากว่าฉันล้มเจ้ามอนสเตอร์ตัวนั้นลงด้วยชื่อของเทเลอร์ “บลิสแตน” อัศวินของตระกูลบลิสแตนหละ?”
ถ้าหากเป็นแบบนั้น ตราบาปอันแสนน่าละอายใจจากการล้มเจ้ามอนสเตอร์ตัวนั้นลงด้วยความช่วยเหลือของเหล่าฮันเตอร์ก็จะไม่เกิดขึ้น นัยน์ตาของอเล็กซานเดรหรี่ลง เขารู้ความหมายของสิ่งที่เทเลอร์พูดออกมา
มันดูเหมือนว่าเทเลอร์ต้องการที่จะปฏิเสธแนวความคิดที่เขาไล่ตามมาตลอดทั้งชีวิตของตนเอง อย่างไรก็ดีเขาจําเป็นที่ต้องละทิ้งความภาคภูมิใจของตนเองและจัดการกับเรื่องนี้ให้สมกับเป็นผู้นําของตระกูลบลิสแตน
“เธอต้องการอะไรเป็นการตอบแทน?”
“หากว่าฉันล้มเจ้านั้นได้ด้วยชื่อของบลิสแตน คุณจะต้องปลดฉันออกจากตระกูลตลอดไป”
ไม่มีเลยแม้แต่เศษเสี้ยวของความกังวลใจในน้ำเสียงของเธอ
เธอหมดสิ้นความรู้สึกพวกนั้นไปเนินนานแล้วหลังจากที่ตระกูลบ้านได้ปฏิเสธตัวตนของเธอและในตอนนี้ก็เป็นครั้งแรกเลย ที่เธอพูดว่าเธอจะช่วยเหลือตระกูลนี้แม้ว่ามันจะเป็นการกระทําครั้งสุดท้ายสําหรับเธอด้วยก็ตาม
“โอเค ข้าตกลง”
ในท้ายที่สุด อเล็กซานเดรก็ได้ตอบตกลง และเทเลอร์ก็ได้ตะโกนไปยังเหล่าอัศวินทั้งหลายด้วยน้ำเสียงที่ดังกึกก้องพร้อมกับการแสดงออกที่ตื่นเต้น
“นับจากนี้ ฉันจะเป็นคนบอก “กลยุทธ์ที่เหมาะสม สําหรับจัดการกับเจ้ามอนสเตอร์นั้นเอง ดังนั้นมันจะดีมากหากว่าเหล่าอัศวินอันทรงเกียรติทั้งหลายทําตามสิ่งที่ฉันจะสั่ง”
เธอเป็นคนที่อยู่ไกลจากสิ่งที่เรียกว่า “ความเป็นผู้นํา” และเธอยังเป็นคงที่สั่งการได้แย่รวมไปถึงการใช้คําอธิบาย ดังนั้นเธอเลยถ่ายทอดข้อมูลที่จําเป็นไปแบบง่ายๆและไม่สนใจท่าทางหรือมารยาทเลย
“ถ้าหากว่าพวกแกแตะไปที่คอของไอ้เจ้าทารกนั้น มันจะเบิดปากออกมาใช่ไหม? งั้นพวกเอ็งไม่ควรที่จะแตะมันเลยสักคนก่อนที่ฉันจะบอกให้ทํามัน”
“เฮ้ ไอ้โง่นี่! ฉันบอกว่าไม่ใช่แกแตะมันก่อนที่ฉันจะสั่งไง!”
“อย่าตีไปที่ปีกของมันให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เข้าใจ? แต่ถ้าหากว่าพวกเอ็งไม่เชื่อหละก็ ลองดูเลย! อัศวินที่เหลือจะได้ใช้ความตายของเอ็งเป็นตัวอย่าง เป็นสิ่งที่ดีที่พวกเอ็งทั้งหลายที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจมันไร้ประโยชน์ จะได้หายไปจากโลกใบนี้ซะ ถือเป็นการยิงปืนนัดด้วยได้นกสองตัวเลย!”
เธอแยกความแตกต่างออกอย่างชัดเจนระหว่าง “ห้ามทํา” และ “ต้องทํา”
“เงียบปากและเล็งไปที่หางของมัน! อย่ายืนเฉยๆและพุ่งเข้าไปซะ”
“ไอ้โง่ที่ไหนส่องแสงไปที่ตาของมันหะ? นี่แกลืมสิ่งที่ฉันบอกไปก่อนหน้านี้หรือไง? ว่าไม่ให้ทําให้ตาของมันระคายเคืองด้วยแสง!”
“เฮ้ ให้ฉันคิดสักแปบสิแต่ถ้าหากเอ็งจะแตะเล็บนั้นหละก็มันจะระเบิดออก รู้ใช่ไหมว่ามันหมายความว่าอะไร? ช่างมันเถอะ ฉันจัดการมันเองดีกว่า”
แผนการของเธอวางอยู่บนพื้นฐานของความรู้และวิธีรับมือซึ่งเหล่าฮันเตอร์ทั้งหลายต่างพวกกันศึกษามานานหลายสิบปีในขณะที่ได้ต่อสู้กับมอนสเตอร์เหล่านั้น เธอไม่มีเวลาพอที่จะมานั่งอธิบายมันทั้งหมด ยังไงซะ เธอก็ได้แสดงมันทั้งหมดออกไปด้วยการกระทําของเธอเอง
ส่วนเหตุผลที่ว่าทําไมเธอถึงได้ไม่กลัวได้เจ้ามอนสเตอร์แรงค์ SS ตัวนี้นั้นเป็นเพราะว่าเธอรู้เกี่ยวกับมอนสเตอร์ตัวนี้เป็นอย่างดี
เช่นเดียวกันกับพวกที่มียศอัศวิน อเล็กซานเดรก็ถูกบังคับให้ทําตามคําสั่งของเทเลอร์ไนน์เช่นกัน และเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกไปจากเสียใจไปกับการตัดสินใจของตนเองกับการปลดเทเลอร์ออกจากตระกูล
เพราะว่า
“มันช่างเป็นแสงที่เปล่งประกาย”
ความสามารถที่เทเลอร์กําลังใช้งานอยู่ในตอนนี้คล้ายกับสิ่งที่อยู่ในอุดมคติของอเล็กซานเดรเป็นสิ่งที่เขาไล่ตามมาทั้งชีวิตของเขาเอง
บลิสแตนมีเด็กๆทั้งหมด 9 คนและพวกทั้งหมดหมดก็มีความสามารถในการจัดการกับแสงแต่พวกเขาแต่ละคนมีความสามารถในการจัดการกับ “รูปแบบ” ที่เฉพาะเจาะจงเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
บางคนก็สร้างแท่งแสงขึ้นมา บางก็ยิงแสงออกไปคล้ายกับว่าเป็นกระสุนได้ บางก็ยิงออกไปทั้งลําแสงและวาดมันไปมาได้ และบางก็สร้างโล่จากแสงขึ้นมาได้
สุดท้ายแล้ว ญาติพี่น้องทั้งหมดของเธอต่างก็เผชิญกับขีดจํากัดของตนเองและไม่มีสักคนเลยที่ไปถึงแรงค์ SS ได้
แต่ว่านี่มันไม่ใช่ว่าลูกสาวที่คนเล็กที่เขาคิดว่าอ่อนแอที่สุดในตระกูลสามารถที่จะใช้ทุกรูปแบบได้อย่างอิสระไม่ใช่หรือไงกัน?
เทเลอร์ไนน์จัดการกับแสงได้อย่างอิสระ
บางครั้งเธอก็ควงกระบองแสง บางครั้งก็กลายเป็นกระสุน และบางครั้งมันก็กลายเป็นโล่แสง นอกไปจากทั้งแปดรูปแบบที่ญาติพี่น้องของเธอใช้ เธอยังสามารถที่จะใช้งานรูปแบบแสงที่พ่อของเธอมีได้ “ดาบแห่งแสง
เป็นยอดมนุษย์ที่เปลี่ยนแปลงได้ทุกรูปแบบและปรับแต่งแสงได้ด้วยตัวเธอเอง
อเล็กซานเดรถึงกับตัวสั่นเทาต่อหน้าความจริงที่ว่าลูกสาวคนเล็กสุดของเขา เทเลอร์ บลิสแตน ได้เข้าใกล้ที่จะเป็นหนึ่งในแรงค์ SS มากที่สุดจากคนทั้งหมดในตระกูล เขาได้ทอดทิ้งใครบางคนที่สามารถจะทําให้ความฝันอันแสนยาวนานในการเป็นแรงค์ SS อันทรงเกียรติเป็นจริงได้ไปเสียแล้ว
“นี่ข้าทําบ้าอะไรลงไป..!?
เกียรติของวงตระกูล? เงินทอง? ชื่อเสียง? การเมือง? ทั้งหมดนั้นเป็นสิ่งที่ดี แต่เหตุผลที่ว่าทําไมเขาถึงได้เลี้ยวดูลูกๆของตนเองอย่างเข้มงวดก็เพื่อที่จะให้พวกเขาได้เป็นยอดมนุษย์แรงค์ SS ที่อยู่ในระดับที่เขาไม่อาจจะก้าวไปถึง
“นี่มัน อะไร…”
“เธอใช้พลังพิเศษแบบนั้นได้ยังไงกัน?”
ความสามารถที่เทเลอร์ไนน์ได้แสดงออกมาในตอนนี้เป็นรูปแบบรูปแบบหนึ่งของยอดมนุษย์ที่ได้รับการอวยพรด้วยพรของพระเจ้า คนพวกนี้จะไม่ได้รับการกําหนด “รูปแบบ” ความสามารถแบบตายตัวและสามารถที่จะเปลี่ยนแปลง “รูปแบบ” ของมันได้อย่างอิสระเช่นเดียวกันกับเทเลอร์
ตึง!!
เมื่อมอนสเตอร์แรงค์ SS ตัวนี้ล้มลง ผู้คนทั้งหลายต่างพากันโห่ร้องด้วยความดีใจ
ทุกคนต่างตกตะลึงในความสามารถอันยิ่งใหญ่ของเทเลอร์ไนน์ พวกเขาหลุดพ้นจากวิกฤตที่เกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัวครั้งนี้ได้สําเร็จ แต่ไม่มีใครสักคนเลยที่สามารถผ่อนคลายได้จริงๆ เพราว่าดันเจี้ยนที่บิดเบี้ยวยังคงเปิดอยู่และสัตว์ร้ายอีกนับพันต่างรอคอยที่จะโผล่ออกมา
ทันใดนั้นเอง ละอองแสงทั้งเจ็ดสีก็ได้เทลงมาจากท้องฟ้า ผู้คนต่างพากันมองไปที่มันด้วยสายตาที่เหม่อลอย พวกเขาเห็น “นักเวทย์” คนหนึ่งได้ลงมาจากท้องฟ้าด้วยเส้นผมที่พลิ้วไหวของเธอ
เวทมนตร์ เป็นศาสตร์ที่ใช้แก่นพลังงานเป็นแหล่งพลังงาน มันเป็นสิ่งที่หัวหน้าของกิลด์โมเรียน เอวาน ได้บอกพวกเขา อย่างไรก็ตาม เวทมนตร์ที่เธอแสดงนั้นคล้ายคลึงกับพลังพิเศษทั่วๆ ไป ถ้าหากว่าเธอไม่ได้อธิบายมัน พวกเขาก็คงจะคิดว่ามันเป็นพลังพิเศษ “สายธาตุ” รูปแบบหนึ่งเท่านั้นเอง
นั้นเป็นระดับความรู้ที่พวกเขามีในเรื่องของ “เวทมนตร์”
เอวานก็คิดว่านั้นเป็นทั้งหมดแล้วที่เวทมนต์สามารถทําได้เช่นกัน
แต่มันไม่ใช่แบบนั้น
ที่พวกเขาคิดแบบนั้นมันเป็นเพราะว่าพวกเขายังไม่เคยได้เจอกับนักเวทมนตร์ที่เก่งที่สุดบนโลกใบนี้ต่างหาก
เวทมนตร์ที่เป็นของ “แม่มด” ที่แท้จริงผู้ที่มีพรสวรรค์อันหาที่เปรียบมิได้ซึ่งแข็งแกร่งยิ่งกว่าตัวยูซอดัม คนที่สอนเธอเกี่ยวกับเวทมนตร์และเจ้ากระถางดอกไม้ที่ดูราวกับว่าเป็นเวทมนตร์ด้วยตัวมันเอง
“นั้นมัน…สิ่งนี้มัน…!”
“นี่มัน…เวทมนตร์ใช่ไหม..?”
ถึงแม้ว่าจะไม่มีใครสักคนอธิบายมันออกมา พวกเขาก็รู้ดีว่าสิ่งที่กําลังเกิดขึ้นต่อหน้าพวกเขาทุกคนในตอนนี้นั้นคือเวทมนตร์
วงเวทย์ทั้งสี่ที่มีสีแตกต่างกันได้เชื่อมต่อเข้าด้วยกันราวกับว่ามันเป็นฟันเฟือง และ พลังที่สุดแสนตระการตาได้ไหลทะลักออกมาจากมันนั้นไม่อาจที่จะอธิบายเป็นอื่นใดได้เลยนอกไปจากสิ่งที่เรียกว่าเวทมนตร์
บางครั้ง โซน้ำแข็งที่โปร่งแสงก็ได้โพล่ออกมาและเจาะทะลุร่างกายของสัตว์ร้ายพวกนี้ บางครั้งลูกบาศขนาดยักษ์ก็ได้ถูกสร้างขึ้นกลางอากาศและทิ้งลงไปเพื่อบดขยี้สัตว์ร้าย และในบางครั้งพื้นที่บางแห่งก็ได้ถูกฉีกกระชากออกและลาวาก็ได้ไหลทะลักออกมาเผาไหม้ศัตรูเหล่านี้
จอมเวทคนนั้นได้ร่อนลงด้านหน้าของทางเข้าดันเจี้ยนแห่งนี้ในท้ายที่สุด และ จับวงเวทย์ขนาดใหญ่ด้วยมือของเธอเอง
วิ้งงงงงงงงง!
ราวกับปาฏิหาริย์ หัวของมอนสเตอร์ที่โผล่ออกมาจากต้นในของดันเจี้ยนถูกตัดออกมาพร้อมกันกับที่ “ทางเข้า” ได้ปิดลงโดยสมบูรณ์
“….”
“……”
เงียบสนิท
ทุกคนถูกบังคับให้หุบปากของตนเองลงต่อหน้าจอมเวทย์ผู้มีเส้นผมสีขาวที่ได้แสดงตัวออกมาด้วยตัวตนที่เหนือล้ำ ในขณะเดียวกันกับที่เธอค่อยๆหันหน้ากลับไปและมองไปยังโลกใบนี้ด้วยดวงตาที่โปร่งใส กล้องก็ได้หันไปที่เธออย่างรวดเร็ว
“ค..คุณเป็นใครกันแน่?”
แล้วเยคาเทริน่าก็ยิ้มออกมาอย่างเจิดจ้า รอยคล้ำใต้ตาของเธอและดวงตาที่เหยื่อล้าของเธอที่ไม่ว่าใครก็มองเห็นได้ แต่ในวันนี้มันเป็นวันที่เธอมีความสุขมากที่สุดจากทั้งชีวิตที่ผ่านมาของเธอ
“ฉันชื่อเยคาเทริน่า เป็นนักเวทย์จาก “อนาเตอร์กิลด์”