ตัวเอกพวกนั้นฉันฆ่าเองแหละ – ตอนที่ 93

ตอนที่ 93

ตอนที่ 93 แม่มดศตวรรษที่ 21 (5)

ว่าด้วยเรื่องสิทธิการครอบครองในทรัพย์สินทางปัญญาของพลังพิเศษ ข้อพิพาทเกี่ยวกับพลังพิเศษจะถูกตัดสินในระดับสากลโดยที่ไม่ใช่แค่เรื่องของในประเทศ

ในอีกความหมายหนึ่งก็คือ แค่เพราะว่าเกาหลีมีเวทมนตร์ ไม่ได้หมายความว่ารัฐบาลเกาหลีเองจะสามารถครอบครองมันได้ในทันที

แน่นอนว่า ยังไงซะประเทศเกาหลีก็ยังคงเป็นประเทศเกาหลีอยู่วันยังค่ำ เพื่อที่จะปกป้องเวทมนตร์ไว้เป็นสมบัติของพวกเขาเอง ทางรัฐบาลเกาหลีได้ส่งนักกฎหมายและเอเจนซี่มากฝีมือมาเพื่อช่วยเหลือผู้ซอดัม

อย่างไรก็ตาม การสนับสนุนของพวกเขาไม่ได้มีความหมายมากนัก

ตั้งแต่แรก เกณฑ์การตัดสินใจสิทธิขาดของทรัพย์สินทางปัญญาพลังพิเศษในตอนจบนั้นคือ “คุณสามารถจะกล่าวอ้างได้มากเท่าไหรถึงความเป็นเจ้าของในพลังพิเศษนั้นๆ?” แม้ว่าจะมีอัยการที่รู้กฎหมายเป็นอย่างดีและมีความสามารถชั้นเลิศในการโต้เถียง พวกเขาจะสามารถเอาชนะต่อหลักฐานที่ยูซอดัมแสดงออกมาได้งั้นเหรอ?

ไม่มีทาง

อย่างไรก็ตาม ทางประเทศก็ต้องการที่จะทําให้ดีที่สุดเช่นกัน

นับตั้งแต่ที่กิลด์โมเรียนได้เปิดเผยว่าพวกเขาได้ศึกษาเวทมนตร์นี้มากตั้งแต่เมื่อหลายร้อยปีที่แล้วผ่านทาง*ทูปและอีกหลายช่องข่าวหลังจากการแถลงข่าวครั้งล่าสุด ทําให้โอกาสที่จะชนะของอนาเตอร์กิลด์และเอาสิทธิในการใช้เวทมนตร์มาสู่เกาหลีนั้นช่างแสนเลือนลาง

“คุณเยคาเทริน่าและคุณยูซอดัมจากอนาเตอร์ลีก เชิญนั่ง…”

ในกรณีที่มีข้อพิพาทในเรื่องสิทธิของทรัพย์สินทางปัญญาของพลังพิเศษเกิดขึ้น การพิจารณาคดีจะถูกจัดขึ้นที่สมาคมยอดมนุษย์ระดับนานาชาติ ซึ่งทําให้การแทรกแซงของทางประเทศนั้นเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเกิดขึ้น

คณะกรรมการพิเศษระหว่างประเทศที่มีหน้าที่ในการพิจารณาคดีในครั้งนี้ประกอบไปด้วยผู้เข้าร่วมทั้งหมด 500 คนและมีฝ่ายนิติบัญญัติอยู่ในนั้นมากกว่า 50 คน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทําไมเยคาเทริน่าถึงได้ดูเครียดเป็นอย่างมาก

ซอดัมส่งแว่นตาบางๆอันหนึ่งให้กับเยคาเทริน่า

“มันคือ?”

“มันคือ “แว่นตาแห่งความกล้า” เมื่อไหรก็ตามที่เธอใส่มัน เธอจะกลายเป็นผู้กล้า”

“มันของแบบนั้นด้วยเหรอไงกันค่ะ?”

“แน่นอนสิ เธอไม่เชื่อฉันหรือไง?”

“ฉันเชื่อ”

เยคาเทริน่าพยักหน้าตอบและสวมแว่น

แน่นอนว่า มันไม่มีของเช่นแว่นตาแห่งความกล้าอยู่ในโลกใบนี้หรอก ฉันก็แค่พูดมันออกไปเพื่อเพิ่มความกล้าบางส่วนให้กับเธอเท่านั้นเอง

ไม่ใช่แค่เยคาเทริน่าเท่านั้นที่เป็นกังวล แม้แต่ตัวของยูซอดัมเองก็ค่อนข้างที่จะรู้สึกตึงเครียด

ในอาชีพการทํางานเป็นฮันเตอร์แรงค์ F ของเขามานานถึง 16 ปีเต็ม มันไม่เคยมีสักครั้งเลยที่เขาต้องมายืนอย่างภาคภูมิใจในเวทีขนาดใหญ่เช่นนี้

อย่างไรก็ตาม ในปีที่ผ่านมานี้ ชีวิตทั้งหมดของเขาได้เปลี่ยนแปลงมาอย่างรวดเร็ว

เขาได้ฆ่าคนย้อนเวลากลับไปได้,ฆ่าคนที่ไม่มีวันตายและวนลูปได้ไม่รู้จบเมื่อตาย,ฆ่าแม่มดที่มีพลังอํานาจที่เทียบได้กับพระเจ้าที่ครองร่างของคนอื่น,ฆ่าดาบศักดิ์สิทธิ์ในตํานานที่ปกครองทั้งจักรวรรดิมาอย่างยาวนานนับพันๆปี และได้ลุกขึ้นเพื่อต่อกรกับราชาปีศาจและฆ่าฮีโร่ที่อยู่ในโลกใบนั้นลงได้เช่นเดียวกัน

(ผู้แปล : 5555 เดอมาร์ถูกลืม)

แน่นอนว่า ในนั้นก็มีเรื่องที่โม้อยู่บ้าง อย่างไรก็ดีสิ่งต่างๆที่ได้เกิดขึ้นในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมาได้ทําให้จิตใจของยูซอดัมแข็งแกร่งมากขึ้นไปอีกระดับ ต้องขอบคุณในเรื่องนี้ เขาสามารถที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้ตนเองหวาดกลัวจนตัวแข็งที่อที่นี่ได้

แต่ด้วยความกล้าเพียงลําพังไม่อาจที่จะเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ได้ แต่มันก็ยังเป็นความคิดที่ดีที่จะแสดงความกล้าออกมาต่อหน้าของกิลด์ยักษ์ใหญ่เช่นกิลด์โมเรียนและลอสเดย์

ความกล้ามันเพียงแค่ส่วนที่เล็กที่สุดที่คุณจําเป็นที่จะต้องมีก่อนจะสู้กับใครสักคนอยู่แล้ว

“เอวานกิลด์โมเรียน ยูฮารามกิลด์ลอสเดย์ เชิญนั่ง”

ซอดัมมองตรงไปด้านหน้า

ในกรณีของข้อพิพาทในเรื่องการครอบครองสิทธิพลังพิเศษนั้น ทางสมาคมจะเตรียมพื้นที่ให้กับทั้งสองฝ่ายได้แสดงหลักฐานของตัวเองออกมาเพื่อใช้ในการโต้แย้งกันก่อนที่จะตัดสินว่าใครถูกใครผิด

ในอีกความหมายก็คือ เช่นเดียวกับฝั่งของยูซอดัมและเยคาเทริน่า เอวานก็ได้แสดงตัวที่นี่เช่นกัน ด้านขวาของเธอ หัวหน้ากิลด์ลอสเดย์ ยูฮาราม ได้นั่งอยู่และมองตรงมาทางฝั่งของยูซอดัมด้วยรอยยิ้มที่ผ่อนคลาย

“ลอสเดย์ หืม?..”

ยูซอดัมรู้ดีว่าในตอนที่ดันเจี้ยนที่บิดเบี้ยวเกิดขึ้นที่อินชอน ลอสเดย์นั้นได้ใช้เครื่องจักรแปลกๆ เกิดจากการรวมกันระหว่างเวทมนตร์และวิทยาศาสตร์ซึ่งในตอนนั้นเขายังไม่รู้ว่าลอสเดย์ได้มันมาจากที่ไหน

ในเวลานั้น ลอสเดย์มีความมั่นใจเป็นอย่างมากว่าพวกตนจะต้องจัดการกับดันเจี้ยนนั้นได้แน่ เบื้องหลังความมั่นใจนั้นคงทั้งหมดนั้นเป็นเพราะว่าพวกเขาได้รับความช่วยเหลือจากกิลด์ที่เป็นศูนย์กลางของเวทมนตร์เช่นโมเรียน

และในตอนนี้ชายคนที่ได้เตะเขาออกไปจากกิลด์ลอสเดย์กําลังอยู่ต่อหน้าของเขา มันไม่ได้มีเรื่องอะไรในเขาต้องกังวลหรอก แต่ว่าตัวตนของยูฮารามด้วยตัวมันเองก็เป็นกําแพงขนาดใหญ่ที่ยูซอดัมจะต้องข้ามไปให้ได้

ซอดัมถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ในขณะที่มองไปยังยูฮารามที่แสนผ่อนคลาย

“จากนี้ไป พวกเราจะเริ่มพูดคุยในเรื่องของศาสตร์ลึกลับที่ใช้แกนพลังงานและสิทธิความเป็นเจ้าของใน “เวทมนตร์”

กล้องทั้งหมดที่นี่ได้หันไปยังหน้าของยูซอดัมและเอวาน

“อันดับแรก หัวหน้าเอวานจากกิลด์โมเรียน เชิญพูด”

เอวานลุกขึ้นและทักทายผู้บรรยายก่อนที่เธอจะเดินตรงไปด้านหน้า

ด้วยความที่มันเป็นการพิจารณาในเรื่องของพลังพิเศษ เดิมที่แล้วสถานที่แห่งนี้จะเป็นสถานที่ซึ่งใช้ในสาธิตพลังพิเศษออกมาอย่างเต็มรูปแบบหรือไม่ก็จะเต็มไปด้วยตัวปล่อยอีเทอร์และอุปกรณ์ตรวจจับอีเทอร์หลากหลายประเภทแทน แต่ในตอนนี้พวกเขาได้ย้ายมันออกไปและแทนที่ด้วยอุปกรณ์ตรวจจับ “แกนพลังงาน” แทน

เอวานเดินออกมาตรงกลางและกดรีโมทควบคุมที่ชี้ไปทางจอโปร่งใส สิ่งที่กําลังฉายออกมาดูราวกับว่าเป็นเอกสารและวัสดุโบราณ

“สวัสดีค่ะ ฉันชื่อเอวาน ก็อย่างที่ทุกท่านทราบกันดี ฉันเป็นนักเวทย์ ทุกๆท่านค่ะ มันเป็นเวลาเพียงแค่สามวันเท่านั้นเองนับตั้งแต่ที่เวทมนตร์ได้รับการเปิดเผยให้โลกได้รับรู้ แต่พวกคุณรู้ไหมค่ะ? ว่าในความจริงแล้ว เวทมนตร์ได้รับการศึกษามาเป็นเวลาที่นานมาก มันถูกใช้มาเป็นเวลานานก่อนยุคอียิปต์โบราณเสียอีก แม้ว่าแก่นพลังงานพึ่งจะถูกค้นพบเมื่อไม่นานมานี้เอง แต่บรรพบุรุษของพวกเราเคยใช้แก่นพลังงานที่เป็นสิ่งที่สอดคล้องกับธรรมชาติและจักรวาลนี้มาอย่างต่อเนื่อง และในท้ายที่สุดผลลัพธ์ของมันก็ได้เกิดขึ้นในยุคของฉันเองค่ะ”

หน้าจอได้เริ่มจากส่วนของสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว

ตัวตนของเวทมนตร์โบราณได้ถูกสลักไว้บนแผ่นกระดานฉนวนที่ได้ถูกวิเคราะห์โดยเหล่าผู้เชี่ยวชาญเพื่อที่จะสร้างมันขึ้นมาเมื่อหลายพันปีก่อน ด้วยทุกๆครั้งที่มีเสียงคลิ้กเกิดขึ้นหลักฐานและเรื่องราวแสดงบนจอก็ค่อยๆเคลื่อนเข้าสู่ยุคปัจจุบัน และ ในท้ายที่ก็ได้มาถึงสุดยุคของการสร้างเวทมนตร์ด้วย เครื่องจักร” ในโลกทุกวันนี้

ในขณะที่เอวานได้หมุนนิ้วของเธอ วัตถุที่ห่ออยู่ในผ้าหนาๆก็ได้ปรากฏขึ้น

มันเป็นเครื่องจักรที่ดูแปลกตา มันที่เส้นลวดที่เชื่อมต่อเข้ากับลูกบอลคริสตัลสีขาวและสิ่งมีบางสิ่งบางอย่างที่ดูราวกับว่าเป็นแผ่นกลมๆ ก็กําลังหมุนอยู่รอบๆมัน นี้เป็นเครื่องมือซึ่งดูคล้ายกับหลอดไฟที่สามารถพูดได้ว่าเอกลักษณ์ยิ่งกว่าตัวปล่อยอีเทอร์ใดๆที่ฉันเคยเห็นมาก่อนหน้านี้ซะอีก

“นี้เป็นตัวปล่อยแกนพลังงานที่ใช้ในการสร้างเวทมนตร์ค่ะ แม้ว่า พวกเราทจะสามารถใช้เวทมนตร์ได้แค่ราวๆแรงค์ B จนถึง C เท่านั้นด้วยเวอร์ชั่นพกพาของมัน แต่หากว่าพวกเราเพิ่มขนาดของมันอีกนิด พวกเราก็สามารถที่จะใช้เวทมนตร์ได้ใกล้เคียงกับแรงค์ A และนั้นก็เป็นสิ่งที่มีประโยชน์เป็นอย่างมากในการล่ามอนสเตอร์เช่นกันค่ะ”

ควบคู่ไปกับการอธิบาย พวกเขาได้ปล่อยข้อมูลเกี่ยวกับเครื่องจักรเวทมนตร์ที่พวกเขาศึกษาร่วมกันมาจนกระทั่งถึงตอนนี้

“พวกเราได้ศึกษาเวทมนตร์มาเป็นเวลานาน ใช่แล้ว เวทมนตร์ของเยคาเทริน่ามีอาจจะเอกลักษณ์ที่มากกว่าของพวกเรา บางทีมันอาจจะเหนือล้ำมากกว่าเวทมนตร์ของพวกเราในบางแง่มุมด้วยซ้ำ แต่ในท้ายที่สุด มันไม่นับว่าเป็นอะไรเลยนอกไปจากการแอบเรียนรู้แบบลับบางส่วนในเวทมนตร์ของพวกเรา สําหรับเรื่องนี้เอง พวกเราต้องการให้เธอคืนเวทมนตร์ทั้งหมดของเธอกลับมาสู่พวกเราค่ะ”

ใช่แล้ว นี้เป็นเหตุผลที่ดูมีน้ำหนักเป็นอย่างมากสําหรับกิลด์โมเรียนที่จะใช้ตอบโต้กับยูซอดัม พวกเขากําลังกล่าวอ้างว่ากิลด์โมเรียนเป็นเพียงแค่ผู้เดียวเท่านั้นที่ได้พัฒนาเวทมนตร์ขึ้นมาบนโลกมนุษย์

มันเห็นได้ชัดเจนว่า ทักษะเวทมนตร์ของเยคาเทริน่านั้นดียิ่งกว่าพวกเขา อย่างไรก็ตาม ประวัติศาสตร์จากช่วงหลายร้อยปีของการศึกษาเวทมนตร์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นจนถึงทุกวันนี้ยังคงอยู่ในมือของกิลด์โมเรียน

นั้นหมายความว่าแค่เพียงเยคาเทริน่ามีความสามารถที่ดีกว่าไม่ได้หมายความว่าเธอสามารถที่จะละเมิดสิทธิของทรัพย์สินทางปัญญานี้ได้

สีหน้าของเยคาเทริน่าซีดขาวลง

มันดูคล้ายกับคนที่ปวย

ทุกครั้งที่เอวานทําสีหน้าที่เต็มไปด้วยความมั่นใจออกมา เธอก็จะถูกข่มลง เธอจําเป็นที่จะต้องซ่อนหรือหนีไปจากที่นี่ การแสดงออกที่ซีดเซียวของเยคาเทริน่าทําให้ความสนใจของผู้เข้าร่วมเอียนเอียงไปทาง เอวานที่แสดงออกอย่างร่าเริงแทน

หลักฐานนี้สมบูรณ์แบบในตัวมันเอง

สิ่งที่สําคัญที่สุดที่จะต้องทําเมื่อจัดการกับข้อพิพาทในเรื่องสิทธิของพลังพิเศษแบบนี้คือการแสดงในคนอื่นๆได้เห็นหลักฐานเกี่ยวกับบรรพบุรุษและประวัติศาสตร์ของมันที่ตนได้ครอบครองเอาไว้

“โอเค ในตอนนี้ อนาเตอร์ลีก เชิญบอกเราในสิ่งที่คุณได้เตรียมมา”

แต่ยังไงซะ มีสิ่งหนึ่งที่กิลด์โมเรียนยังไม่รู้

ว่ามันยังมีตัวตนของเวทมนตร์อีกอย่างหนึ่งนอกไปจากเวทมนตร์ของพวกเขาอยู่บนโลกใบนี้

“ได้ครับ”

สถานการณ์ในตอนนี้ไม่ค่อยจะดีนัก แต่ยูซอดัมได้เรียนรู้มามากมายในขณะที่ตนเองได้ล่า “ตัวเอก” คนหนึ่ง

และในตอนนี้เขาก็พร้อมที่จะใช้ประสบการณ์นั้นให้เป็นประโยชน์แล้ว

เขาค่อยๆดันแว่นตาขึ้น ยูซอดัมเดินออกไปที่หน้าจออย่างช้าๆ

“ไม่มีหลักฐานที่เป็นวัตถุพยานงั้นหรือครับ?”

“ไม่มีครับ”

ไม่มีหลักฐานในรูปข้อมูล

“เพราะข้อมูลนั้นก็คือตัวผมเองครับ”

แทนที่จะทําเหมือนอีกฝั่ง เขากับเดินตัวปล่อยออกไปแบบหน้าด้านๆแทน

“คุณกําลังพูดอะไรกันแน่ คุณซอดัม?”

“ก็ข้อมูลพวกนั้นไง พวกมันเป็นของผมเอง พวกเขาขโมยมันไปจากผมและกล่าวอ้างว่าเป็นของตนเอง

“หะ”

ในขณะที่ทุกๆคนชงักไป ยูซอดัมได้พูดขึ้นอีกครั้ง

“เอาหละถ้างั้น ผมจะพิสูจน์มันให้ทุกท่านได้ดูด้วยตัวผมเองนี้แหละ”

“คุณจะพิสูจน์มันได้ยังไงกันครับ?”

“ให้ผมชี้จุดผิดพลาดในข้อมูลที่ถูกเตรียมขึ้นมาโดยกิลด์โมเรียนที่ละจุดเป็นไง”

ด้วยคําพูดนี้ของเขาเองทําให้เข้าผู้รับชมต่างพากันส่งเสียงพูดคุยกันออกมา

นี่เขาพยายามที่จะทําอะไรกันแน่?

ซอดัมเดินเข้าไปหาเอวานและถามออกมา

“ขอโทษด้วยนะครับ ขอรีโมทควบคุมให้ผมหน่อยได้ไหมครับ?”

เอวานมองไปทางผู้บรรยาย และเขาก็ได้พยักหน้าอนุมัติ ในการพิจารณาคดีครั้งนี้ มันเป็นเรื่องจําเป็นที่จะต้องทําให้ทุกอย่างดําเนินไปได้ในทุกๆสถานการณ์

ยูซอดัมเอารีโมทควบคุมมาและย้อนข้อมูลกลับไปที่หน้าแรก ในส่วนของข้อมูลหลักฐานจากช่วงเวลา “โบราณ” ในอดีต

ในยุคที่เวทมนตร์ได้ปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรก จุดเริ่มต้นของเวทมนตร์

เหตุผลนั้นง่ายมา

“เหล่าแม่มดในยุคปัจจุบันจะไปเข้าใจมุมมองของเหล่าแม่มดโบราณได้ยังไงกัน?”

แม่มดเป็นตัวตนอยู่ในโลกที่แตกต่างกันไป และพวกเขาก็มักจะแสดงพรสวรรค์ที่ไร้คู่เปรียบในเรื่องการเรียนรู้เวทมนตร์ออกมา แต่ว่าในโลกใบอื่นๆโดยส่วนมากแล้ว ประชากรของแม่มดมีแนวโน้มที่ค่อยๆลดลง สิ่งเดียวกันนั้นก็เกิดขึ้นที่โลกใบนี้เช่นกัน

ดังนั้น เหล่าแม่มดที่ยังคงเหลืออยู่รอดมาจนถึงยุคปัจจุบัน ณ ตอนนี้ไม่ถือว่าเป็นอะไรเลยนอกไปจากครึ่งแม่มด

หนึ่งในพวกครึ่งแม่มดเหล่านี้คือตัวเยคาเทริน่าเอง แต่ด้วยเหตุผลอะไรก็ไม่อาจทราบ เธอได้รับการสืบทอดสายเลือดที่ของแม่มดบริสุทธ์ที่สุดที่มีตัวตนอยู่บนโลกมนุษย์และได้ครอบครองพลังอํานาจในการพยากรณ์มาไว้ในการครอบครอง

แลกเปลี่ยนกับความสามารถในการพยากรณ์ เธอได้สูญเสียการมองเห็นและเวทมนตร์ของตนเองไป แถมเธอยังไม่ได้ตัดสินใจเรื่องต่างๆด้วยหลักเหตุผลเพียงอย่างเดียวเพราะว่าเธอยังคงมีอารมณ์ความรู้สึกอยู่

เหล่าแม่มดคนอื่นๆก็ไม่ต่างกัน ถึงแม้ว่าอารมณ์ความรู้สึกของพวกเขาก็ขาดๆไปบ้าง มันก็ยังไม่ใช่ไร้ความรู้สึกไปซะทั้งหมด ที่มันเป็นแบบนั้นก็เพราะว่า ช่วงเวลาอันแสนยาวนานที่ผ่านไปของประวัติศาสตร์บนโลกมนุษย์ ก็ได้ทําให้ในท้ายที่สุดสายเลือดของมนุษย์ก็ได้ผสมลงไป ทําให้มันเป็นไปไม่ได้เลยสําหรับเหล่าแม่มดในยุคปัจจุบันที่ได้เข้าใจเวทมนตร์ของเหล่าแม่มดโบราณได้อย่างถูกต้อง

“ดูที่หลักการเวทมนตร์ผิดๆเหล่านั้นที่พวกมันเอามาใช้เป็นหลักฐานสิ”

แน่นอนว่าแนวความคิดของการจัดการกับเวทมนตร์ผ่านวิทยาศาสตร์เป็นสิ่งที่น่ายกย่อง แต่มันไม่ได้มีแนวความคิดที่มีค่าอะไรเลยสําหรับ “แม่มด” สายเลือดบริสุทธิ์

ส่วนมากในโลกหลายๆใบแล้ว เหล่าแม่มดนั้นเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งด้วยตัวเองแทบจะไม่สุงสิงกับพวกเดียวกันเอง นั้นเป็นเหตุผลที่ว่าทําไมพวกเขาถึงได้ดับสูญ ง่ายๆเลยก็คือพวกเขาไม่ได้มีเวลาพอที่จะใช้พัฒนาเวทมนตร์ของพวกเขาเอง

อย่างไรก็ตาม

แล้วสิ่งไหนจะเกิดขึ้นกันกันหละในจักรวาลที่เหล่าแม่มดแทบจะครองโลก?

แล้วมันจะเป็นยังไงกันกับเหล่าแม่มดที่มาจากโลกที่แม่มดในตํานานได้แข่งขันกับ “จักรพรรดิดาบ” ชายที่อยู่เหนือยิ่งกว่ามนุษย์หละ?

แล้วจะเป็นยังไงกับเหล่าแม่มดจากในโลกที่แม่มดทุกคนสามารถจะทําสิ่งต่างๆได้อย่างอิสระและได้พัฒนาเวทมนตร์ของตนเองมานานเป็นพันๆปีขึ้นมาหละ?

มันจะเป็นไปได้หรือที่จะนําเวทมนตร์ของแม่มดเหล่านั้นมาเทียบกับเวทมนตร์ที่โลกมนุษย์?

แน่นอนอยู่แล้วว่าไม่มีทางเทียบกันได้ แม้ว่าจะเป็นเขาเองก็ไม่มีความสามารถมากพอที่จะรู้เวทมนตร์ทั้งหมดที่มีตัวตนอยู่ในโลกมากมายนับไม่ถ้วนได้

ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็ตาม

[กําลังทําการค้นหาเวทมนตร์]

[กําลังทําการค้นหา…]

[การค้นหาเสร็จสมบูรณ์ : รายงานการใช้งานเวทมนตร์ยุคดังเดิม]

[เทคนิคเวทมนตร์ในอุปกรณ์ที่กําลังแสดงอยู่นั้นถูกตัดสิ้นว่าสอดคล้องกับความรู้ในอดีต]

เขามี “ห้องสมุดของแม่มดขาว” ซึ่งประกอบไปด้วยทุกสิ่งอย่างทั้งร่วมไปถึงเรื่องจุดเริ่มต้นของเวทมนตร์ในการพัฒนาเวทมนตร์เพื่อใช้ในยุคของการทดลองถูกผิด

“อย่างแรกเลยนะครับ ผมไม่รู้ว่าพวกคุณไปได้ข้อมูลพวกนี้มาได้ยังไง แต่ผมสามารถพิสูจน์มันให้พวกคุณดูได้ว่าข้อมูลทั้งหมดนี้มันเต็มไปด้วยความเข้าใจผิดๆมากมาย”

“มันเป็นสิ่งของจากยุคโบราณ คุณจะพิสูจน์มันได้ยังไงกันค่ะ?”

ตอบสนองกับข้อโต้แย้งของเอวาน ยูซอด้มยักไหล่ให้

“มันไม่ใช่ว่าข้อมูลโบราณพวกนี้ผิดหรอก แต่ผมกําลังจะพิสูจน์ว่าพวกคุณขโมยข้อมูลของผมไปและเรียนรู้มันแบบผิดๆต่างหาก”

เอวานหัวเราะคิกคักให้กับคําพูดอันโจ่งแจ้งและโง่เง่าของยูซอดัมแต่เธอไม่ได้มีหน้าที่จะต้องห้ามปรามไม่ให้เขาแสดงมันออกไป

“อันดับแรกเลยนะครับ ดูเหมือนว่าคุณจะเข้าใจ “กฎข้อที่สามของเนสัน” มันเกี่ยวกับเรื่องของวงเวทย์มานา แต่คุณเข้าใจผิดแล้วหละ อย่างแรกเลย กฏนั้นต้องมีการปรับใช้คู่กับ “การเปลี่ยนแปลงของเพอร์เดสัน” และ “ทฤษฎีค่าคงที่ของมานา” เวทมนตร์ที่คุณพัฒนาเลยเปลี่ยนกลายเป็นแค่ของทั่วๆไป และนั้นทําให้พวกคุณไม่อาจจะร่าย “เวทมนตร์มิติที่สาม” ได้อีกด้วย”

พูดเช่นนั้นแล้วซอดัมก็แตะไปที่ตัวปล่อยที่เอวานนํามา

ตัวปล่อยที่สามารถใช้งานได้โดยกิลด์โมเรียนเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม แสงได้กระพริบออกมาอย่างง่ายๆหนึ่งครั้งจากการกระทําของซอดัม แล้วเวทมนตร์เพลิงก็ได้ถูกร่ายออกมา

“และหากว่าคุณเข้าใจหลักการทั้งหลายถูกคุณก็จะทําแบบนี้ได้”

ในครั้งนี้เขายกนิ้วอีกข้างขึ้นมาในอากาศ

ในเวลาเดียวกันนั้นเอง

น่ารําคาญจริงเชียว

เมื่อดอกไม้จิตวิญญาณสีเงินได้ใช้งานเวทมนตร์ออกมา แม้ว่านี้จะเป็นเรื่องที่ไร้ประโยชน์และไร้ประสิทธิภาพที่จะทําแบบนี้ก็ตาม แต่ยังไงซะ วงเวทย์หลากสีก็ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อที่จะดึงดูดสายตาของผู้คนในยุคปัจจุบัน และเปลวไฟก็ได้ดับลง

“ถ้าหากว่าคุณได้ศึกษาเวทมนตรอย่างถูกต้องตั้งแต่เริ่มแล้วหละก็ นี้คงจะเป็นผลลัพธ์ของมัน”

“….!”

กิลด์โมเรียนไม่สามารถที่จะใช้เวทมนตร์ได้เมื่อปราศจากอุปกรณ์ที่เรียกว่า “ตัวปล่อยแกนพลังงาน”

แม้ว่าจะเป็นอย่างนั้น แต่ยูซอดัมกลับสามารถที่จะใช้เวทมนตร์ได้โดยปราศจากความช่วยเหลือของตัวปล่อยแกนพลังงาน และ เขากําลังพูดกับเอวานอีกด้วยว่าหากเธอได้เรียนรู้เวทมนตร์อย่างถูกต้อง เธอจะสามารถใช้งานเวทมนตร์ได้แม้จะไม่มีอุปกรณ์ของเธอเองก็ตาม

“ไม่ใช่แค่นั้นนะครับ หน้าต่อไปที่บอกไว้อย่างชัดเจนว่า : “มานาถูกกักเก็บไว้ในอากาศ และเมื่อมันเกิดการแทรกแซงกับขอบเขตทางกายภาพแล้ว มานาประกอบเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของจักรวาลนี้ แต่ดูที่สิ่งประดิษฐ์นี้สิครับ ไม่ใช่ว่าพวกคุณสร้างอุปกรณ์ที่ขัดแย้งกับคํากล่างอ้างนั้นหรอกเหรอครับ? ผมขอใช้มันสักแปบนะ”

ยูซอดัมชี้ไปที่ตัวปล่อยแกนพลังงานขนาดพกพาและใช้มันในการนําเสนอ เขาไม่รอคําตอบตัวซ้ำก่อนที่จะหยิบมันมาและเริ่มแสดง

“คุณพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าคุณสามารถใช้เวทมนตร์ได้แค่ราวๆแรงค์ B ถึง C ถ้าหากว่าคุณเข้าใจข้อมูลนั้นมากกว่านี้อีกนิดหนึ่งจากจุดเริ่มต้นแล้วหละก็…”

วิ้งงงงง!

ลูกบอลไฟขนาดยักษ์ได้ลอยขึ้นมากลางอากาศ ตัวปล่อยอีเทอร์ที่เอวานนํามาเพื่อใช้ในการพลังเวทย์กําลังกระพริบอย่างบ้าคลั่งราวกับว่ามันกําลังพิสูจน์ว่าพลังทําลายของบอลไฟลูกนี้มากพอที่จะอยู่ในช่วงของแรงค์ A เมื่อเทียบกับแรงค์ของพลังงานอีเทอร์

“สิ่งนี้ก็จะเป็นไปได้”

นับจากตอนนั้น ยูซอดัมก็ยังคงชี้ไปยังข้อมูลที่เอวานได้นํามาไปที่ละจุดๆ

เขาทําตัวราวกับว่าเขาเป็นเจ้าของข้อมูลนี้จริงๆ

มันราวกับว่าเขาเคยได้ศึกษาข้อมูลของเวทมนตร์โบราณมาแล้วจริงๆ

“โอ้ว แล้วก็ถ้าหากว่าคุณอ่านนี้ถูกหละก็? มันจะเป็นเรื่องที่ดีเลยที่คุณขโมยมันไปแต่คุณต้องอ่านมันให้ถูกอะนะ?”

ด้วยความสัตย์จริงแล้วสิ่งต่างที่ซอดัมกําลังพูดออกมาก็ไม่ได้เป็นเรื่องง่ายดายอย่างที่เห็นหรอก ที่มันเป็นไปได้ก็เพราะสกิลของเขา “ห้องสมุดของแม่มดขาว” ซึ่งเป็นสกิลที่เขาขโมยมาจากคนอื่นอีกทีต่างหาก

ถึงจะเป็นอย่างนั้น เขาก็ไม่ได้รู้สึกผิดอะไรเพราะหากว่ามีใครสักคนพยายามที่จะทําร้ายเขาหรือเพื่อนของเขา เขาเต็มใจที่จะใช้ทุกสิ่งทุกอย่างที่มี ไม่ว่ามันจะเป็นสกิลที่ขโมยมาหรือสิ่งไหนก็ตาม เพื่อเหยียบศัตรูของเขา

สิ่งที่เขากําลังพูดอยู่ค่อยๆได้รับความสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ

ใช่แล้ว กิลด์โมเรียนเป็นผู้ที่ได้นําข้อมูลนี้มา แต่ว่านี้มันไม่มากเกินไปหน่อยหรือในในแง่ของ “ความเข้าใจ” นะ?

ความเข้าใจที่ยูซอดัมได้แสดงออกมาไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถแตกชาญได้ในเวลาเพียงชั่วข้ามคืน แม้แต่กิลด์โมเรียนเองก็ยังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ตนเองไม่เข้าใจ แต่ถึงอย่างนั้นยูซอดัมก็ได้ตอบมันให้กับพวกเขาและแม้แต่สาธิตเวทมนตร์เพื่อพิสูจน์มัน

“เอวานกิลด์โมเรียน โปรดชี้แจ้งด้วยครับ”

ดังนั้นแม้ว่ามันจะเป็นตาของเธออีกครั้งก็ตาม เธอกลับไม่สามารถที่จะพูดอะไรออกไปได้เลย เธอทําได้แค่กัดริมฝีปากของตัวเองเอาไว้เท่านั้น

เธอควรที่จะยืนกรานต่อไปไหมนะ? ข้อมูลนั้นเป็นของพวกเขาเองแน่นอน ทําพูดทั้งหมดที่ออกมาจากปากของยูซอดัมไม่ใช่อะไรเลยนอกไปจากคําโกหก

แต่ถึงอย่างนั้น

ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาพูดออกมามันถูกต้องหรือไงกัน?

ไม่ใช่ว่าความลับในเรื่องของเวทมนตร์ทั้งหมดที่พวกเขาไม่รู้ได้ถูกคลี่คลายออกมาที่ละอย่างๆ ในตอนนี้ไม่ใช่หรือไง?

เธออยากที่จะพูดว่าเวทมนตร์ของยูซอดัมมัน ค่อนข้างที่จะเหนือกว่าเล็กน้อย” กว่าของตนเอง แต่ไม่ใช่ว่าเทคนิคของพวกเขามันห่างกันเกินไปหน่อยไหม?

และด้วยช่องว่างของความรู้ความเข้าใจขนาดมหึมานี้เอง เธอจะยังสามารถพูดว่าข้อมูลนั้นเป็นของตนได้อีกอย่างงั้นเหรอ?

ใครมันจะไปเชื่อกันหละ?

“อ้าใช่แล้วหละ คํากล่าวของฮันเตอร์ยูซอดัมนะถูกต้องแล้ว เวทมนตร์ของคุณแน่นอนว่าเหนือกว่าของเรามาก”

ในท้ายที่สุด เอวานก็ได้แต่ต้องยอมรับเวทมนตร์ของยูซอดัม

“แต่นั้นมันเป็นคนละเรื่องกัน”

“มีปัญหาอะไรอีกงั้นเหรอ?”

“แน่นอนว่าคุณนะเก่งกว่าพวกเรา แต่เวทมนตร์ของเยคาเทริน่าก็ยังเป็นของพวกเราอยู่ดี”

“ทําไมหละ?”

“แน่นอนอยู่แล้ว เด็กคนนั้นเป็น…”

เอวานที่เกือบจะพูดมันออกไป แทบจะกัดริมฝีปากหยุดคําพูดของตัวเองไม่ทัน

ในทางตรงกันข้าม ยูซอดัมกําลังตื่นเต้น นี้เป็นเรื่องที่เขายังไม่ได้เอ่ยออกมาเลยจนกระทั้งถึงในตอนนี้

อย่างไรก็ตาม ยูซอดัมไม่ได้ปล่อยให้โอกาสนี้ผ่านไปแบบนี้แน่นอน

“แน่นอนว่า เยคาเทริน่าไม่สามารถที่จะเรียนรู้เวทมนตร์ของผมได้เพราะว่าเธอไม่ได้ติดต่อสื่อสารกับโลกภายนอกด้วยการที่ถูกกักขังไว้ด้วยตัวของคุณเอง ไม่ใช่ว่าคุณกําลังที่พูดแบบนั้นงั้นหรือ?”

“….!”

เดิมที่แล้ว เขาจะต้องยิงซ้ำไปอีกนัดหนึ่งในเวลาแบบนี้ แต่เขาไม่ได้ทํามัน เขาแค่รอคอยคําตอบจากเอวานอย่างชิลๆ

แต่เธอก็ไม่สามารถที่จะพูดอะไรกลับไปหรือแม้แต่เถียงสิ่งที่เขาพูดออกมาได้เลย

ในช่วงที่ความเงียบสงัดได้เข้ามาเยือนมันก็มากเพียงพอแล้วที่ผู้ชมโดยรอบจะได้คิดได้ในสิ่งเขาพึ่งจะพูดออกไป

เพียงแค่ทําให้ทุกคนกําลังคิดในสิ่งเดียวกันนั้นก็มากพอแล้วที่จะทําให้ยูซอดัมพูดต่ออีกครั้ง

“แล้วก็นะเอวาน “ผู้พยากรณ์” คนดังจากกิลด์ของคุณหายไปไหนซะแล้วหละ?”

“นั้นมัน…”

ยูซอดัมโยนอีกคําถามหนึ่งออกไปแต่ในครั้งนี้กลับส่งถึงผู้ชมทุกคนไม่ใช่เอวาน

“ทุกๆท่านคงจะทราบกันดีใช่ไหมครับว่า “ผู้พยากรณ์” ได้ทํางานให้กับกิลด์โมเรียนมาเป็นเวลานาน แต่ถึงอย่างนั้นกลับไม่มีใครสักคนเลยที่รู้เกี่ยวกับโฉมหน้าหรือชื่อของคนๆนั้น พวกเราคิดกันไปเองว่าที่มันเป็นแบบนั้นก็เพื่อความสะดวกสะบายให้กับผู้พยากรณ์คนนั้นแต่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหละครับหากว่าเขาหรือเธอคนนั้นถูกกักขังเอาไว้ด้วยความหวาดกลัวในกิลด์ๆหนึ่งเพียงเพราะว่าพวกเขากลัวว่าจะมีกิลด์อื่นมาขโมยตัวเธอไปจากกิลด์โมเรียนกัน? จะเกิดอะไรขึ้นกันหากว่าเธอคนนั้นถูกตัดขาดการติดต่อสู้สารกับโลกภายนอกโดยสมบูรณ์หละครับ?”

“นี่แกกําลังพูดอะไรออกมา! หยุดพูดเรื่องไร้สาระเดี๋ยวนี้เลยนะ!”

“เหล่าพยานทั้งหลายก็ได้มารวมตัวอยู่ที่นี่ในตอนนี้แล้ว เอวาน คุณจะทําตัวหน้าด้านไร้ยางอายไปอีกนานแค่ไหนกันครับ?”

ยูซอดัมมองไปที่เยคาเทริน่าในขณะที่เขากําลังพูดออกมา

ในความเป็นจริงแล้ว ด้วยเพียงแค่การที่เขาได้แสดงความแตกต่างระหว่างเวทมนตร์ของเขากับของกิดล์โมเรียน มันก็เป็นสิ่งที่ตอบข้อสงสัยในเรื่องการขโมยสิทธิพลังพิเศษนี้ได้แล้ว เวทมนตร์ของเขาได้รับการยอมรับว่าเป็นเวทมนตร์อีกอย่างหนึ่งแยกออกไป

ถึงอย่างนั้น แต่ยูซอดัมกลับไปได้หยุดอยู่แค่นั้น

นั้นเป็นเพราะว่าเขาพยายามที่จะตัดความสัมพันธ์ระหว่างเวทมนตร์ของเยคาเทริน่ากับเวทมนตร์ของกิลด์โมเรียนออกจากกันโดยสมบูรณ์

“อ้า…”

เยคาเทริน่าที่ถูกส่งสายตาไปโดยยูซอดัมได้ลูกขึ้นยืนอย่างช้าๆหันหน้าของเธอและมองไปทางเอวาน

เธอแสดงสีหน้าที่เยคาเทริน่าไม่เคยได้เห็นมาก่อน แผนที่เธอได้เตรียมมาพังลงโดยสมบูรณ์และเธอเต็มไปด้วยความอับอาย ชัดเจนเลยว่าเธอไม่รู้ว่าควรที่จะทําอะไรต่อไปดี

เยคาเทริน่าไม่ได้ตกอยู่ในความกลัวอีกต่อไป

หลังจากทั้งหมดนี้ เอวานก็เป็นกําแพงที่เยคาเทริน่าต้องก้าวข้างไปเช่นกัน

“เธอคงรู้สึกกลัวแบบเดียวกันกับที่ฉันเคยรู้สึกสินะ

เยคาเทริน่าค่อยๆยืนขึ้น ถ้าหากเธอพูดออกไปว่า “ฉันถูกขังอยู่ในกิลด์โมเรียนมากนานกว่า 10 ปีเต็ม” โลกทั้งใบคงจะหัวเราะออกมา

ถึงอย่างนั้น กิลด์โมเรียนคงจะไม่ยอมรับมันอย่างแน่นอน แต่พวกเขาเองกําลังจะพ่ายแพ้ในการพิจารณาคดีครั้งนี้ ทําให้พวกเขาในตอนนี้ตกอยู่ในตําแหน่งที่ต้องป้องกันตัวเอง ไม่ใช่ฝ่ายโจมตี

“เพราะฉันคือเยคาเทริน่า คนที่ครั้งหนึ่งเคยเป็น “ผู้พยากรณ์” ในกิลด์โมเรียน แบบนี้แล้วฉันพูดต่อได้รึยังค่ะ?”

โลกจะฟังสิ่งที่เธอจะพูดต่อไปอย่างแน่นอน

ตัวเอกพวกนั้นฉันฆ่าเองแหละ

ตัวเอกพวกนั้นฉันฆ่าเองแหละ

ไม่ว่าจะเป็นคนที่กลับชาติมาเกิด,คนที่ย้อนเวลากลับมา,คนที่วนลูปได้,พวกที่ไปยึดร่างคนอื่นมา,นักเดินทางต่างมิติ,คนรู้อนาคตมากจากทางไหนสักทาง

ฉันจะล่าเจ้าพวกตัวเอกเหล่านี้เอง ไอ้พวกคนที่มีตัวตนอยู่ในโลกใบต่าง ๆ ที่มีอยู่มากมายนับไม่ถ้วนแล้วฉันก็จะดูดกลืนพรสวรรค์ของพวกเขาซะ

เหล่าพวกตัวเอกทั้งหลายที่ไม่ว่าจะเป็น

ความหวังของทวีป

ฮีโร่ที่จะช่วยโลกไว้ได้อนาคต

ฮีโร่ที่ในตอนนี้มีหลุมอยู่ตรงกลางอก!

ปาร์คแทรยอง คนที่จะปลดปล่อยเหล่าคนแคระให้เป็นอิสระและได้รับความเชื่อถือจากคนพวกนั้น

ชำระล้างสิ่งปนเปื้อนที่เป็นพิษในป่าแห่งจิตวิญญาณและได้กลายมีเป็นผู้มีพระคุณของเหล่าแฟรี่

ทวงคืนรูปปั้นหินโบราณที่เคยถูกปิดผนึกอยู่ในซากปรักหักพังในยุคอดีตกาล

กำจัดงูทะเลยักษ์ที่โผล่ออกมาจากทะเล

ปราบจักพรรดิปีศาจของโลกใต้พิภพตนที่ 47 ลงได้

“นอกเหนือไปจากการข่มขืนและฆาตกรรมแล้วยังมีเหตุการณ์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของคนจำนวนมากไม่ว่าจะเป็นการฆ่าอันป่าเถือน,การลอบวางเพลิง และ……”

“ช-ช่วยฉันด้วย..”

แกร๊ก!

นี้ก็เป็นตัวเอกเช่นกัน

แต่ในตอนนี้เขาได้ตายคามือฉันซะแล้วหละ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท