ตัวเอกพวกนั้นฉันฆ่าเองแหละ – ตอนที่ 73

ตอนที่ 73

“นี่พวกคุณกำลังพูดถึงเรื่องของคนจากมูริมอยู่งั้นหรือคะ?”

ในเวลาเดียวกันในตำแหน่งที่ไกลออกไปจากสถานที่จัดแสดงคอนเสิร์ต

ชินฮเยจีได้เจอกับฮาซุนยัง,แดเนียล และอีดูฮัก ที่มันเป็นแบบนี้ก็เพราะว่าหัวหน้ากิลด์ของเธอ ยูซอดัมได้บอกให้เธออยู่ให้ห่างออกไปจากโถงจัดแสดงคอนเสิร์ตในครั้งนี้

มันเป็นเหตุผลที่ว่าทำไปเธอถึงได้ตามเพื่อนร่วมกิลด์ของเธอ ฮาซุนยัง มา ก็กลับกลายเป็นว่าเธอกลับได้ยินเรื่องราวแปลกๆจากคนพวกนี้แทน

“ใช่แล้วหละครับ คุณชินฮเยจี พวกเราทั้งหมดที่เป็นคนที่มาจากมูริมนะคือคนที่ตกอยู่ภายใต้ข้อห้าม คุณรู้เรื่องนี้ใช่ไหม?”

เมื่อแดเนียลถามออกไป ชินฮเยจีก็ได้พยักหน้าตอบ

“โอ้ อ้า อ้า ใช่ค่ะ มันเป็นกฎที่ไม่ได้เขียนเอาไว้ของคนจากมูริมไม่ใช่หรือคะ?”

“มันไม่ใช่แบบนั้นซะทีเดียวนะสิครับ”

คนทั่วไปไม่ได้รู้เกี่ยวกับข้อห้ามที่ผูกมัดเหล่าผู้หวนคืนต่างมิติเอาไว้อย่างแท้จริง พวกเขารู้เพียงแค่สาระสำคัญของมันจากเหล่าฮันเตอร์ที่มีประสบการณ์หรือผู้คนจากมูริมเท่านั้น

แดเนียลและอีดูฮัก ปลดกระดุมของตัวเองออกเพื่อโชว์หน้าอกของตน แสดงรอยสักสีแดงที่อยู่บนผิวหนังตรงหน้าอกของพวกเขาให้เธอได้เห็น

“นี่เป็น ‘ข้อห้าม’ ที่บังคับให้พวกเราทั้งหมดไม่อาจที่จะใช้งานมูกงได้ครับ หากว่าพวกเราคนใดก็ตามใช้งานมูกงออกไปพวกเขาจะถูกฆ่าโดยทันทีด้วยน้ำมือของเดอมาร์สูงสุด”

“หะ? ด-เดอมาร์!? นี่พวกคุณกำลังพูดถึงพ่อของฉันเหรอคะ?”

“ถูกต้องแล้วหละ คุณชินฮเยจี คนๆเดียวที่ได้วางข้อห้ามนี้เอาไว้บนตัวของพวกเราทั้งหมดก็คือเดอมาร์สูงสุด พ่อของคุณเองยังไงหละครับ”

ชินฮเยจีตกอยู่ในห้วงความคิดไปชั่วขณะหนึ่งก่อนที่เธอจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทา

“น-นี่ไม่ใช่เรื่องดีหรือคะ? ก็ในเมื่อผู้คนจากมูริมมักจะเกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุต่างๆอยู่เสมอแล้วหละก็…”

“…มันมีหลักฐานไหมครับที่บอกว่าคนจากมูริมมักจะทำให้เกิดอุบัติเหตุเสมอนะ? คุณชินฮเยจี พวกเราคนจากมูริมนะก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากเหล่ายอดมนุษย์หรอกนะครับ ไม่เลยสักนิด แล้วคุณรู้ไหมว่าพื้นฐานของมูฮยอบนั้นเริ่มมาจากเรื่องของการคงความมีสติเอาไว้ มันเป็นการบอกได้เลยว่าพวกเรานะมีความสามารถในการยับยั้งชั่งใจที่ดีกว่าเหล่ายอดมนุษย์เสียอีกนะครับ”

“แล้ว ทำไมพ่อถึงได้…ห้าม?”

เธอไม่เข้าใจเลย

“เขาบอกว่า…เขาไม่ต้องการให้มูกงมีตัวตนอยู่บนโลก”

“อะไรนะคะ?”

ใช่แล้ว เรื่องราวทั้งหมดนี้มันเต็มไปด้วยคำพูดที่เข้าใจได้ยาก

“แล้วทำใมเหล่าผู้คนที่รู้ว่าตัวเองจะไม่สามารถใช้พลังได้จะต้องย้อนกลับมาที่โลกตั้งแต่แรกด้วยหละคะ? ทำไมพวกเขาถึงไม่เลือกที่จะอยู่ที่มูริม?”

“นั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย ในตอนที่เดอมาร์ได้เปิดเส้นทางข้ามมาสู่โลก เหล่าผู้คนจากโลกทั้งหมดที่อยู่ในมูริมจะถูกบังคับให้กลับไปพร้อมกับเขาครับ”

เหล่าคนที่ยังคงต้องการจะฝึกฝนมูกงของพวกเขาเองต่อ เหล่าคนที่ชื่นชอบการต่อสู้ และเหล่าคนที่คิดว่ามูกงเป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของพวกเขา

และรวมไปถึงคนบางคนที่ได้มีความสัมพันธ์ที่นั้น ไม่ว่าจะเป็นญาติพี่น้องที่เกิดจากการ่วมรบไปด้วยกัน หรือแม้แต่เหล่าคนที่มีลูกและอาจารย์ที่ได้สร้างครอบครัวของตัวเองด้วยความตั้งใจที่จะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ของตนเองที่นั้น

พวกเขาทั้งหมดนี้ถูกบังคับให้กลับมาที่โลก

“จริงๆแล้ว เหตุการณ์ความรุนแรงต่างๆจากชาวมูริมบนโลกก็เนื่องมาจาก ‘ข้อห้าม’ นี่หละ หากว่ามันไม่ใช่เพราะสิ่งนี้แล้วพวกเขาก็คงยังสงบอยู่ได้”

เมื่อชินฮเยจีมูสนสันไปหมดกับเรื่องราวที่ได้ฟัง อีดูฮักก็ได้พูดต่อ

“ใช่แล้ว ตามจริงแล้ว ข้าหนะต้องการที่จะกลับมาที่โลก ดังนั้นฉันเลยตั้งใจที่จะยอมรับข้อเรียกร้องไม่ว่าอะไรก็ตาม”

“อย่างนั้นเหรอค? เยี่ยมไปเลย ฉันนะ…”

“ข้านะดีใจมากเลยที่ได้ยินเรื่องนั้น ในตอนแรก ด้วยการที่ตัวข้าเองก็เป็นใครสักคนที่มาจากมูริม ข้าเองก็กลัวว่ามันอาจจะมีสิ่งที่เกิดขึ้นถ้าหากว่ามูกงได้แพร่กระจายออกไปสู่โลกโดยบังเอิญเช่นกัน…แต่ว่านะ เดอมาร์ คนที่ได้สร้างข้อห้ามขึ้นมากลับเป็นคนที่ทำลายข้อห้ามนั้นด้วยการสอนมูกงให้กับลูกสาวของเขาเสียเองและแม้แต่ตัวของเขาเองก็ยังไปทำงานเป็นฮันเตอร์ภายใต้นามแฝง ฮงยอบซา”ถ้าหากว่าเดอมาร์วางตัวเองเอาไว้เป็นตัวอย่างด้วยการทำตามข้อห้ามพวกนั้น ผู้คนจากมูริมก็คงจะใช้ชิวิตอยู่ต่อไปในเงามืดนี้ตลอดทั้งชีวิตของพวกเขา

อย่างไรก็ตาม เขากลับแหกข้อห้ามทั้งหมดที่ตนเองได้สร้างเอาไว้

ห้ามไม่ใช้ติดต่อกัน

ห้ามไม่ให้สอนมูกงให้คนอื่น

ห้ามไม่ให้ใช้มูกง

“อ้า…”

ชินฮเยจีกัดริมฝีปากของเธอ

เรื่องราวทั้งหมดนี้เกิดขึ้นก็เพราะเธอ

เรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะเธอ ทำให้พ่อของเธอถูกต่อต้านจากชาวมูริมทั้งหมด

‘ถ้าหากว่าฉันไม่ได้ทำแบบนั้น’

ถ้าหากว่าเธอไม่ได้ขอร้องให้เขามาเป็นพ่อของเธอ…ถ้าหากว่าเธอไม่ได้ฝืนตัวเธอเองให้กลายมาเป็นฮันเตอร์โดยที่ตัวเธอเองไม่ได้มีพลังพิเศษอะไรเลย เรื่องราวทั้งหมดนี้ก็คงจะไม่ได้เกิดขึ้น

ในขณะที่ชินฮเยจีโทษทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นว่าเป็นความผิดของเธอ ฮาซุนยังได้เปิดปากของเธอในที่สุด

“แล้ว นับจากตอนนี้มันจะเกิดอะไรขึ้นต่อหรือคะ?”

“จากนี้ไป พวกเราจะมุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่ผู้คนจากมูริมทั้งหมดจะไปรวมตัวกัน”

สำหรับช่วงเวลา 3 เดือนที่ผ่านมา กอมฮีได้กระจายข่าวสารออกไปให้กับผู้คนจากมูริมที่อยู่ทั่วทั้งโลกอย่างต่อเนื่อง

ไปถึงเหล่าคนที่ต้องการจะฆ่าศัตรูที่ไม่อาจอยู่ร่วมแผ่นดินเดียวกันได้ของคนทั้งหมดในมูริม ให้พวกเขาเหล่านี้มุ่งหน้าไปที่เถือกเขาหิมาลัย

ในขณะเดียวกันนั้นเอง ไม่มีใครสักคนเลยที่ได้เคลื่อนไหวเพราะว่ามันไม่มีหลักฐานที่หนักแน่นเพียงพอ

แต่ในตอนนี้หลังจากที่ถึงได้ยินข่าวล่าสุด พวกเขาทั้งหมดได้เริ่มที่จะเคลื่อนไหวแล้ว

“และ ฉันก็มีเรื่องบางอย่างที่ต้องบอกเธออีก เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับข้อห้าม มันเป็นเรื่องราวกับเกี่ยวกับชายคนหนึ่งที่ได้รับการขนานนามว่าเดอมาร์สูงสุด”

“หะ?”

มันเป็นคำขอจากยูซอดัม ชินฮเยจีเป็นลูกสาวของเดอมาร์เช่นเดียวกันกับที่เธอเป็นพวกพ้องเพียงคนเดียวของเขา แต่ว่าเธอกลับเป็นคนที่ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย ถ้างั้นแล้วเธอผิดอะไรหละ?

ฮาซุนยังชอบความคิดนี้เพราะว่ามันเป็นไปตาม ‘หลักการ’ ของเธอเช่นกัน

“นับจากตอนนี้ ฉันจะเล่าเรื่องราวในสิ่งที่เดอมาร์ได้ทำกับพวกเราในโลกของศิลปะการต่อสู้…มันน่าจะเป็นเรื่องราวที่นานอยู่และเธอจะต้องยอมรับมันให้ได้”

เรื่องราวของเดอมาร์ที่ตัวเขาเองได้ซ่อนมันเอาไว้จากชินฮเยจี

เรื่องราวของชายที่ได้ย้อมมูริมไปด้วยเลือดได้เปิดเผยออกมาจากปากของฮาซุนยังแล้วในตอนนี้

……………………………………………………..

หากชอบเรื่องนี้สามารถให้กำลังใจและสนับสนุนผู้แปลได้ทาง mynovel.co หรือ

www.amnovel.com หรือ www.thai-novel.com แค่สามช่องทางนี้เท่านั้นนะครับ

……………………………………………………..

ณ ตอนนี้คนทั้งโลกได้รู้แล้วว่าฮงยอบซาคืออีดงจุน กล้องยังคงถ่ายไปที่ใบหน้าของอีดงจุนและสำหรับเขาก็กำลังมองไปที่ใบหน้าอันแสนผ่อนคลายของยูซอดัมซึ่งกำลังสื่อออกมาประมาณว่า ‘นายกล้าโจมตีฉันไหมหละ?’ ทำให้เขาโกรธมายิ่งขึ้น

“!!!!”

ทันใดนั้นเอง พลังงานได้ระเบิดออกมา มันไม่สามารถที่จะมองเห็นได้โดยคนทั่วไปแต่สามารถที่จะสัมผัสได้จากทุกทิศทาง ระยะห่างของมันห่างออกไปจากที่นี่อย่างน้อยก็หลายกิโลเมตรแต่ถึงอย่างไรอีดงจุนก็สามารถที่จะสัมผัสถึงมันได้

ผู้คนทั้งหลายจากมูริมกำลังปลดปล่อยความโกรธแค้นของพวกเขาออกมา

‘พวกเขามาถึงเร็วขนาดนี้ได้ยังไงกัน?’

อีดงจุนไม่รู้เลย

ว่าในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา ยูซอดัมได้ไปเจอกับเหล่าปรมาจารย์ทั้ง 31 คนผ่านความช่วยเหลือของกอมฮีและได้ปล่อยข้อมูลเกี่ยวกับ ‘ฮงยอบซา’ ออกไปให้คนพวกนี้ ผู้คนจากมูริมเหล่านี่นั้นเต็มไปด้วยข้อสงสัยในตอนแรก แต่พวกเขาจะไปทำอะไรได้หละในเมื่อหลักฐานที่ยูซอดัมได้แสดงให้พวกเขาเห็นมันชัดเจนซะขนาดนี้? ในท้ายที่สุดความโกรธแค้นที่ได้ถูกกับเก็บเอาไว้ของพวกเขาก็ได้ระเบิดออกมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ไม่สำคัญว่าเดอมาร์สูงสุดจะแข็งแกร่งเพียงใด มันก็ยังเป็นสิ่งที่มากเกินไปอยู่ดีสำหรับเขาที่จะต้องมารับมือกับทุกๆคนที่มาจากมูริมเพียงลำพัง ไม่สิ เขาสามารถรับมือกับคนทั้งหมดได้แต่ว่าสถานที่ที่เขาอยู่ในตอนนี้มันไม่ได้ดีเอาเสียเลย

‘ฉันคงต้องไปพาตัวของชินฮเยจีมาและซ่อนตัวสักพัก’

อีดงจุนคิดได้เช่นนั้นแล้ว ก็ได้พยายามที่จะค้นหาพลังงานของชินฮเยจีจากพื้นที่โดยรอบของสถานที่จัดงานในครั้งนี้

‘ที่ไหนกัน?’

เขาไม่สามารถที่จะรู้สึกได้ถึงพลังงานของชินฮเยจีจากที่ไหนสักที่ในสถานที่จัดงานในครั้งนี้เลย

อีดงจุนปลดปล่อยพลังของตนเองให้กระจายออกไปอย่างรวดเร็วและสัมผัสถึงตัวตนของเธอได้จากพื้นที่ในระยะที่ห่างออกไปจากที่นี้หลายร้อยเมตร

‘อย่าบอกฉันนะว่า…’

อีดงจุนมองไปที่ยูซอดัมอีกครั้ง

ชายคนนี้ได้วางแผนให้มันเป็นแบบนั้นมาตั้งแต่เริ่มสินะ เขาได้รับสมัครชินฮเยจีเข้ากิดล์ตัวเองดังนั้นมันทำให้เขาสามารถที่จะทำอะไรก็ได้ตามที่เขาต้องการ อีดงจุนเองก็ไม่ได้เชื่อใจในตัวของยูซอดัมเต็มที่เช่นกันเพราะว่าเขาไม่ได้โง่ แต่เขาแค่ไม่เคยคิดเลยว่ายูซอดัมจะกล้ามากขนาดนี้

อีดงจุนกัดของตัวเองแน่นเพื่อระงับความโกรธเอาไว้

ฮึมมม!!

เมฆดำทะมึนได้เคลื่อนมารวมเข้าด้วยกัน ปรากฏการนี้เกิดขึ้นเพราะมูกง และหลังจากนั้นก็มีพายุที่รุนแรงและแสงอาทิตย์ที่แผดเผาทุกสิ่งตามมา มันเป็นสัญญาณที่บอกได้ว่า เหล่าปรมาจารย์ รวมไปถึง 3 ราชันย์ และ 6 จักรพรรดิได้ปลดปล่อยพลังงานของพวกเขาเองออกมาแล้ว

‘ไม่มีทางน่า พวกเขามาที่นี่ได้ยังไงกัน?’

เขาเองก็ไม่ได้แน่ใจ

แต่ว่าพวกเขาคงจะไม่ได้มาที่เกาหลีเพียงแค่เพราะความโกรธแค้นของพวกเขาอย่างแน่นอน ใช่ไหม? อีดงจุนเริ่มที่จะรู้สึกตึงเครียดขึ้นเล็กน้อย

เขาสามารถที่จะรับมือกับคนทั้งหมดนี้ได้ แต่ว่าสำหรับตอนนี้แล้วมันไม่เหมือนกับวันวานที่เขาจะมาทำตัวอย่างไร้ซึ่งการยับยั้งชั่งใจเหมือนที่มูริมได้อีกต่อไปแล้ว ในตอนนี้เขามีบางสิ่งบางอย่างที่ตนเองสามารถที่จะสูญเสียไปได้

ชินฮเยจี ลูกสาวของเขา

หากว่าเขาสู้กับผู้คนจากมูริมที่นี้ ลูกสาวของเขาเองก็คงจะไม่สามารถกลับไปมีชีวิตได้แบบคนธรรมดาอีกต่อไป

‘ฉันต้องอดทน ฉันควรที่จะเล็งไปที่โอกาสในครั้งต่อไป’

แต่ว่า

‘อย่างน้อยที่สุด ฉันจำเป็นที่จะต้องฆ่ายูซอดัม’

แม้ว่ามันจะก่อให้เกิดความเสียหากกับภูมิประเทศโดยรอบ เขาก็จำเป็นที่จะต้องจัดการกับยูซอดัมไม่ว่าราคาของมันจะหนักหน่าแค่ไหนก็ตาม ในทางตรงกันข้ามยูซอดัมยังคงยิ้มออกมาอย่างสบายๆ มันเป็นเรื่องลึกลับที่ไม่รู้เลยว่าเขานะแค่มั่นใจในตัวเองหรือแค่คนโง่เง่ากันแน่ ท่าทางของเขาก็ราวกับว่าเขากำลังยั่วยุอีดงจุนในมาฆ่าตัวเองต่อหน้ากล้องทั้งหมดอยู่

“ไอ้เชี่ยนี่!”

สัมผัสของอีดงจุนได้เตือนตัวเขาเองอีกครั้ง เขาไม่สามารถที่จะฆ่ายูซอดัมได้ แต่ไม่นานความรู้สึกนั้นได้จางหายไป

[วิกฤตได้เกิดขึ้นกับตัวเอง อีดงจุน]

[ความสามาระของสกิล ‘พระสูตรแห่งพุทธรรม (SSS+)’ ได้ลดลงเนื่องจากความไม่มั่นคงทางอารมณ์อย่างรุนแรง]

[สกิลของตัวเองอีดงจุน ‘การคารการณ์ (SSS)’ ถูกบดบังด้วยดวงตาที่มืดบอด]

[กำลังตรวจสอบความผันผวนที่เกิดขึ้นกับระดับเลเวลของตัวเองอีดงจุน : 500(-18)]

มันเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เล็กน้อย

ยูซอดัมยังคงไม่สามารถที่จะเอาชนะอีดงจุนที่มีเลเวล 500 ได้ถึงแม้ว่ามันจะลดลงไปถึง 18 เลเวลก็ตาม

แต่ว่า…

‘นั้นไงหละ’

มันเป็นคำใบ้ตัวโตๆสำหรับยูซอดัมเลย

ชึบ!!

ในจังหวะนั้นเองที่เดอมาร์ได้เหวี่ยงมือของตัวเองลงมาราวกับว่ามันเป็นดาบ

[มาตรการหลบหนีฉุกเฉินได้เปิดใช้งาน]

[ทำการอพยพฉุกเฉินไปยังมิติที่ใกล้เคียงที่สุดด้วยความแตกต่างของเวลาที่มากกว่า 5 เท่า : กระบวนการเปิดใช้งานจะขับเคลื่อนด้วยการใช้อายุขัยของคุณ]

ร่างกายทั้งหมดของยูซอดัมได้หายไปในขณะเดียวกันกับที่อีดงจุนได้ฟันลงไปยังอากาศที่ว่างเปล่า

หลังจากที่ได้รับรู้ถึงสถานการณ์ตรงหน้าแล้ว เสียงร้องคำรามที่ราวว่ากับเป็นเสียงของสิ่งโตที่กำลังโกรธแค้นก็ได้ระเบิดออกมาจากปากของอีดงจุน

“อ้ากกกกกกกกกกกกกกกกกกก!”

มันมีอำนาจการทำลายล้างมากเสียยิ่งกว่ามูกงของแซช็องรยอนและความสามารถคลื่นเสียงของเฮโลนี่อีก

– เฮ้ ใจเย็น!

