เมื่อมองไปที่ใบหน้ายิ้มแย้มของเซี่ยงเส้าหลงกับมีดมาเชเต้ที่เขาส่งมาให้ ขาของหัวหน้าก็อ่อนแรง เขาจะไปกล้ารับมันไว้ซะที่ไหน!
เขาสามารถมั่นใจได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ได้ว่า ทันทีที่เขารับมีดนั้นมา รังสีอินฟราเรดที่เล็งตรงมาที่เขาจะยิงตัวเขาให้เป็นตะแกรงได้!
“ทำไม? มือข้างเดียวไม่พอหรือ? ถ้าอย่างนั้นเอาไปทั้งสองข้างเลยไหม?”
พัฟ!
หัวหน้าคุกเข่าลงกับพื้นโดยตรง ใบหน้าซีดๆ ของเขาเผยรอยยิ้มที่น่าเกลียดยิ่งกว่าการร้องไห้เสียอีก “พี่ใหญ่ คุณเข้าใจผิดไปแล้ว! มันเป็นความเข้าใจผิดทั้งสิ้น!
“จริงเหรอ?”
เซี่ยงเส้าหลงเอียงศีรษะมองเขาด้วยใบหน้าที่เหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “แต่ทำไมฉันถึงรู้สึกว่านี่ไม่ใช่การเข้าใจผิดกันละ?”
“เมื่อคุณต้องการมือของฉัน ฉันก็ให้คุณตามคำขอ แต่คุณกลับเปลี่ยนใจไม่รับมันไว้ซะงั้น!”
“ฉันสงสัยอย่างแรงว่าตอนนี้คุณกำลังปั่นหัวฉันอยู่…”
เพียะ!
หัวหน้าตบปากตัวเองอย่างแรงหนึ่งที และพูดด้วยน้ำเสียงร้องไห้เสียใจ “พี่ใหญ่ มันเป็นเพราะข้าน้อยมีตาหามีแววไม่เอง ถึงพลั้งปากไปล่วงเกินมหาเทพอย่างคุณ โปรดเห็นแกความต่ำต้อยขข้าน้อย ปล่อยข้าน้อยไปเหมือนเป็นการปล่อยตดเถอะครับ!”
ณ ตอนนี้เขามีเวลามาสนใจเรื่องศักดิ์ศรีซะที่ไหน ดูจากท่าทางของฝ่ายตรงข้ามแล้ว ตัวเองสามารถเอาชีวิตรอดได้ก็บุญแค่ไหนแล้ว!
“ฮ่าๆ ……”
ดวงตาของเซี่ยงเส้าหลงเป็นประกาย “แต่อย่างไรก็ตาม จะปล่อยให้เรื่องมันจบลงง่ายๆ แบบนี้ก็คงไม่ได้มั้ง…”
หัวหน้ากัดฟันสู้อย่างเต็มที่ “พี่ใหญ่ ขอแค่คุณยอมปล่อยชีวิตสุนัขของผมไป ไม่ว่าคุณจะแก้ไขเรื่องนี้ด้วยวิธีไหนก็ตาม ข้าน้อยจะยอมรับโดยไม่พูดอะไรเลย!”
“จริงเหรอ ……” เซี่ยงเส้าหลงเผยใบหน้ายิ้มแย้มและกวาดมองลูกน้องนับสิบที่ตัวสั่นสะท้านของเขา และพูดขึ้นว่า “คนอย่างฉันค่อนข้างขี้ขลาด หากมีคนมาดักปล้นฉันกลางทางอีกจะทำยังไงดี? ดังนั้น คงต้องรบกวนคุณและลูกน้องของคุณส่งฉันกลับไปที่เมืองเทียนไห่แล้วแหละ!”
คำพูดดังกล่าวเกือบทำให้หัวหน้าสำลักน้ำลายตัวเองตาย!
มีคนมาดักปล้นด้วยเหรอ? คุณหาเหตุผลที่มันน่าเชื่อถือกว่านี้หน่อยได้ไหม?
ใครหน้าไหนจะไปกล้าดักปล้นคนที่มีอาวุธครบเครื่องอย่างคุณ?
นี่ก็เพิ่งออกจากเมืองหลวงได้ไม่ไกลนัก และระยะทางไปเมืองเทียนไห่ยังเหลืออีกตั้ง 400 กว่ากิโลเมตร ซึ่งหากใช้วิธีเดินทางด้วยสองขา แม่ง ขาทั้งสองข้างจะไม่พิการซะก่อนเหรอ!
เมื่อเห็นท่าทีประนีประนอมของหัวหน้าแล้ว มุมปากของเซี่ยงเส้าหลงก็ขยับขึ้น “ทำไม คุณไม่อยากไปส่งฉันเหรอ?”
“ไป…ไป ผมจะไปครับ! ข้าน้อยเต็มใจรับใช้พี่ใหญ่เสมอครับ!”
หัวหน้ายิ้มอย่างประจบประแจง แม้ว่าเขาจะไม่เต็มใจแต่ก็ทำไงได้ละ? ปืนตั้งสองกระบอกเล็งมาที่หัวตัวเองซะขนาดนั้น!
ในขณะนี้เป็นเวลาเกือบเที่ยงคืนแล้ว มีฉากตลกเกิดขึ้นบนท้องถนนแห่งนี้ มีรถยนต์คันหนึ่งเปิดสี่ไฟแฟลชกะพริบแล้ววิ่งอยู่ด้านหน้าอย่างเชื่องช้า และมีผู้ชายแต่งตัวประหลาดหลายสิบคนเดินตามอย่างเงื่องหงอยอยู่ตรงกลาง ส่วนแถวหลังคือทหารสวมเครื่องแบบเรียบร้อย และเมื่อใดก็ตามที่กลุ่มคนที่อยู่ตรงกลางชะลอตัวลงเล็กน้อย กระสุนหนึ่งชุดก็ทักทายพวกเขาและก่อให้เกิดประกายไฟสาดกระเซ็นมากมายในทันที!
ท้องฟ้าเริ่มสว่าง และประตูเมืองเทียนไห่ที่คลุมเครือไม่ชัดก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าพวกเขา จนกระทั่งรถของเซี่ยงเส้าหลงหยุดลงอย่างช้าๆ คนกลุ่มนี้ก็เคลื่อนไหวพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย!
พวกเขาทรุดตัวลงกับพื้น และเริ่มหอบอย่างหนัก ขาทั้งสองข้างยังคงสั่นเทาราวกับว่ามันไม่ใช่ของตัวเองแล้ว!
เซี่ยงเส้าหลงเดินเข้ามาอย่างเชื่องช้า รอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปากของเขา “ต้องขอบคุณพวกคุณมากที่คุ้มกันฉันมาโดยตลอดทาง ฉันถึงบ้านแล้ว เข้าไปดื่มชากันหน่อยไหม?”
หัวหน้ากลืนน้ำลายลงคอด้วยสีหน้าเหมือนเจอผี และโบกมือซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ไม่…ไม่…ไม่เป็นไรครับ! คุณ…คุณสามารถกลับถึงบ้านอย่างปลอดภัยพวกเราก็รู้สึกดีใจมากแล้วครับ!”
“แบบนั้นฉันก็เกรงใจแย่เลยสิ…”
เซี่ยงเส้าหลงแสดงสีหน้าเสียใจและพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น ฉันจะไม่ฝืนใจพวกคุณแล้วนะ เชิญกลับได้เลยครับ!”
“ได้ครับ! พวกผมขอนั่งพักกันก่อนแล้วค่อยหารถนั่งกลับไป!”
“หารถอย่างงั้นเหรอ?”
เซี่ยงเส้าหลงเอียงศีรษะ “พวกคุณมายังไง ก็ควรกลับอย่างนั้นสิ”
คำพูดเดียว ทำเอาทุกคนถึงกับชะงัก และการแสดงออกของพวกเขาช่างยอดเยี่ยมซะเหลือเกิน!
“ราชายักษ์ครับ!”
“ข้าน้อยอยู่นี่ครับ!”
“ส่งลูกน้องสักสองสามคนไปคุ้มกันพวกเขากลับไปโดยส่วนตัว จำไว้ต้องจับตาดูพวกเขาให้ดี ให้พวกเขาเดินกลับถึงบ้านอย่างปลอดภัยก่อนคืนนี้ เข้าใจไหม?”
ราชายักษ์ยืนตรงด้วยความเคารพทันที “ขอรับประกันว่าจะทำภารกิจให้สำเร็จครับ!”
“ดีมาก! นายจัดการเรื่องนี้ต่อนะ!”
เมื่อมองไปที่แผ่นหลังของเซี่ยงเส้าหลง ความโหดเหี้ยมก็ฉายผ่านใบหน้าของราชายักษ์ เขาหยิบปืนขึ้นแล้วยิงใส่คนที่นอนบิดเบี้ยวอยู่บนพื้น “ทุกคนยืนขึ้นเดี๋ยวนี้!”
“ยืนห้าคนเป็นหนึ่งทีม และห้าทีมเป็นหนึ่งแถว! และวิ่งให้เร็วที่สุด!”
เสียงคร่ำครวญดังก้องไปทั่วป่าทันที!
กลับมาที่บ้าน หลังจากที่พาอวิ๋นเยนเอ๋อหลับสนิทแล้ว อวิ๋นเสว่เหยนก็นอนลงบนโซฟาและถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก “ไม่มีที่ไหนสบายกว่าที่บ้านแล้ว!”
เมื่อเห็นร่างกายอันงดงามที่ยุบลงในโซฟาของเธอ หัวใจของเซี่ยงเส้าหลงก็เต้นแรง เขายิ้มและนั่งลงข้างๆ เธอ และมือใหญ่ของเขาก็โอบเอวเธอโดยธรรมชาติ ก่อนที่เขาจะได้มือ อวิ๋นเสว่เหยนก็ตบมือที่กระสับกระส่ายของเขาออก และกลอกตาใส่เขาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่ไพเราะ “คุณกำลังทำอะไรน่ะ!”
“เหอะๆ …เราสองคนเป็นคู่ทุกข์คู่ยากกันมาตั้งนานแล้ว เราจะใช้ชีวิตแต่งงานตามปกติเป็นบางครั้งบางคราวไม่ได้เหรอ?”
หน้าสวยๆ ของอวิ๋นเสว่เหยนแดงก่ำ เธอพูดด้วยรอยยิ้มว่า “หน้าไม่อาย ใครเป็นคู่ทุกข์คู่ยากกับคุณ!”
“ลูกสาวของเราโตป่านี้แล้ว ยังไม่ให้เรียกว่าคู่ทุกข์คู่ยากอีกเหรอ?”
“ยังมีหน้ามาพูดอีก ตอนที่ฉันให้กำเนิดลูกสาวคุณไปซุกอยู่ที่ไหน?!”
เซี่ยงเส้าหลงเกาหัว ทันใดนั้น เขาก็ลุกไปกดทับอวิ๋นเสว่เหยนไว้ด้านล่าง และมองดูใบหน้างดงามที่ร้อนแรงของเธอแล้วยิ้ม “หรือว่า เราจะสร้างชีวิตเล็กๆ ที่จะอยู่เคียงข้างเราไปตลอดชีวิตอีกคนดี?”
เมื่อมองไปที่ริมฝีปากสีแดงอันอวบอิ่มและเย้ายวนแล้ว เซี่ยงเส้าหลงก็ค่อยๆ โน้มตัวลง ใบหน้าของอวิ๋นเสว่เหยนแดงก่ำตั้งนานแล้ว เธอดื่มด่ำกับกลิ่นอายฮอร์โมนเพศชายของเซี่ยงเส้าหลงที่เต็มล้นในโพรงจมูกของเธอ และค่อยๆ หลับตาลง
การหายใจเริ่มเร็วขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ ในขณะที่ริมฝีปากทั้งคู่กำลังจะสัมผัสกันนั้น เสียงโทรศัพท์ที่ไม่สอดคล้องกับเวลาก็ดังขึ้นอย่างกะทันหัน อวิ๋นเสว่เหยนผลักเซี่ยงเส้าหลงออกด้วยความตกใจ และมองไปที่โทรศัพท์ ก็เห็นว่ามันเป็นสายเรียกเข้าจากบริษัทโทรมาจริงๆ !
ด้วยความที่เธอเป็นคนบ้างานอยู่แล้ว เธอจึงไม่กล้าที่จะละเลย แต่นายพลน้อยเซี่ยงของเราช่างน่าสงสารเหลือเกิน บรรยากาศกำลังดีอยู่แท้ๆ ก็ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงโทรศัพท์บ้าๆ นี้ซะแล้ว เขาเกลียดชังคนโทรจนอยากจะลอกหนังเขาทั้งเป็นอยู่แล้ว!
อีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์ ดูเหมือนจะวิตกกังวลมาก หลังจากวางสายแล้ว อวิ๋นเสว่เหยนก็หันไปพูดกับเขาว่า “ฉันมีธุระต้องออกไปข้างนอกแป๊บ!”
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ?”
“คุณจำเครื่องประดับชิ้นที่บริษัทเราร่วมออกแบบกับมาสเตอร์คาเรนนั้นได้ไหม? สินค้าสำเร็จรูปออกมาแล้ว ตอนนี้บริษัทจำเป็นต้องทำโฆษณาและพรีเซนต์แล้ว เพราะมันคือผลงานออกแบบที่น่าภูมิใจที่สุดของมาสเตอร์คาเรน และทางบริษัทมู่ซือกรุปก็ตัดสินใจเอามันมาเป็นสินค้าฮอตสปอตของปีนี้ด้วย ฉันติดต่อดาราหญิงมาเป็นพรีเซนเตอร์หลายคนแล้วแต่ยังไม่ได้คนที่เหมาะสมเลย และเราต้องตัดสินใจวันนี้แล้วด้วย ตอนนี้ทั้งสองฝ่ายกำลังถกเถียงกันที่บริษัทโฆษณา เมื่อสักครู่นี้คณะกรรมการโทรมาหาฉัน ฉันต้องไปดูสักหน่อย!”
เซี่ยงเส้าหลงพยักหน้า “โอเค! เดี๋ยวฉันไปส่งคุณ!”
อวิ๋นเสว่เหยนไม่ได้ปฏิเสธ และทั้งสองก็ขับรถวิ่งไปโดยเร็วดังเหาะจนถึงบริษัทโฆษณาเมิ่งเฟย ซึ่งเป็นบริษัทโฆษณาที่ใหญ่ที่สุดในเมืองเทียนไห่!
ทันทีที่ทั้งสองเข้าไปในสตูดิโอ ก็พบว่ามีคนกลุ่มหนึ่งถกเถียงกันอยู่ที่นั่น และบรรยากาศก็ไม่ค่อยรื่นรมย์นัก!
“ผู้อำนวยการอวิ๋น ในที่สุดคุณก็มา!”
ผู้อำนวยการของบริษัทมู่ซือกรุปจางเจิ้งซิวเหงื่อไหลไคลย้อยมานานแล้ว เขาเดินไปหาเธอและพูดว่า “เพื่อการออกแบบเครื่องประดับในครั้งนี้ บริษัทได้จ้างผู้มีความสามารถพิเศษในการออกแบบอย่างสวีเสี่ยวชงซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการโฆษณามาถ่ายทำด้วยตัวเอง แต่เราได้เปลี่ยนดาราหญิงไปห้าหกคนแล้ว แถมยังใช้เงิน 20 ล้านหยวนเพื่อเชิญสาวมาแรงที่โด่งดังที่สุดในตอนนี้อย่างยางมี่มี่มาเป็นพรีเซนเตอร์ด้วย แต่ก็ไม่สามารถผ่านด่านผู้กำกับสวีไปได้อยู่ดี!”
“อีกเพียงไม่กี่วันก็จะถึงเวลาจัดจำหน่ายตามที่เราได้ประกาศออกไปแล้ว หากตอนนี้เรายังไม่สามารถแม้แต่จะถ่ายทำโฆษณาออกมาได้ มันคงต้องแย่แน่ๆ เลย!”
ในเวลานี้ เสียงผู้หญิงที่แสนจะเย่อหยิ่งก็ดังขึ้น “ฉันไม่เข้าใจจริงๆ เลย ทำไมฉันถึงไม่ผ่าน?”
“ขอถามหน่อย ปัจจุบันนี้มีใครในประเทศจีนเหมาะสมที่จะมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับผลงานที่น่าภาคภูมิใจที่สุดของมาสเตอร์คาเรนมากกว่าฉันหยางมี่มี่อีกเหรอ?”
“คุณพูดถูกค่ะ! เฉพาะมี่มี่ของเราเท่านั้นที่เหมาะสมที่สุด!”
“ไอ้ผู้กำกับบ้าอะไรเนี่ย ไม่เห็นมีวิสัยทัศน์เลยสักนิด! มี่มี่ของเราเกิดมาพร้อมกับความสวย ใครหน้าไหนที่คู่ควรและเหมาะสมที่จะสวมใส่ผลงานอันน่าภาคภูมิใจของมาสเตอร์คาเรนมากกว่าเธออีกเหรอ?”
กลุ่มแฟนคลับที่สนับสนุนมากมายส่งเสียงโห่ร้องในทันที หยางมี่มี่ยกคางขึ้นอย่างมีชัย จากนั้นเธอก็เดินไปหาชายที่มีสไตล์วรรณกรรมแล้วพูดอย่างหยิ่งยโสว่า “ผู้กำกับสวีค่ะ เวลาของฉันมีค่ามากนะ นาทีเดียวของฉันก็สามารถสร้างเงินเป็นล้านได้แล้ว!”
แต่ที่ไหนได้สวีเสี่ยวชงกลับไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองสาวมาแรงที่โด่งดังไปทั่วประเทศคนนี้เลย เขาพูดอย่างเย็นชาว่า “หญิงงามเมืองในตัวคุณโดดเด่นเกินกว่าไปแล้ว จึงไม่เหมาะที่จะสวมใส่เครื่องประดับที่เป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์นี้!”
“คุณ!……”
“ก็ได้! คุณบอกว่าฉันไม่คู่ควรกับมัน ฉันก็อยากทราบเหมือนกันว่าใครมีคุณสมบัติที่จะสวมใส่มันมากกว่าฉันอีก!”
“ขอโทษค่ะ ขอรบกวนหน่อย!”
อวิ๋นเสว่เหยนเดินเข้ามาในเวลานี้ และโค้งตัวลงแล้วยิ้มอย่างรู้สึกผิดกับสวีเสี่ยวชง “สวัสดีค่ะ ผู้กำกับสวี ฉันเป็นผู้อำนวยการออกแบบของบริษัทมู่ซือกรุปค่ะ ไม่ทราบว่าฉันจะสามารถ … ”
เมื่อสวีเสี่ยวชง ได้ยินเสียงพูด เขาก็เงยหน้าขึ้นโดยไม่รู้ตัว เมื่อเขาเห็นโฉมหน้าของอวิ๋นเสว่เหยน เขาก็ชะงักงันและนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นดวงตาของเขาก็เป็นประกาย และเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างกะทันหัน ทำให้อวิ๋นเสว่เหยนตกตะลึงไปเลย!
เมื่อมองดูดวงตาที่กำลังจะกลืนกินตัวเองคู่นั้น หัวใจของอวิ๋นเสว่เหยนก็กระตุกเล็กน้อย แต่เธอก็ยังกัดฟันพูดต่อว่า “ผู้กำกับสวีค่ะ ขอคุยกับคุณหน่อยได้ไหมคะ?”
“ยืนตัวตรง อย่าขยับ!”
สวีเสี่ยวชงตอบไม่ตรงคำถาม
อวิ๋นเสว่เหยนตกตะลึง และลุกขึ้นยืนตรงตามคำขอของเขาโดยไม่รู้ตัว สวีเสี่ยวชง เดินวนรอบตัวเธอสามรอบ สุดทั้งเขาก็ตบต้นขาของตัวเองแรงๆ “เยี่ยมมาก! นี่แหละพรีเซนเตอร์ที่ฉันตามหามานาน!”
“เจ้าหญิงผู้เป็นตัวแทนของความบริสุทธิ์และสูงศักดิ์ แถมยังมีบุคลิกที่เติบโตขึ้นจากโคลนโดยไม่มีการปนเปื้อนด้วย ซึ่งเป็นผู้ที่ลงตัวกับเครื่องประดับชิ้นนี้อย่างมาก!”
“คุณผู้หญิงครับ คุณสนใจมาเป็นพรีเซนเตอร์ของเครื่องประดับชิ้นนี้ที่มีชื่อว่าหัวใจชลาลัยไหมครับ?”
คำพูดดังกล่าวทำเอาทุกคนชะงักงันไปเลย!
หลังจากนั้นเป็นเวลานาน อวิ๋นเสว่เหยนเพิ่งจะรู้ตัว เธอรีบโบกมือไม่หยุด “ผู้กำกับสวีค่ะ ฉันว่าคุณเข้าใจผิดแล้ว ฉันแค่อยากจะมาประสานงานในครั้งนี้กับ … ”
ก่อนที่เธอจะพูดจบ เสียงที่แหลมคมก็ขัดจังหวะเธอซ่ะก่อน “ให้เธอมาเป็นพรีเซนเตอร์ในครั้งนี้เนี่ยนะ คุณกำลังล้อเล่นชาไหม!”
หยางมี่มี่เดินเข้ามาด้วยทีท่าหยิ่งยโส จากนั้นก็มองดูอวิ๋นเสว่เหยนด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยาม “เธอเป็นใคร แล้วมีคุณสมบัติอะไรที่จะมาเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับหัวใจชลาลัยเหรอ?”
ได้ยินคำพูดที่ไร้ความปรานีของเธอแล้ว อวิ๋นเสว่เหยนกัดริมฝีปากของเธอ แต่เธอยังคงพูดอย่างระงับอารมณ์ “คุณหยาง ฉันไม่ได้ตั้งใจจะแย่งตำแหน่งพรีเซนเตอร์ของคุณหรอก”
“ทำไมหล่อนไม่ไปส่องกระจกดูสาระรูปของตัวเองก่อนล่ะ อะไรก็ไม่รู้ แต่งตัวก็บ้านนอกแบบนี้ยังจะกล้ามาแย่งงานกับฉันอีกเหรอ?”
คำพูดวาจาที่ทำร้ายจิตใจซ้ำซากส่งผลให้เซี่ยงเส้าหลงที่ยืนอยู่ด้านข้างโกรธเคืองเช่นกัน ก่อนที่อวิ๋นเสว่เหยนจะพูด เขาก็เดินไปข้างหน้าและพูดว่า “เหยนเหยน ในเมื่อผู้กำกับสวีเชื่อมั่นในตัวคุณ คุณก็ลองดูสิ!”
“เชอะ! ป่าพอใหญ่ขึ้นแล้ว นกแบบไหนก็มีจริงๆ !”
หยางมี่มี่ทำเสียงฮึดฮัดด้วยความดูถูก “คุณคิดว่าการเป็นพรีเซนเตอร์ถ่ายทำโฆษณานั้น มีเพียงใบหน้าที่สวยงามก็เพียงพอแล้วหรือ?”
“ฉันจะบอกให้! การออกแบบทรงผมชั้นยอด สไตล์เสื้อผ้าหรูหรา ขาดไม่ได้เลยแม้แต่อย่างเดียว! การแต่งตัวบ้านนอกแบบเธอ แค่ดูก็อยากจะอ้วกแล้ว!”
กลุ่มแฟนคลับก็ตะโกนช่วยเธอทันที “ใช่! ไม่ดูสาระรูปอัตคัดของตัวเองเลย อย่างหล่อนก็คู่ควรที่จะมาแย่งงานพรีเซนเตอร์กับมี่มี่ของเราด้วยเหรอ?”
“ใช่! หล่อนรู้ไหมว่าชุดที่มี่มี่ของเราใส่อยู่ตอนนี้แพงแค่ไหน? มันคือชุดเดรสหรูที่ออกแบบโดยดีไซเนอร์ระดับมาสเตอร์ของโลก ซึ่งมีมูลค่าหลายล้านเชียวนะ! คนจนอย่างหล่อนจะมีปัญญาซื้อไหม?”
การเยาะเย้ยนับไม่ถ้วนถาโถมเข้ามา หยางมี่มี่ยกมือขึ้นกอดอกและยกคางขึ้นอย่างหยิ่งผยอง “เสื้อผ้าระดับนี้ ใช่ว่าคนธรรมดาจะมีปัญญาซื้อใส่ได้!”
“สาระรูปอย่างคุณ คู่ควรกับเสื้อผ้าราคาถูกตามข้างถนนเท่านั้น!”
“เสื้อผ้า? หาซื้อยากขนาดนั้นเลยเหรอ?”
เสียงราบเรียบของเซี่ยงเส้าหลงดังขึ้น จากนั้นเขาก็หันไปพูดกับอวิ๋นเสว่เหยนว่า “เหยนเหยน รอฉันสักครู่นะ!”
พูดจบ เขาก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาแล้วส่งข้อความ เมื่อเห็นว่าเขาดูน่าเชื่อถือดี หยางมี่มี่ก็ยิ้ม “รอคุณสักครู่แล้วไง คุณจะสามารถเปลี่ยนไก่ป่าเป็นนกฟีนิกซ์ได้หรือไง?!”
“ตลกชะมัด!”
เซี่ยงเส้าหลงมองดูเธออย่างเฉยเมย “จะเปลี่ยนเป็นฟีนิกซ์ได้หรือเปล่า ในอีกห้านาทีหน้าคุณจะรู้เอง!”
“โอ๊ย! ไร้สาระ ให้บันไดแกคุณแล้วคุณจะสามารถขึ้นสวรรค์ได้หรือไง!”
“ดี! ข้าจะคอยดูว่าในอีกห้านาที คุณจะสามารถเล่นลูกไม้อะไรได้!”
หลังจากนั้น เธอก็นั่งบนเก้าอี้ด้วยท่าทีหยิ่งผยอง เวลาผ่านไปทีละนิด ห้านาทีผ่านไปในชั่วพริบตา หยางมี่มี่มองไปที่เซี่ยงเส้าหลงและหัวเราะเยาะว่า “คนที่คุณพูดถึงอยู่ไหน? อย่าบอกนะว่าเป็นช่างตัดเสื้อและช่างกลผมที่คุณเชิญมาจากบ้านนอก!”
“ฮ่าๆ ……”
เสียงหัวเราะของเหล่าแฟนคลับดังสนั่นไปทั่ว ในเวลานี้ ก็มีคนเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว ทันทีที่เห็นเขา หยางมี่มี่ก็ตั้งตามองเขาและทักทายเขาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “คุณTony คุณมานี่ได้ไงคะ!”
“คุณเป็นนักออกแบบทรงผมระดับโลกเชียวนะ ฉันนัดคุณมาตั้งนานแต่คุณไม่เคยว่างเลย คุณช่วยดูหน่อยว่าวันนี้มีเวลาช่วยเขาออกแบบทรงผมใหม่หรือเปล่า?”
ใครจะไปรู้ว่า คุณTonyแค่เหลือบมองเธอ และไม่สนใจเธออีกเลย จากนั้นเขาก็ถามว่า “คนไหนคือคุณอวิ๋นเสว่เหยนครับ?”
อวิ๋นเสว่เหยนยืนขึ้นอย่างงุนงง “ฉันคืออวิ๋นเสว่เหยนค่ะ ไม่ทราบว่าคุณมีธุระอะไรกับฉันเหรอคะ?”
จู่ๆ ใบหน้าของคุณTonyก็เผยรอยยิ้มที่สดใส เขาเดินเข้ามาหาเธอ และโค้งคำนับตามมารยาทแบบตะวันตก “คุณอวิ๋นผู้สูงศักดิ์ เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ออกแบบทรงผมให้คุณ!”
“รับรองว่าผมจะทุ่มเทอย่างสุดกำลัง เพื่อออกแบบทรงผมที่สมบูรณ์แบบที่สุดแกคุณครับ!”
หลังจากพูดจบ ฝูงชนก็เงียบกริบ ส่วนหยางมี่มี่ก็ได้แต่อ้าปากค้างและชะงักงันกับที่!