พอเซี่ยงเส้าหลงได้เค้กที่อวิ๋นเยนเอ๋ออยากกินแล้วก็กลับบ้าน ขณะที่เพิ่งเดินมาถึงปากประตูก็ได้ยินเสียงทะเลาะวิวาทเสียงดัง
“ตาบอดกันหรือยังไง! รู้ไหมว่าฉันเป็นใคร? แม้แต่ฉันก็กล้าขวางเหรอ? ไสหัวไปซะ!”
จากนั้นก็เป็นเสียงกร้าวของเลี่ยหลงดังออกมา “ขอโทษครับ! ไม่มีคำสั่งของนายพลน้อย ไม่ว่าใครก็เข้าไม่ได้ครับ!”
“ถุย! เป็นแค่หมาที่เซี่ยงเส้าหลงเลี้ยงไว้ คิดว่าตัวเองเป็นใครกัน? รู้ไหมว่าคนที่อยู่ข้างฉันเป็นใคร? ท่านนี้เป็นถึงคุณชายห้าตระกูลฉินแห่งเสียนเฟิงเชียวนะ! ถึงเซี่ยงเส้าหลงจะอยู่ที่นี่ ก็ยังต้องก้มหัวคำนับทักทายเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหมาอย่างพวกแก!”
“พูดพล่ามอะไร!”
เสียงชายคนหนึ่งดังมาด้วยความหงุดหงิด “กูอยากจะเห็นเสียจริง ว่าใครกันที่อยากตายกล้ามาขวางทาง!”
“อ๋อ? งั้นผมก็อยากเห็นเหมือนกัน ว่าใครรีบร้อนอยากไปเกิดใหม่ขนาดนี้ กล้ามาบุกบ้านของผม!”
เมื่อเสียงเข้มดังมาจากด้านหลัง พวกเลี่ยหลงก็เงยหน้าพูดอย่างนอบน้อม “นายพลน้อย!”
“เชอะ ถึงว่าแหละว่าทำไมจู่ๆ หมาพวกนี้ถึงได้ใจ ที่แท้ก็เจ้าของกลับมาแล้วนี่เอง”
“เส้าหลง หมามันไม่รู้ความ แกก็ไม่รู้ความด้วยเหรอ?”
“เห็นอาหญิงแล้วยังไม่รีบทักทายอีก?”
เสียงหยิ่งลำพองดังขึ้น ที่พูดอยู่นั้นก็คือลูกสาวของเสิ่นเสว่เหลียน เซี่ยงชินชิน อาหญิงในนามของเซี่ยงเส้าหลงนั่นเอง
เซี่ยงเส้าหลงทำหน้าขรึมเดินเข้ามา เมื่อเห็นใบหน้าเย่อหยิ่งก้าวร้าวของเซี่ยงชินชินแล้วก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย “เอาแต่พูดถึงพวกเดียวกัน ฐานะนั้นทำให้คุณภูมิใจมากหรือไง?”
เซี่ยงชินชินอึ้ง ไม่เข้าใจความหมายในคำพูดของเซี่ยงเส้าหลง แต่เมื่อเห็นเขากลั้นหัวเราะไม่อยู่แล้วถึงนึกได้ หน้าบึ้งตึงด้วยความโกรธ “แกกล้าด่าว่าฉันเป็นหมาเหรอ?!”
เซี่ยงเส้าหลงเลิกคิ้ว ทำหน้าบริสุทธิ์ “ผมไม่ได้ด่าคุณนะครับ ก็แค่บรรยายถึงเรื่องเรื่องหนึ่งเท่านั้น…”
“แก….แก…!”
ฝีปากเซี่ยงเส้าหลงจัดจ้านมาก พูดไปไม่กี่คำก็ทำจนเซี่ยงชินชินตัวสั่นเทิ้ม พูดไม่ออก
ส่วนด้านข้างเขาก็เป็นชายหนุ่มหน้าขาวซีดที่ถูกพิษสุราทำลายจนเสียสุขภาพ มองเขาอย่างขมึงตึง “เฮอะ! เคยได้ยินมานานว่าไอ้กำพร้าตระกูลเซี่ยงไม่มีมารยาท ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ วันนี้พอได้เจอยังเหนือกว่าที่คิดไว้ซะอีกแน่ะ!”
“มึงไม่รู้อะไรที่เรียกว่าเด็กผู้ใหญ่หรือยังไง?”
“เด็กผู้ใหญ่? นั่นมันเรื่องของไอ้ลูกหมากับเธอ ตามหลักชีววิทยา พวกเรา…ไม่ใช่ประเภทเดียวกันครับ!”
นัยน์ตาชายหนุ่มแวบความเย็นยะเยือก “บังอาจ!”
“มึงรู้ไหมว่ากูเป็นใคร? ถึงได้มากล้าพูดกับกูแบบนี้?!”
เซี่ยงเส้าหลงมองเขานิ่งๆ “คุณเป็นใครก็ไม่เกี่ยวกับผม แต่ผมว่าพวกคุณคงจะเดินมาผิดที่แล้วล่ะครับ ศูนย์สุนัขจรจัดอยู่ด้านข้าง จากนี่เลี้ยวซ้ายแล้วตรงไปอีกยี่สิบเมตร ค่อยเดินนะครับ ไม่ส่ง!”
ว่าแล้วก็เดินเข้าประตูไป สองสามวินาทีต่อมาภายนอกประตูก็มีเสียงเกรี้ยวดั่งสายฟ้าของเซี่ยงชินชินดังเข้ามา “เซี่ยงเส้าหลง! แกตายแน่!”
“แกรู้ไหมว่าคนที่แกลบหลู่เป็นใคร? เขาเป็นถึงฉินห้าว คุณชายห้าตระกูลฉินแห่งเสียนเฟิงเชียวนะ”
จากนั้น เสียงวีนแตกของอู๋ห้าวก็ดังขึ้น “ไอ้สัส! ด่ากูแล้วคิดจะไปงั้นเหรอ? กลับมาเดี๋ยวนี้นะ ไม่งั้นกูจะเผาบ้านมึงให้วอดเลย!”
เมื่อได้ยินเสียงโหวกเหวกด้านนอกแล้วเซี่ยงเส้าหลงก็เดินเข้ามาด้วยความกังวล “เสี่ยวหลง ทำยังไงดีล่ะเนี่ย? ตระกูลฉินไม่เหมือนตระกูลเซี่ยงนะ ในสิบสองตระกูลลึกลับที่เกรียงไกร กำลังของตระกูลฉินพอจัดเป็นสามอันดับแรกเชียวล่ะ!”
“ถึงฉินห้าวจะเสเพล แต่ก็เป็นคุณชายตระกูลหลักของตระกูลฉิน ถ้าล่วงเกินเขา กลัวแต่จะเป็นผลร้ายกับพวกเรา”
เมื่อคิดถึงจุดนี้ เซี่ยงเส้าจุนก็กัดฟัน “แบบนี้แล้วกัน นายเข้าบ้านไปก่อน ฉันจะไปขอโทษเขาเอง”
เซี่ยงเส้าหลงฉุดแขนเซี่ยงเส้าจุนไว้ขวับ จากนั้นก็ถอดถอนใจ พี่ชายคนนี้อะไรก็ดี เสียแต่นิสัยเนี่ย พูดให้น่าฟังหน่อยก็คือรอบคอบ ฟังดูแย่หน่อยก็คืออ่อนแอ แต่…ด้วยความยโสของฉินห้าวกับเซี่ยงชินชิน ถึงเซี่ยงเส้าจุนจะไปขอโทษก็รังแต่จะอัปยศกลับมาเท่านั้น
เมื่อคิดถึงจุดนี้เขาจึงพูดเสียงหนัก “เลี่ยหลง ให้พวกเขาเข้ามา”
ปัง!
ประตูใหญ่ถูกถีบออก คนกลุ่มหนึ่งพรวดเข้ามาทันที ใบหน้าเซี่ยงเส้าหลงไม่หวั่นเกรง เปิดปากพูดเรียบ “มีเรื่องอะไรก็ว่ามา”
เซี่ยงชินชินรีบเติมไข่ใส่นม “ที่รัก เห็นไหมล่ะ ไอ้เซี่ยงเส้าหลงมันกำเริบเสิบสาน ไม่เห็นผู้ใหญ่อยู่ในสายตา เขาไม่เห็นฉันอยู่ในสายตาก็แล้วไป เพราะถึงยังไงพวกเราก็บ้านเดียวกัน แต่คุณเป็นถึงใคร ไม่ใช่แค่อาเขยตระกูลเซี่ยง แต่ยังเป็นลูกภรรยาหลวงของตระกูลฉิน เขาจะกล้าไม่เห็นคุณอยู่ในสายตาได้ยังไงล่ะคะ นั่นเท่ากับไม่เห็นตระกูลฉินอยู่ในสายตาเลยนะ!”
ไม่กี่คำก็เน้นไปที่เชื้อสายตระกูล
เมื่อฉินห้าวได้ฟังก็เดือดพลุทันที ดวงตาแฝงความอาฆาตมองเซี่ยงเส้าหลง “ไอ้เด็กเมื่อวานซืนมึงคิดว่ามึงเป็นใคร ลูกเมียหลวงตระกูลเซี่ยง? ถุย!”
“มึงมันก็แค่หมาจรจัดที่ร่อนเร่อยู่ข้างนอกเท่านั้นเอง!”
“คิดว่าเป็นทหารมีตำแหน่งมาไม่กี่ปีแล้วจะเป็นคนใหญ่คนโตเหรอ? ต่อหน้าตระกูลฉิน มึงมันก็แค่มดแมลงที่ไม่มีค่า คิดจะบดขยี้มึง ง่ายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือ!”
เมื่อได้ยินการลบหลู่ของฉินห้าวแล้ว อวิ๋นเสว่เหยนที่อยู่ด้านข้างก็ทนฟังไม่ไหวอีก ขึงหน้าขึ้นพูด “ถ้าคุณขาดการอบรม งั้นกลับบ้านแล้วก็ให้พ่อแม่ช่วยอบรมสั่งสอนหน่อยนะ ถ้าสมองคุณมีปัญหา ก็ไปรักษาที่โรงพยาบาลซะ ที่นี่ไม่ต้อนรับคุณ เชิญคุณกลับไปได้!”
เมื่อได้ยินอวิ๋นเสว่เหยนลบหลู่ฉินห้าว เซี่ยงชินชินที่อยู่ด้านข้างก็เป็นฟืนเป็นไฟ “นังตัวดีแกมาจากไหนกัน แกไม่มีสิทธิ์มาพูดตรงนี้นะ!”
“คิดว่าเข้าข้างเซี่ยงเส้าหลงแล้วจะบินขึ้นยอดไม้ได้งั้นเหรอ? จะบอกให้นะ ขนาดมันยังเป็นแค่หมาจรจัดเลย แล้วแกจะเป็นอะไรไปได้?!”
จากนั้นก็แสร้งทำเป็นจริงจังถอดถอนใจ “นังตัวดีเธอก็หน้าตาไม่เลวนะ แต่น่าเสียดาย ดันไปกอดผิดขา”
“ฉวยตอนนี้ที่ยังดูดีอยู่ หาขากอดใหม่ก็ไม่สายนะ”
อวิ๋นเสว่เหยนจะไม่เข้าใจความหมายในวาจาของเซี่ยงชินชินได้อย่างไร ทันใดนั้นก็โมโหหน้าอกยก “คุณหมายความว่ายังไง? เห็นฉันอวิ๋นเสว่เหยนเป็นคนแบบไหนกัน?!”
“คนแบบไหน?” เซี่ยงชินชินยิ้มเยาะ “ก็ไม่ใช่คนชั้นต่ำที่อาศัยหน้าตาเย้ายวนผู้ชายหรอกเหรอ? คนไหนมีเงิน มีอำนาจก็ปีนขึ้นเตียงคนนั้น เธอคิดว่าฉันมองไม่ออกหรือไง?”
“เห็นแก่ที่เป็นผู้หญิงเหมือนกัน ฉันจะแนะนำที่กระเป๋าหนักให้ เอาแบบมีเงินเป็นล้านล้าน แต่ก็นะ…อายุเยอะไปหน่อย แต่ไม่เป็นไร ขอแค่เธอมีฝีมือ อยู่บนเตียงรีดเขาให้เกลี้ยงได้ทุกวัน ไม่แน่นะ ไม่กี่ปีพอเข้าโลงไปแล้ว ทรัพย์สมบัติก็ไม่ตกเป็นของเธอทั้งหมดหรอกเหรอ? ฮ่าๆ…”
เพียะ!
เสียงหัวเราะยังไม่ทันขาดก็เป็นเสียงตบดังก้องไปทั่ว เซี่ยงชินชินกุมใบหน้าด้านขวาที่บวมขึ้น แล้วมองเซี่ยงเส้าหลงอย่างคิดไม่ถึง
คนหลังเย็นชาตึงเครียด และความเย็นชานั้นก็เอ่อล้นออกมาจากคำพูด “คุกเข่าขอโทษ! ไม่งั้น…ชาตินี้ก็ไม่ต้องเปิดปากพูดอีก!”