“ฟู…ฟู…”

– ห้ามให้ความโกรธเข้าครอบงำเจ้า

‘อ่า ฉันต้องสงบจิต สงบใจเข้าไว้’

‘มาคิดอย่างสงบๆกันก่อน แม้กระทั้งในตอนนี้ ผู้คนจากมูริมอาจจะมาถึงที่นี้ได้ในทุกๆเมื่อ’

‘ในตอนนี้ พวกเราควรที่จะทำอะไรกับแน่?’

‘มันดีกว่าสำหรับพวกเราที่จะจัดการกับทุกๆสิ่งให้มันจบลงไปเลยทีเดียว’

– นั้นไม่ได้เป็นการตัดสินใจที่ดีเลยนะ

‘ไม่ นี่เป็นทางเดียวเท่านั้น’

– เจ้าเด็กน้อย…

แต่ที่นี่ไม่เหมาะสม มันไม่มีปัญหาอะไรเลยหากต่อให้คนทั้งหมดที่พวกเขามีโจมตีมาที่ฉัน แต่ว่าหลังจากที่จัดการคนทั้งหมดนั้นแล้วอีดงจุนจะต้องกลับเข้าไปใช้ชีวิตในสังคมต่อ

เมื่อปราศจากผู้คนจากมูริมบนโลกใบนี้แล้ว มันก็จะไม่มีอุปสรรคอะไรที่มาขวางกันเขาไว้อีก

ไม่แม้กระทั้งยูซอดัมที่กล้าจะหนีไปจากสายตาของเขาก็ตาม มันไม่สำคัญเลยสักนิดเดียวว่าเขาหนีไปได้ยังไงเมื่อกี่นี้ ยังไงซะเขาก็ไม่สามารถที่จะวิ่งหนีไปได้ตลอดทั้งชีวิตของเขาแน่

อย่างแรกที่เขาต้องทำเลยก็คือ เขาจำเป็นที่จะต้องออกไปจากที่นี้และเดินทางไปทั่วทุกที่เพื่อตัดหัวของผู้คนจากมูริมที่ละคนๆ

นั้นเป็นแผนของอีดงจุน

เขาคิดเช่นกันและคิดว่าตนเองจำเป็นที่จะต้องหาที่ซ่อนไปสักพักหนึ่ง

‘ซอลจองยอน’

นั้นเป็นเพียงสถานที่เดียวเท่านั้นที่เข้ามาในใจของเขา

……………………………………………………..

หากชอบเรื่องนี้สามารถให้กำลังใจและสนับสนุนผู้แปลได้ทาง mynovel.co หรือ

www.amnovel.com หรือ www.thai-novel.com แค่สามช่องทางนี้เท่านั้นนะครับ

……………………………………………………..

“เฮือก!!”

เยคาเทริน่าทรุดลงไปกับพื้นในทันทีหลังจากที่เธอได้ดึงมือของตนเองออกมาจากภาพวาด

“อนาคตอย่างเดียวกันได้ถูกบิดเบือดอีกครั้ง”

ในภาพวาดนั้น ที่คอนเสิร์ตของเทพธิดาแห่งเพลงป๊อป เฮโลนี่ที่ได้ถูกวาดเอาไว้ แค่เพียงเมื่อไม่กี่วันก่อนเธอได้เห็นสถานที่เดียวกันนี้เองได้พังพินาศลงไปเนื่องจากภัยพิบัติบางอย่าง ซึ่งถ้าหากว่าเธอได้พยากรณ์และประกาศมันออกไปให้โลกได้รับรู้ เธอจะสามารถป้องกันมันได้

“คุณเอวาน!!”

นี้เป็นเพียงเหตุผลเดียวเท่านั้นที่ว่าทำไมคำพยากรณ์ถึงได้เกิดขึ้นซ้ำ

นั้นก็เป็นเพราะว่าคำพยากรณ์นี้ไม่ได้ถูกเปิดเผยไปสู่โลกภายนอกนะสิ

เอวาน คนๆนี้ไม่ได้ประกาศคำพยากรณ์ออกไปด้วยเหตุผลบางอย่าง

‘แต่ว่า อืม ภัยพิบัติได้หยุดลงแล้ว’

โชดดีที่ว่าอนาคตที่เยคาเทริน่าได้เห็นในครั้งนี้ ภัยพิบัติไม่ได้แม้แต่จะเริ่มต้นขึ้นด้วยซ้ำ

“ยูซอดัม”

ชายคนนี้ได้ปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้ง และได้เปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ที่ออกมาของภัยพิบัติในครั้งนี้

คำถามที่ว่ามันเป็นแบบนี้ได้อย่างไรนั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญแต่ว่ามันเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องจดจำไว้ว่าการตัดสินใจของเอวานสามารถที่จะทำให้เกิดภัยพิบัติขึ้นดังคำพยากรณ์ที่เธอได้เห็นมาได้

มันเป็นแบบนั้นมานานแล้ว แม้ว่าในตอนที่เธอจะไปเตือนเอวานว่ามันจะเกิดภัยพิบัติที่น่าสะพรึงกลัวขึ้นก็ตาม เอวานก็ยังคงเลือกที่จะปกปิดคำพยากรณ์บางอย่างเอาไว้และเปิดเผยเพียงแค่บางส่วนของมันให้กับโลกได้รับรู้เท่านั้น มีอยู่วันหนึ่งที่เยคาเทริน่าได้ถามออกไปว่าทำไมเธอถึงได้ทำแบบนั้น สิ่งที่เยคาเทริน่าได้รับกลับมาก็คือ

“ก็เพราะว่ามันดีกับฉันไง”

‘มันมีการแข่งขันกันมากมายของกิลด์ใหญ่ๆ มีประเทศมากมายที่ประท้วงในทุกวันนี้ หรือไม่ก็กิลด์ที่ฉันไม่ชอบหน้า’

เพราะว่าเหตุผลที่ไร้สาระเช่นนั้นเอง เธอเลยได้เลือกที่จะปกปิดคำพยากรณ์ของเยคาเทริน่าเอาไว้

‘ฉันไม่ต้องการจะทำแบบนี้อีกต่อไปแล้ว’

การเห็นคำพยาการณ์จะไปมีประโยชน์อะไรกันในเมื่อฉันไม่มีพลังมากเพียงพอที่จะหยุดมันได้

เธอค่อนข้างอยากที่จะยอมแพ้กับความสามารถในการเห็นอนาคตแล้วเลือกความสามารถในการใช้เวทมนตร์มากแทนเสียยังดีซะกว่า

‘ถ้าหากว่าฉันสามารถที่จะใช้เวทมนตร์ได้เหมือนกับนักเวทย์คนอื่นในกิลด์โมเรียนหละก็’

ในวินาทีที่เธอคิดเช่นนั้นแล้ว

ตูม!! ตูม!!

เสียงฝีเท้าได้ดังขึ้นกึกก้องไปทั่วทั้งพิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งนี้

มือของเยคาเทริน่าสั่นไหวในขณะที่เธอได้เงยหน้าของตัวเองขึ้นไป เธอก็ได้รู้แล้วว่าตัวเธอเองใช้เวลากับการดูคำพยากรณ์นานมากเกินไป

‘อ้า ไม่น้า เจ้ามอนสเตอร์นั้นกำลังมาแล้ว’

พิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งนี้เป็นโลกที่อยู่ในความฝันของเธอ

แต่ว่ามันกลับมีบางสิ่งบางอย่างที่ใช้ชีวิตอยู่ที่นี้นอกไปจากตัวเธอเอง

เยคาเทริน่าเลื่อนสายตาของเธอไปยังปลายสุดของโถงทางเดินนี้อย่างช้าๆ

แล้วสายตาของทั้งคู่ก็ได้สบกัน

มันเป็นมอนสเตอร์ตัวเดิมที่มีความสูง 3 เมตร ผิวหนังของมันไหม้เกรียมกับราวกับว่ามันถูกเผามา หยดน้ำได้หยดลงมาจากร่างกายของมันราวกับว่ามันพึ่งขึ้นมาจากน้ำ และดวงตาของมันก็มืดบอด

แคร๊ก!!

เสียงแตกราวของผิวหนังที่ฉีกออกปกคลุมไปทั่วทั้งทางเดินในขณะที่เจ้ามอนสเตอร์ตัวนี้ได้เปิดปากของมันออก

“อ้า….อ้า!!!”

เจ้ามอนสเตอร์ตัวนี้เข้ามาใกล้มากกว่าทุกครั้ง มันยังคงเข้ามาใกล้มากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ

เคี๊ยกกกก!!

เจ้ามอนสเตอร์ตัวนี้ได้ปิดเปลือกตาของมันลงมาในรูปทรงของพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวราวกับว่ามันกำลังยิ้มอยู่และในทันใดนั้นเองมันก็ได้พุ่งกระโจนเข้ามามาเธอด้วยแรงกระโดดจากขาเพียงข้างเดียวของมันมาทางเยคาเทริน่า

ตูม!!!

ตูม!!!

‘เธอต้องตื่นขึ้นมาจากความฝันเดียวนี้นะ!’

เยคาเทริน่าเอาหัวของตัวเธอเองซุกไว้ใต้วงแขนของเธอแต่ว่ามันไม่ได้เป็นเรื่องง่ายเลยที่จะตื่นขึ้นจากความฝัน หัวใจของเธอสั่นไหวอย่างรุนแรงและมือกับเท้าของเธอก็สั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้เช่นกัน

ตูม!!!

ตูม!!!

‘ไม่นะ! ไม่นะ! ตื่นสิ ตื่นจากความฝันบ้าๆนี้ที! ได้โประเถอะ!’

แต่ว่า…

เธอไม่สามารถที่จะตื่นจากความฝันของเธอเองได้เลย

แล้วในทันใดนั้นเอง

วิ้งงง!!

ตูม!!

ก็มีใครบางคนได้โผล่ขึ้นมาจากอีกด้านหนึ่งของโถงทางเดินแห่งนี้ ประตูที่อยู่ตรงหน้าของเยคาเทริน่าได้ปิดลงและคนบางคนก็ได้ล่วงลงมา

“ห่าเอ้ย!! ตกใจหมดเลย นี้มันโลกบ้าอะไรกันแน่เนี่ย?”

“…หา?”

เยคาเทริน่ารู้จักผู้ชายคนนี้

ชายคนที่มีเส้นผมสีดำและดวงตาสีขาว

“ยู…ซอดัม?”

“หะ?”

ชายคนที่เธอพึ่งจะได้เห็นตัวเขาผ่านทางคำพยายากรณ์มาเมื่อตะกี้นี้ ในตอนนี้ได้มาอยู่เบื้องหน้าของเธอแล้ว

ตัวเอกพวกนั้นฉันฆ่าเองแหละ

ตัวเอกพวกนั้นฉันฆ่าเองแหละ

ไม่ว่าจะเป็นคนที่กลับชาติมาเกิด,คนที่ย้อนเวลากลับมา,คนที่วนลูปได้,พวกที่ไปยึดร่างคนอื่นมา,นักเดินทางต่างมิติ,คนรู้อนาคตมากจากทางไหนสักทาง

ฉันจะล่าเจ้าพวกตัวเอกเหล่านี้เอง ไอ้พวกคนที่มีตัวตนอยู่ในโลกใบต่าง ๆ ที่มีอยู่มากมายนับไม่ถ้วนแล้วฉันก็จะดูดกลืนพรสวรรค์ของพวกเขาซะ

เหล่าพวกตัวเอกทั้งหลายที่ไม่ว่าจะเป็น

ความหวังของทวีป

ฮีโร่ที่จะช่วยโลกไว้ได้อนาคต

ฮีโร่ที่ในตอนนี้มีหลุมอยู่ตรงกลางอก!

ปาร์คแทรยอง คนที่จะปลดปล่อยเหล่าคนแคระให้เป็นอิสระและได้รับความเชื่อถือจากคนพวกนั้น

ชำระล้างสิ่งปนเปื้อนที่เป็นพิษในป่าแห่งจิตวิญญาณและได้กลายมีเป็นผู้มีพระคุณของเหล่าแฟรี่

ทวงคืนรูปปั้นหินโบราณที่เคยถูกปิดผนึกอยู่ในซากปรักหักพังในยุคอดีตกาล

กำจัดงูทะเลยักษ์ที่โผล่ออกมาจากทะเล

ปราบจักพรรดิปีศาจของโลกใต้พิภพตนที่ 47 ลงได้

“นอกเหนือไปจากการข่มขืนและฆาตกรรมแล้วยังมีเหตุการณ์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของคนจำนวนมากไม่ว่าจะเป็นการฆ่าอันป่าเถือน,การลอบวางเพลิง และ……”

“ช-ช่วยฉันด้วย..”

แกร๊ก!

นี้ก็เป็นตัวเอกเช่นกัน

แต่ในตอนนี้เขาได้ตายคามือฉันซะแล้วหละ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท