ภินท์ฟ้าฆาตปฐพี – บทที่ 156 แมลงวันที่น่ารำคาญ

ภินท์ฟ้าฆาตปฐพี

เมื่อเห็นใบหน้าอ้วนตุ๊ต๊ะกะลิ้มกะเหลี่ยแล้ว ฉินซางก็ทำหน้าฉงนใจ “ผมรู้จักคุณด้วยเหรอ?”

“แหมๆ คุณชายฉินเป็นถึงคนระดับไหน ก็ต้องไม่รู้จักคนต่ำต้อยอย่างผมอยู่แล้วล่ะครับ แต่ผมโชคดีเคยเห็นตัวจริงของคุณชายฉินครั้งหนึ่ง อยากไปเยือนมาตลอด คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะได้เจอที่นี่ ผมรู้สึกเป็นเกียรติมากเลยครับ!”

ฉินซางเป็นคนโง่ที่ไหนกัน เมื่อได้ฟังการยกยอปอปั้นแล้วก็ยกมุมปากแล้วพูด “คุณมีเรื่องอยากขอร้องผมใช่ไหม?”

เมื่อถามไปตรงๆ แบบนี้ ท่านกุ้นก็หน้าแดง แต่ก็ยังพูดต่อ “สมกับที่เป็นคุณชายฉินจริงๆ ชาญฉลาดตาแหลมเหลือเกิน ตอนนี้ผมมีอยู่โครงการอยากร่วมมือกับบริษัทของตระกูลฉินอยู่พอดี ในเมื่อวันนี้โชคดีได้พบคุณชาย จะขอหน้าด้านให้คุณชายช่วยเหลือ ให้โอกาสสักครั้งได้ไหมครับ?”

“โอกาส?”

ฉินซางหัวเราะ “แต่ลูกน้องคุณจะฆ่าผมให้ตายเนี่ยเหรอ?”

ดวงตาท่านกุ้นเคืองทันที แผดเสียงดัง “เอาไอ้คนมีตาไร้แววมานี่เดี๋ยวนี้!”

ชายหัวล้านสะดุ้งโหยง ตัวสั่นพั่บๆ ถูกพามาทันที ท่านกุ้นไม่พูดพร่ำทำเพลง ตบเพียะๆๆๆ ไปสิบกว่าที เมื่อนั้นใบหน้าก็บวมเป่งราวกับหมู จากนั้นเขาก็รับมีดจากลูกน้องมาวางที่ลำคอของชายหัวล้าน พูด “คุณชายฉิน เป็นผมที่ไม่เข้มงวดเอง คุณพูดมาได้เลยครับ ขอแค่คุณคลายความโมโห จะให้ผมเชือดมันตรงนี้เลยก็ได้!”

ชายหัวล้านเข่าทรุดลงกับพื้นทันที “ท่าน…ท่านกุ้น ไว้ชีวิตด้วยครับ!”

“ผมไม่รู้จริงๆ ว่าฐานะของสองท่านนี้จะสูงส่งขนาดนี้! ถ้ารู้…ต่อให้เงินเยอะแค่ไหนผมก็ไม่รับงานของไอ้ตระกูลเซี่ยงนั่นหรอกครับ!”

ดวงตาเซี่ยวเส้าหลงนิ่งทันที “ตระกูลเซี่ยง? ใคร?”

เวลานี้ชายหัวล้านไหนเลยจะกล้าปิดบัง รีบพูดโดยพลัน “เซี่ยงปิง ลูกของท่านสามตระกูลเซี่ยง!”

“เขาให้เงินผมมาก้อนหนึ่ง ให้ผมรออยู่นี่แล้วเอาคุณไปชานเมือง ทางนั้นก็มีพรรคพวกดักซุ่มอยู่อีกหลายสิบคน บอกว่าจะเอาชีวิตคุณ!”

ตระกูลเซี่ยง…ในที่สุดก็อดใจไม่ไหวแล้วสินะ?

ดวงตาเซี่ยงเส้าหลงแวบประกาย เปิดปากพูด “สถานที่ที่ว่า อยู่ไหน?”

ชายกำยำหัวล้านไม่กล้าหมกเม็ด พูดออกมาหมดเปลือก เซี่ยงเส้าหลงก็เข้าใจในบัดดล จากนั้นเขาก็พูดกับฉินซาง “เรื่องตรงนี้ให้นายจัดการแล้วกัน”

ฉินซางพยักหน้า

ครั้นแล้วเซี่ยงเส้าหลงก็พูดกับหลัวผิงที่อยู่ข้างๆ อย่างเป็นมิตร “สหายท่านนี้ ไม่ทราบจะคุยกันหน่อยได้ไหม?”

แม้นท่านกุ้นที่มีอิทธิพลขนาดนี้ เมื่ออยู่ต่อหน้าเซี่ยงเส้าหลงยังต้องเจียมตัวอ่อนน้อม ทว่าคนเช่นนี้กลับมาพูดจาเกรงใจกับตนเสียได้ นี่ก็ทำให้หลัวผิงประหลาดใจมาก ดังนั้นจึงตามเซี่ยงเส้าหลงออกมา

เมื่อเดินออกมาจากลานจอดรถชั้นใต้ดิน แล้วมาถึงปากประตูโรงแรมห้าดาวแห่งหนึ่งแล้ว หลัวผิงก็มองเซี่ยงเส้าหลงอย่างงงๆ “เออ…จะไปไหนเหรอครับ?”

เซี่ยงเส้าหลงหัวเราะเบา “ก็การช่วยเหลือกับการผดุงความยุติธรรมของคุณเมื่อกี้ ผมก็ต้องขอบคุณคุณนะสิครับ!”

“ถ้าไม่รังเกียจก็ทานข้าวด้วยกันสักมื้อเถอะ”

หลัวผิงรีบโบกมือทันที “ไม่…ไม่ต้องหรอกครับ!”

“นี่เป็นงานในหน้าที่ของผมอยู่แล้ว แถมไม่ได้ช่วยอะไรเลย อีกอย่าง ฐานะของผมก็ไม่คู่ควรกับโรงแรมไฮโซอย่างนี้ด้วย!”

เซี่ยงเส้าหลงฉุดแขนเขาทันที แสร้งเป็นโมโหพูด “คู่ควรหรือเปล่า เอาผมว่า!”

ว่าแล้วก็ลากหลัวผิงเข้าโรงแรมไป

“โรงแหรมหรูจังเลยน้า!”

เมื่อหลัวผิงเข้าโรงแรมมาแล้วสะท้อนใจไปคำหนึ่ง เห็นชัดว่าเขามาสถานที่มีระดับแบบนี้เป็นครั้งแรก ระทึกใจมาก ถูกการตกแต่งหรูหราทำจนตาลาย

พวกเขาเข้าห้อง VIP มีระดับห้องหนึ่ง หลัวผิงวางตัวไม่ถูก ปรับตัวเข้ากับแวดล้อมนี้ไม่ได้อย่างเห็นได้ชัด

“มาเถอะ เมื่อพานพบก็คือวาสนา วันนี้ผมจะดื่มเป็นเพื่อนคุณเอง!”

เพื่อคลายความตึงเครียดของอีกฝ่าย เซี่ยงเส้าหลงจึงกวักมือ หัวเราะพูด

“ทางนี้ เอาเหล้าเหมาถายมาสองขวด!”

คำพูดของเซี่ยงเส้าหลงทำให้หลัวผิงตกใจทันที รีบปัดมือใหญ่ “ไม่! ไม่ต้องครับ! แพงไปแล้ว เอาแค่เอ้อกัวโถวก็พอแล้วครับ!”

“ฮ่าๆ คุณวางใจดื่มไปเถอะครับ หมดนี่ ผมเลี้ยงเอง!”

ถึงเสียงของเซี่ยงเส้าหลงจะไม่ดัง แต่ในน้ำเสียงแน่วแน่นั้นกลับไม่ยอมให้ใครเกิดข้อสงสัย

ดังนั้นหลัวผิงจึงได้แต่เกาศีรษะ พยักหน้ายอมรับ

ไม่นานสุราก็ขึ้นโต๊ะ เซี่ยงเส้าหลงเปิดออกแล้วรินให้หลัวผิงก่อน “แก้วแรกนี้ ผมขอดื่มให้คุณ ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือ”

ว่าแล้วเซี่ยงเส้าหลงก็ยื่นไปตรงหน้าอีกฝ่ายกับมือ

หลัวผิงสะดุ้ง รับแก้วเหล้าไว้ในมือ ดวงตาทั้งคู่เริ่มแดงเล็กน้อยแล้วพูดเสียงเบา “ผมไม่มีความรู้ มีแต่กำลังทื่อๆ นิดหน่อยเท่านั้น ไปไหนก็ไม่เคยมีใครให้ความสำคัญ โตจนป่านนี้ คุณเป็นคนแรกเลยที่เห็นผมเป็นคน”

เซี่ยงเส้าหลงยิ้มนิดๆ ตบบ่าเขา “เพชรยังไงก็ต้องเปล่งประกาย คุณต้องเชื่อว่าตัวเองต้องประสบความสำเร็จเข้าให้สักวัน”

การกินข้าวดื่มสุราเป็นทางลัดในการกระชับมิตร เมื่อสุราลงท้อง เซี่ยงเส้าหลงกับหลัวผิงก็เปิดอกพูดคุย ความสัมพันธ์ก็แน่นแฟ้นขึ้นมาไม่น้อย

เมื่อสุราลงท้องไปสองขวด หลัวผิงก็หน้าแดงก่ำ โบกมือลุกขึ้นยืน “ผม…ผมไปเข้าห้องน้ำหน่อยนะครับ คุณเซี่ยง คุณรอผมเดี๋ยวนะครับ”

เซี่ยงเส้าหลงหัวเราะพยักหน้า สิบนาทีให้หลัง พอหลัวผิงกลับมาจากห้องน้ำแล้ว นอกจากฤทธิ์สุราหายหมด แถมใบหน้ายังซีดเซียว “หลัวผิง เกิดอะไรขึ้น?” เมื่อเซี่ยงเส้าหลงเห็นความผิดปกติก็เอ่ยปากถาม

หลังจากที่รู้จักกันในระยะเวลาสั้นๆ เขาก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายเป็นคนดี มีคุณธรรมพอตัว มีความกล้า ถึงจะซื่อ แต่ก็มีฝีมือร้ายกาจ ดังนั้นจึงทำให้เซี่ยงเส้าหลงเกิดหวงแหนในคนมีความสามารถทันที

“ผม…”

ขณะที่หลัวผิงกำลังจะพูด ประตูห้องก็ถูกคนผลักเข้ามา จากนั้นก็มีคนสองคนเดินเข้ามาอย่างยโส

คนที่เข้ามาเป็นชายหนึ่งหญิงหนึ่ง ผู้หญิงยังวัยรุ่นมาก ประมาณยี่สิบปีเศษ หน้าตาสะสวย รูปร่างไม่เลว แต่แต่งหน้าทาปากจัดจ้าน แต่งตัวทันสมัย ฉีดน้ำหอมกลิ่นฉุนจัด ทว่ากลับมีความกร้านโลกที่เด่นชัดอยู่บนตัว

ชายคนนั้นอย่างน้อยต้องมีอายุสี่สิบขึ้น แทบเป็นพ่อของผู้หญิงคนนั้นได้เลย หัวล้านเป็นไข่ดาว พุงย้วย ใบหน้าซีดเซียว ดูก็รู้ว่าถูกพิษสุราทำจนสุภาพเสียไปหมด

“อ้าว หลัวผิง ฉันก็นึกว่าตอนนี้แกจะได้ดิบได้ดีแล้วเสียอีก ถึงกับมากินข้าวที่โรงแรมห้าดาวได้ ที่แท้ก็คนอื่นเลี้ยง หลอกเขากินใช่ไหมล่ะ?”

หญิงแต่งหน้าจัดมองหลัวผิงที่หนึ่งแบบเหยียดๆ ดวงตาเต็มไปด้วยความดูแคลน

เมื่อได้ยินคำพูดของเธอแล้ว หลัวผิงก็หน้าแดงก่ำ พูดเสียงดัง “เอ้อยา ฉันไม่ใช่คนที่จะหลอกเขากินสักหน่อย!”

หญิงสาวราวกับถูกคนเหยียบหาง กรี๊ดทันที “ใครชื่อเอ้อยาฮะ! บอกกี่ครั้งแล้วว่าให้เรียกฉันว่าหวังเหม่ยลี่!”

“แกดูตัวแกซิ กี่ปีแล้วยังเป็นแบบนี้อีก ฉันว่าอยู่แล้วเชียว เมื่อก่อนก็เป็นไอ้คนจน ตอนนี้ก็เป็นแค่ยาม แล้วก็คงต้องเป็นอยู่อย่างนี้ไปจนตายนั่นแหละ!”

“เธอ…เธอจะมากไปแล้วนะ!”

หลัวผิงบีบมือแน่น หน้าแดงก่ำ

“แหม ยังโกรธอีก? แล้วจะยังไง? ดูตัวเองตอนนี้สิ ยังใส่ชุดยามอยู่เลย มากินข้าวที่โรงแรมไฮโซแบบนี้ได้ยังไง ถ้าไม่ได้หลอกเขากินจะเป็นอะไรไปได้อีก?? ”

หวังเหม่ยลี่พูดจาเสียดแทงเหยียดหยามอย่างหนัก

“เหม่ยลี่จ๊ะ ไอ้ดำเตี้ยนี่ใครเหรอ?” ชายวัยกลางคนหัวล้านหัวเราะ โอบเอวคอด ยิ้มกริ่มพูด

“พี่หลงขา เขาเป็น ‘แฟนเก่า’ ฉันเองแหละ ก็แค่ไอ้คนจน แต่ฉันเลิกกับเขาแล้วนะ ตอนนี้ฉันรักพี่ที่สุดเลย”

หวังเหม่ยลี่ยิ้มหวาน เรือนร่างอ้อนแอ้นเสียดสีอกชายวัยกลางคนไม่หยุด

“ที่แท้ก็แฟนเก่าเธอนี่เอง ดูชุดยามทุเรศนั่นสิ เดือนหนึ่งจะได้สักกี่ตังเชียว?”

ชายวัยกลางคนหัวล้านมองหลัวผิง พูดจาถากถาง

เขาเป็นคนรวย แต่กลับดูถูกคนจน

เมื่อเห็นสายตาดูแคลนของอีกฝ่ายแล้ว หลัวผิงก็ทำหน้าเคียดแค้น กำหมัดแน่น อยากซัดมันสักยกเหลือเกิน

“พี่หลงขา ถึงฉันจะเลิกกับเขาแล้ว แต่พอเห็นเขาตกอับถึงขนาดต้องหลอกเขากินแบบนี้ ฉันก็รู้สึกแย่จังเลยละค่ะ”

หวังเหม่ยลี่ทำเป็นเศร้า ทำเป็นเห็นใจกับหลัวผิง แต่ที่จริงกลับเป็นการพูดทิ่มแทง

เหม่ยลี่ เธอเป็นคนใจงามจริงๆ ฉันดูเธอไม่ผิดเลย

ชายวัยกลางคนหัวล้านถูกท่าทางของหวังเหม่ยลี่หลอก พูดด้วยความประทับใจ

“พี่หลงขา พี่เป็นถึงเถ้าแก่ใหญ่ ไม่งั้นก็ช่วยเขาหางานหน่อยสิคะ ถือเป็นการชดเชยความรู้สึกผิดของฉัน”

หวางเหม่ยลี่ยิ้มหวาน ยิ้มเล็กยิ้มน้อยพูด

“ได้สิจ๊ะ โรงงานเรากำลังขาดคนกวาดพื้นอยู่พอดี ไม่งั้นเธอก็ให้เขาไปทำแล้วกัน”

ชายวัยกลางคนหัวล้านพยักหน้า ทำใหญ่ทำโตพูด

“หลัวผิง ฉันหางานกวาดพื้นให้แล้วนะ อย่าดูถูกงานแบบนี้เชียวล่ะ เงินเดือนตั้งสองพันหยวน แถมไม่ต้องตากแดดตากลม ดีกว่ายามอะไรนั่นตั้งเยอะ จะทำไม่ทำ?”

หวังเหม่ยลี่ยิ้มพูด ถึงใบหน้าเธอจะยิ้มแย้ม แต่รอยยิ้มที่เสียดสีนั้นกลับเป็นการดูถูก

เธอเยาะเย้ยหลัวผิง เหยียบย่ำศักดิ์ศรีของเขา

หลัวผิงหน้าเขียวปั๊ด เห็นชัดว่าถูกปากสุนัขของทั้งสองทำจนโมโหจัด สั่นระริกไปทั้งตัว

เซี่ยงเส้าหลงขมวดคิ้วเล็กน้อย มองสีหน้าโกรธจัดของหลัวผิง ตบบ่าเขาแล้วจึงพูดเรียบๆ “หลัวผิง สองคนนี้ใครเหรอ? มารบกวนการกินข้าวของพวกเรา แมลงวันน่ารำคาญมีอยู่ทุกที่เลยสิน่า!”

ภินท์ฟ้าฆาตปฐพี

ภินท์ฟ้าฆาตปฐพี

Status: Ongoing
ลูกสาวถูกขายให้เป็นเจ้าสาวเด็ก ภรรยาตกเป็นหมากให้คนอื่น เซี่ยงเส้าหลงกลับมาพร้อมกับความโกรธ รวบอำนาจแห่งความยิ่งใหญ่ เทพสงครามเดือดผนึกโลก ยกกองทัพออกศึกสะท้านปฐพี

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท