บทที่ 13 ตระกลู่ยุ่น
“ไม่ใช่ว่าข้าไม่เคยคิดมาก่อน แต่…” องค์ชายที่สี่พึมพำแล้วก็ครุ่นคิด
ตระกูลยุ่นเป็นหนึ่งในกลุ่มที่แข็งแกร่งที่สุดในจักรวรรดิ ยุ่นซานหัวหน้าตระกูลคนปัจจุบันยังเป็นนายพลของกองทัพของจักรวรรดิด้วย แม้ว่าอิทธิพลของ ยุ่นซานในกองทัพจะไม่ยิ่งใหญ่เท่าหัวหน้าตระกูล ยู่แต่ ยุ่นซานก็แข็งแกร่งพอๆ หรือไม่ก็อาจจะแกร่งกว่า ยู่หยินยี่เสียอีก
หัวหน้าของตระกูลยุ่นมีบุตรชายทั้งหมดสามคนโดยทั้งสองคนไม่ได้อยู่ในเมืองหลวงในตอนนี้ ครั้งสุดท้ายที่องค์ชายที่สี่ได้เห็นเขา ลูกคนโตกลายเป็นศิษย์ของนิกายในขณะที่คนเล็กสุดกำลังทำภารกิจที่พ่อของเขามอบหมาย ทั้งสองเป็นอัจฉริยะที่ไม่ด้อยไปกว่าใครในงานเลี้ยงนี้ ทั้งสองมีความสามารถในการแข่งขันเพื่อชิงตำแหน่งหัวหน้าตระกูลและจะไม่ว่าจะอยู่ที่ใดเขาก็จะมีออร่ารัศมีที่ทรงพลังอย่างแน่นอน แต่คนที่โดดเด่นที่สุดในบรรดาลูกชายของยุ่นซานนั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก ยุ่นหลิง
ตระกูลยุ่นแตกต่างจากตระกูลอื่นๆ โดยปกติหัวหน้าตระกูลอื่นๆ สามารถตัดสินใจได้ว่าใครจะสืบทอดตำแหน่งของพวกเขาหากพวกเขาแก่ตัวไป นั่นไม่ใช่กรณีของตระกูลยุ่น ในตระกูลหยุ่นตำแหน่งหลักของตระกูลจะถูกตัดสินผ่านการต่อสู้ นี่คือเพื่อให้แน่ใจว่าหัวหน้าตระกูลคนต่อไปจะเก่งที่สุดในตระกูลเสมอ แม้ว่าจะเป็นแค่คนรับใช้ในตระกูลตราบใดที่พวกเขามีสายเลือดของยุ่นไหลอยู่ในตัวของพวกเขาก็สามารถกลายเป็นหัวหน้าตระกูลได้หากพวกเขามีความสามารถมากพอ
ด้วยเหตุนี้นี้องค์าชายที่สี่จึงคาดว่ายุ่นหลิงจะกลายเป็นหัวหน้าตระกูลในอนาคตอย่างแน่นอน ในบรรดารุ่นเดียวกันกับเขาในตระกูลยุ่นไม่มีใครเทียบได้กับยุ่นหลิงแม้แต่พี่น้องของเขา
หากองค์ชายที่สี่ต้องการให้ตระกูลยุ่นอยู่เคียงข้างเขาสิ่งที่เขาต้องทำคือต้องตีสนิทกับยุ่นหลิงและได้รับการสนับสนุนจากเขา แน่นอนว่าเขาจะกลายเป็นพันธมิตรที่ยิ่งใหญ่สำหรับองค์ชายที่สี่เมื่อเขากลายเป็นหัวหน้าตระกูลในอนาคต
แต่พูดมมันง่ายกว่าทำยังไงก็ตาม ยุ่นหลิงไม่สนใจการแข่งกันขององค์ชายเพื่อชิงบัลลังก์ เขาวางตัวห่างจากองค์ชายใดๆในจักรวรรดิเสมอ องค์ชายคนอื่นๆ เคยพยายามที่จะเข้าใกล้ยุ่นหลิงมาก่อน แต่พวกเขาต่างก็โดนรังเกียจและอับอายขายหน้ากลับมา
องค์ชายที่สี่ที่คิดเช่นเดียวกับเจ้าชายคนอื่นๆ เขาได้เรียนรู้จากความผิดพลาดของพวกเขาและตัดสินใจที่จะไม่ทำแบบเดียวกันนี้เพราะเกรงว่าเขาจะต้องอับอายเหมือนกับพี่น้องคนอื่นๆ ของเขา
องค์ชายที่สี่มองมาที่เขาและยิ้ม
“นั่นไม่ใช่ความคิดที่ไม่ดี แต่เจ้าจะแนะนำให้ข้าทำอย่างรถึงจะได้รับการสนับสนุนจากตระกูลยุ่นล่ะ” ?
ผู้ช่วยขององค์ชายที่สี่รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยโดยคิดว่าในที่สุดเวลาที่จะแสดงคุณค่าของตนต่อองค์ชายก็มาถึงแล้ว
“ตระกูลยุ่นไม่มีทายาทที่เหมาะสมสำหรับตำแหน่งหัวหน้าตระกูลในตอนนี้เนื่องจากตำแหน่งนั้นต้องได้รับชัยชนะจากการต่อสู้ในตระกูลของพวกเขา แต่จากสิ่งที่ข้ารู้ลูกชายคนที่สองของหัวหน้าตระกูลยุ่นหลิงนั้นมีโอกาสที่จะชนะการแข่งขันนั้นมากที่สุด สิ่งที่องค์ชายที่สี่ควรทำคือการผูกมิตรและเข้าใกล้ตัวเขา!”
“อืม นั่นก็เป็นความคิดที่ดี”
“เจ้าหนุ่ม ข้าคิดไม่ถึงเลยว่ายังมีเจ้าอยู่หรือบางทีเจ้าอาจเป็นอัจฉริยะกันแน่นะ”
คนอื่นๆ รอบๆ องค์ชายที่สี่เริ่มประจบประแจงเขาในขณะที่ชายคนนั้นลูบหัวตัวเองเบาๆด้วยความลำบากใจ
องค์ชายที่สี่กำลังยิ้ม แต่ก็แอบมองพวกเขาอย่างดูถูกเหยียดหยาม เขาซ่อนความผิดหวังเอาไว้อย่างที่คิด ‘อัจฉริยะ? อัจฉริยะอะไร ใครก็ตามที่มีสมองก็คิดได้ง่ายๆว่าพวกเจ้าบางคนก็โง่เกินไป ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้ามีผู้ช่วยที่ทรงอำนาจข้าเองก็ไม่อยากจะเป็นมิตรกับพวกเจ้า พวกเจ้าอาจจะเป็นอัจฉริยะในด้านการฝึกตน แต่นั่นเป็นสิ่งเดียวที่เจ้าทำได้แค่นั้น’
“อืม ข้าคิดว่าเป็นไปได้ที่จะได้รับการช่วยเหลือจากตระกูลยุ่น” องค์ชายที่สี่ฮัมเพลงขณะที่เขาคิดอะไรบางอย่างพลางพยักหน้า
“เจ้าจะใช้แผนของข้าหรือองค์เจ้าชายที่สี่”
องค์ชายที่สี่รู้สึกลำบากในการปิดบังการดูถูกที่มีต่อเขาและคนอื่นๆ จะเป็นมิตรกับยุ่นหลิงงั้นหรือ? เขาอาจจะต้องได้รับความอับอายและการดูถูกเหยียดหยามแบบเดียวกับที่พี่ๆของเขาทำ
“นั่นยังเป็นความลับในตอนนี้” องค์ชายที่สี่พูดอย่างอารมณ์ดี แต่มีแววตาที่เย็นชา เขาคิดอะไรบางอย่างเกี่ยวกับตระกูลยุ่นมาได้สักพักแล้ว
คำถาม: เกือบจะแน่นอนแล้วว่ายุ่นหลิงจะกลายเป็นหัวหน้าตระกูลในอนาคต แต่เขาไม่ต้องการความช่วยเหลือไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม แล้วเขาควรจะทำอย่างไรต่อไป?
คำตอบ: เข้าใกล้คนอื่นในตระกูลยุ่น ให้การช่วยเหลือและทำทุกอย่างเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะชนะการแข่งขันเพื่อชิงตำแหน่งหัวหน้าตระกูล
องค์ชายที่สี่ยิ้มเยาะเมื่อเขานึกถึงผู้ช่วยคนหนึ่งในตระกูลยุ่น หลายปีก่อนเขาสั่งให้บางคนตรวจสอบตระกูลของพวกเขาเพื่อที่เขาจะได้รู้ว่าจะต้องร่วมมือกันอย่างไรให้ดีที่สุด การรักษาความปลอดภัยแน่นหนาเกินไปเขาจึงไม่สามารถเข้าไปได้มากนัก
ถึงกระนั้นความพยายามของเขาก็ไม่ประสบผล เขาพบข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลที่มีความสามารถคนอื่นๆ ในตระกูลรองจากยุ่นหลิง ขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่ใต้ดินที่กำลังจะถูกพบโดยองค์ชายที่สี่คนนี้
ในขณะที่เขากำลังคิดว่าจะเข้าหาคนๆ นั้นได้อย่างไรเสียงประกาศดังๆ ก็ทำให้เขาสะดุ้ง
“มกุฎราชกุมารมาแล้ว!”
ทุกคนรวมถึงองค์ชายที่สี่หันมาสนใจผู้ที่กำลังมา
การมาถึงของเขาไม่ได้โดดเด่นเขาดูเป็นคนธรรมดาที่ดีที่สุดคนหนึ่ง อย่างไรก็ตามเขาเป็นคนที่ยิ่งดูใกล้ๆยิ่งดูดี เช่นเดียวกับองค์ชายที่ 4 เขามีผมสีบลอนด์ที่เข้ากันได้ดีกับใบหน้าของเขา นอกจากนี้เขายังมีออร่าที่น่ากลัวบางอย่างที่ทำให้ผู้คนให้ความเคารพตัวเขาอย่างง่ายดาย
เขาเป็นมกุฎราชกุมารผู้ที่จะสืบทอดบัลลังก์ในอนาคต
ด้านหลังมกุฎราชกุมารมีชายสองคนในชุดเกราะโลหะสีดำทั้งตัว พวกเขาไม่ใช่คนอื่นไกลนอกจากองครักษ์ส่วนตัวของมกุฎราชกุมารซึ่งเป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญที่ทรงพลังในจักรวรรดิ
“มกุฎราชกุมาร … ”
“นั่นคือมกุฎราชกุมารซึ่งเป็นอีกหนึ่งในสามอัจฉริยะสูงสุดของเมืองหลวงในระดับเดียวกับยู่ฉาน”
“ยู่ฉานและมกุฎราชกุมารนั่นคืออัจฉริยะระดับสูงสองในสามคน แล้วอีกคนเป็นใครกัน”
“เจ้าไม่รู้เหรอ? อ้อ ข้าลืมไปว่าเจ้าไม่ได้ไปที่เมืองหลวง คนๆนั้นไม่ใช่ใครอื่นเลยนอกจาก… ”
การมาถึงของมกุฎราชกุมารได้รับความสนใจมากกว่าการมาถึงของ ยู่ฉานเสียอีก เกือบทุกคนคุยหรือพูดถึงเขา แรงงานบางคนถึงกับละทิ้งงานของตนเพียงเพื่อเฝ้าดูมกุฎราชกุมาร พฤติกรรมของพวกเขาเข้าใจได้เพราะคนที่พวกเขากำลังมองอยู่คือมกุฎราชกุมาร จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิในอนาคต
“องครักษ์สองคนนั้นน่าจะอยู่ที่ขอบเขตการปฏิรูปขั้นที่สี่ใช่มั้ย? ที่อยู่เหนือขอบเขตการฝึกตนระดับแก่นกลางของพวกเราหนึ่งขั้น”
“แม้แต่องครักษ์ของมกุฎราชกุมารก็แข็งแกร่งกว่าพวกเราด้วยซ้ำ ให้ตายเถอะข้ารู้สึกดูด้อยค่าไปเลย”
“มุมมองของเจ้าน่ะตื้นเกินไป พวกเขาอาจจะอยู่ในขอบเขตการปฏิรูปขั้นที่สี่ แต่จะสามารถเทียบกับเราได้หรือไม่? พวกเขาอายุเท่าไหร่? น่าจะห้าสิบหรืออะไรสักอย่างใช่มั้ย? ในอนาคตเราจะไปถึงขอบเขตนั้นเช่นกันและอาจจะเหนือกว่านั้นด้วยซ้ำ”
“เจ้าพูดถูก. เราอายุยังไม่ถึงสามสิบ แต่พวกเราอยู่ในขอบเขตการฝึกตนระดับแก่นกลางแล้ว เราจะไปถึง ขอบเขตการปฏิรูปขั้นที่สี่ ในไม่ช้าก็เร็ว”
ในขณะที่คนเหล่านี้ยังคงง่วนอยู่กับการมองหาและพูดคุยเกี่ยวกับมกุฎราชกุมารมีการประกาศขึ้นอีกครั้ง
“บุตรชายคนที่สองของตระกูลยุ่นมาแล้ว!”
ทุกคนเงียบไปชั่วขณะ
“เขามาจากตระกูลยุ่น …”
“ยุ่นหลิงเป็นหนึ่งในสามอัจฉริยะสูงสุดของเมืองหลวงยังไงล่ะ”