สามีบอสของฉันทั้งเลวทั้งซื่อ – บทที่ 121 หมกมุ่นอยู่กับการตามหาลูก

สามีบอสของฉันทั้งเลวทั้งซื่อ

ภาพในมือ ทำให้มือของซูสือเยว่สั่นขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้

ภาพที่อยู่บนสุด เป็นบันทึกการเข้าพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลจิตเวชของเธอเมื่อห้าปีก่อน

ด้านบนเขียนเอาไว้อย่างชัดเจน เธอเป็นโรคทางจิต เป็นโรคหลงผิดและโรคทางอารมณ์

ระยะเวลาการรักษายาวนานถึงครึ่งปี

ซูสือเยว่กัดริมฝีปากแน่น และก็ได้เปิดอ่านต่อ

ภาพตอนท้าย หลายภาพก็เป็นภาพที่เธอเพิ่งเห็นมาเป็นครั้งแรก

แต่ละภาพ มันเพียงพอที่จะทำให้เธอแตกสลายขึ้นมาได้เลย

เพราะว่าภาพเหล่านั้น…เป็นสภาพที่เธอกำลังรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล!

เธออยู่ในชุดผู้ป่วย สภาพผมเผ้ายุ่งเหยิง

สภาพที่เธอถูกเทปมัดเข้ากับเตียงนอนผู้ป่วยและก็ถูกพยาบาลฉีดยาให้

สภาพที่เธอกัดบุคลากรทางการแพทย์ไปอย่างเสียสติ

……

เธอในแต่ละภาพล้วนแล้วแต่จะประดับไปด้วยอารมณ์คลุ้มคลั่ง ในทุกๆรูปจะไม่เหมือนกับคนปกติเลย!

แต่ซูสือเยว่ก็ไม่สามารถที่จะปฏิเสธได้อีกว่าคนที่อยู่ในรูปเหล่านี้ก็คือเธอ

เพราะว่ามันก็เป็นเธอจริงๆนั่นแหละ

ใบหน้าของเธอเอง เธอเห็นมาตั้งหลายปี ไม่มีทางจะจำผิดไปได้เลย

อีกทั้ง…

ครึ่งปีนั้นที่เธอได้สูญเสียความทรงจำไป ที่จริงแล้วก็ได้ใช้ชีวิตอยู่ที่โรงพยาบาลจิตเวช

สิ่งพวกนี้เจี่ยนเฉิงก็เคยบอกเธอมาแล้ว

เพียงแต่เธอไม่รู้ว่าที่แท้ก็ยังมีคนที่ได้ถ่ายภาพพวกนี้เมื่อตอนที่เธอรักษาตัวอยู่…

เห็นใบหน้าซูสือเยว่ซีดเผือดไป ซูจิ่นเฉิงก็ได้ยิ้มออกมาจางๆ

เขามองหน้าซูสือเยว่ไปอย่างพิจารณาถี่ถ้วน “สือเยว่ พ่อได้ช่วยแกอย่างสุดความสามารถแล้ว”

“แกไปถอนคำให้การของแก ไปถอนฟ้องแล้วปล่อยโม่โม่ไป ฉันก็ไม่มีทางจะเผยแพร่ภาพพวกนี้ออกไป”

“ไม่อย่างนั้นแล้วล่ะก็ แกก็รู้ ว่าถ้าฉันบอกถึงอาการป่วยของแกให้กับทางตำรวจออกไป…

“คำให้การของผู้ป่วยทางจิตคนหนึ่ง มันจะเอามาใช้เป็นคำให้การไม่ได้หรอก”

เสียงของเขาเย็นชาเสียไร้อารมณ์เป็นอย่างมาก เหมือนกับว่าคนที่เขากำลังเผชิญอยู่ไม่ใช่ลูกเลี้ยงที่เขาเลี้ยงดูมายี่สิบกว่าปี แต่เป็นคนแปลกหน้าก็ไม่ปาน

ซูสือเยว่รู้สึกได้ถึงความผิดหวัง

เธอเพิ่งจะเดินออกมาจากเงามืดในอดีต ซูจิ่นเฉิงก็ได้ตีแสกหน้าเธอมาทันที

ไม้นี้ มันได้ปะทะเข้ามาบนจุดเจ็บของเธอเข้ามาอย่างจังและอย่างแรง

เธออยากเป็นนักแสดง

ภาพที่เธอเคยท้องเผยแพร่ออกไป มากสุดก็จะถูกคนอื่นมาวิพากษ์วิจารณ์ชีวิตส่วนตัวของเธอ

แต่ว่าถ้าภาพที่เธอเคยป่วยเป็นโรคทางจิตได้เผยแพร่ออกไป ผลกระทบนั้น มันจะส่งผลต่องานในอนาคตของเธอไปชั่วชีวิต

ถูกคนอื่นมาวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นคนบ้าคนหนึ่ง มันร้ายแรงกว่าการถูกคนอื่นวิพากษ์วิจารณ์ว่าเคยเกิดลูกมาก่อนเป็นพันเท่าหมื่นเท่า

ซูสือเยว่ไม่รู้ทำไมซูจิ่นเฉิงถึงอยากจะกำจัดเธอให้สิ้นซากเสียขนาดนี้

หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมา มองใบหน้าที่เย็นชานั้นของซูจิ่นเฉิง “ในมือของคุณสรุปแล้วยังมีของที่เกี่ยวกับฉันอยู่มากแค่ไหนกันแน่”

“ก็มากเท่านี้แหละ”

ซูจิ่นเฉิงยกยิ้มออกมาจางๆ “แต่มันก็เพียงพอที่จะจัดการกับแก”

“ให้เวลาแกสามวัน ไปถอนคำให้การของแกซะ”

“ไม่อย่างนั้น ก็รอให้ภาพพวกนี้ถูกทุกคนได้เห็นกันไปเสียเถอะ!”

พูดจบ เขาก็ลุกยืนขึ้นเตรียมที่จะเดินออกไป

ทันทีที่ได้เดินออกไปก้าวหนึ่ง จู่ๆชายคนนั้นก็ได้หันหน้ากลับมาเหมือนกับว่าจะนึกอะไรขึ้นมาได้

“จริงสิ เพื่อนของแกคนนั้นเป็นดาราดังใช่มั้ยล่ะ?”

“แกคิดว่าถ้ามีใครไม่ระวังเผยแพร่เรื่องที่หล่อนได้เจอเมื่อคืนวานออกไป…”

“แกว่าแฟนคลับของหล่อนจะยังชอบหล่อนอยู่อีกมั้ย?”

“แล้วยังจะเชื่อใจหล่อนว่าหล่อนยังบริสุทธิ์อยู่อีกมั้ย?”

เสียงของเขาเยือกเย็นออกมา “ความสามารถในการจินตนาการมันไม่มีที่สิ้นสุด ให้พวกเขาสมมติฐานกัน พวกเขาก็จะนึกโยงกันออกมาไม่จำกัด”

“แกลองเดาดูสิ ถึงตอนนั้นเอง จะเป็นแกที่จะถูกคนอื่นเขามาคาดเดากันไปมากขึ้นกว่าเดิม หรือว่าจะเป็นหล่อนกัน?”

“คุณกล้า!”

ซูสือเยว่กัดฟันแน่นจ้องมองด้านหลังเขาไป “ซูจิ่นเฉิง ถ้าคุณกล้าพูดเรื่องลั่วเยียนออกไป ฉันรับรองว่าซูโม่จะต้องอยู่ในคุกไปชั่วชีวิตไม่มีวันได้ออกมาแน่!”

“ก็เอาสิ”

ซูจิ่นเฉิงเดินออกไปข้างนอกต่อไปไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับมา “ใช้อนาคตของแกกับลั่วเยียนสองคน แลกกับอนาคตของโม่โม่ ฉันคิดว่ามันคุ้มค่า”

“ถึงแม้ว่าเธอจะเข้าคุก คงจะดีกว่าสถานการณ์ของพวกแกทั้งสองคนเยอะเลย”

เห็นเงาร่างด้านหลังของเขาได้หายไปจากระยะสายตา ซูสือเยว่ก็กำหมัดแน่น

กลับไปชั้นบน เธอนอนมองเพดานอยู่บนเตียง คิดๆไปแล้ว ทำไมถึงรู้สึกว่ามันผิดปกติไปเสียหมด

เมื่อคืนวานตอนที่ซูจิ่นเฉิงได้เอาหยกชิ้นนั้นมาขู่เธอ ทั้งๆที่ก็ได้จนตรอกเสียขนาดนั้นแล้วแท้ๆ

ถ้าไม่เพราะว่าคิดหาวิธีอื่นไม่ได้แล้ว เขาไม่มีทางโทรหาเธอหรอก

แต่ทำไมยังไม่ทันจะถึง24ชั่วโมง ซูจิ่นเฉิงก็ได้เอารูปออกมาอีก?

ถ้าเขามีภาพพวกนี้มาก่อนแล้ว เขาก็ควรจะเอาภาพมาขู่เธอตั้งนานแล้ว

หญิงสาวจะคิดยังไงก็ไม่เข้าใจเลย

……

บ้านซู

“เป็นยังไงบ้าง?”

ทันทีที่ซูจิ่นเฉิงเข้าประตูมา เฉินฟางก็ได้เข้ามาหาทันที พร้อมเอ่ยถามด้วยความเป็นกังวล

“พอประมาณแล้วล่ะ”

ซูจิ่นเฉิงยิ้มเย็นออกมา “ภาพพวกนั้นมันมีประโยชน์กว่าหยกเยอะเลย”

“อย่างน้อยฉันว่าซูสือเยว่จะต้องร้อนรนแล้วจริงๆ”

“นี่ก็จะต้องขอบคุณคุณเย่แล้ว”

เฉินฟางทอดถอนหายใจออกมา “ถ้าไม่มีภาพพวกนั้นที่ที่คุณเย่ส่งมาให้พวกเรา ตอนนี้พวกเราก็คงไม่มีอะไรไปจัดการกับซูสือเยว่ได้เลย!”

ซูจิ่นเฉิงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “ถ้าไม่มีคุณเย่พวกเราก็ไม่รู้กันเลยว่าแท้ที่จริงแล้วที่ซูสือเยว่ได้หายสาบสูญไปครึ่งปีเมื่อห้าปีก่อนนั้น…ก็คือไปอยู่ที่โรงพยาบาลบ้ามา”

เฉินฟางพยักหน้าอย่างเห็นด้วยออกมา

“แต่ จากสภาพของซูสือเยว่แล้วดูไปแล้วมันไม่เหมือนกับคนที่เคยป่วยเป็นโรคทางจิตได้เลย”

ซูจิ่นเฉิงมองเธอไปอย่างมีลับลมปมใน

“แน่นอนว่าตอนนั้นมันไม่ได้เป็นโรคทางจิตหรอก เธอเคยเห็นคนที่ป่วยทางจิตคนไหนใช้เวลาครึ่งปีรักษาตัวได้สำเร็จกัน อีกทั้งมันก็ไม่มีอาการกำเริบขึ้นมาอีก?”

“ขนาดเฉิงเซวียนที่คบกับมันมาห้าปีกว่าได้เลิกกับมันไป มันก็ไม่ได้คลุ้มคลั่งออกมา เธอคิดว่ามันจะเป็นบ้าจริงๆ?”

เฉินฟางอ้าปากค้างออกมาอย่างตื่นตกใจ

“แต่ในภาพพวกนั้นมีหลายภาพที่คุณหมอได้ฉีดยาให้กับซูสือเยว่นะ”

ซูจิ่นเฉิงมองเธอไปอย่างเหยียดๆ “เธอรู้มั้ยว่ายาที่หมอพวกนั้นมันฉีดให้กับมันเป็นยารักษา หรือว่ายาที่ทำอันตรายต่อมันกันแน่?”

เฉินฟางพูดไม่ออกไปโดยสมบูรณ์

ผ่านไปครู่ใหญ่ๆ เธอถึงได้เอ่ยออกมาเสียงเบาด้วยสีหน้าที่ตื่นตกใจว่า “ไม่หรอกมั้ง…”

“ทำไมจะเป็นไปไม่ได้กัน?”

ซูจิ่นเฉิงถลึงตาจ้องมองเธอ “เธอคิดว่าคนพวกนั้นจะเป็นคนดีอะไรหรือไง?”

“ซูสือเยว่ไม่ใช่ว่าสูญเสียความทรงจำเมื่อครึ่งปีนั้นไปหรือไง? มันก็คงจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้”

พูดจบ เขาก็ผันร่างเดินขึ้นบ้านไป แล้วโทรไปขอบคุณเย่เชียนจิ่ว

“ไม่จำเป็นต้องขอบคุณ”

ทางปลายสาย เย่เชียนจิ่วกำลังสวมชุดบิกีนี่นอนอยู่บนชายหาด อาบแดดไปพลาง ยิ้มออกมาจางๆไปพลาง “คุณอาซูคุณอาไม่ต้องเกรงใจกันหรอก”

“ฉันกับซูโม่เป็นเพื่อนสนิทกัน การช่วยเธอมันเป็นเรื่องที่ควรทำอยู่แล้ว”

“อืม ลาก่อน”

วางสายไป เย่เชียนจิ่วก็ได้เลิกสายตาขึ้นมองทะเลที่อยู่ไกลออกไปอย่างอารมณ์ดี

อันที่จริงซูสือเยว่ไม่เคยป่วยเป็นโรคทางจิตมาก่อนเลย

ภาพพวกนั้นของเธอ ทั้งหมดมันเป็นสภาพที่เธออยากจะตามหาลูกของเธออย่างบ้าคลั่งไปเท่านั้นเอง

ตอนแรกเริ่มนั้นเย่เชียนจิ่วเพียงแค่อยากให้เธอลืมเรื่องที่เกี่ยวกับตระกูลฉินทั้งหมดไปเท่านั้น

แต่การดำเนินการลบความทรงจำของเธอไปอย่างต่อเนื่องของหมอพวกนั้น สำหรับซูสือเยว่แล้วมันได้เสียเปล่า

ภายในใจของเธอกำลังหมกมุ่นอยู่กับพวกลูกๆของเธอ เกินความคาดหมายของทุกคนไป

ดังนั้นแล้วเย่เชียนจิ่วทำได้เพียงขังเธอเอาไว้ในโรงพยาบาลบ้าไปเท่านั้น พร้อมทั้งปฏิบัติ กดขี่เหมือนดั่งผู้ป่วยทางประสาทจริงๆ

จวบจนกระทั่งการต่อสู้ดิ้นรนที่ได้แสดงออกมาได้ถูกทำลายไปโดยสมบูรณ์แล้ว รอจนเธอได้ยอมแพ้กับความคิดที่หมกมุ่นอยู่กับพวกลูกๆไปได้โดยสมบูรณ์ แล้วค่อยลบความทรงจำเธอไปอีกที

ใช้เวลาครึ่งปีกว่าๆ ในที่สุดพวกเขาก็ได้ปลอมแปลงความทรงจำของซูสือเยว่ไปได้อย่างสำเร็จ

ในปัจจุบัน ทุกคนรู้กันเพียงแค่ว่าซูสือเยว่เคยเป็นบ้ามาเพียงเท่านั้น

แต่ความจริงนั้นเป็นยังไง…

ไม่มีใครแคร์หรอก

สามีบอสของฉันทั้งเลวทั้งซื่อ

สามีบอสของฉันทั้งเลวทั้งซื่อ

Status: Ongoing
หลังข่าวลือที่เสียโฉม ท่านชายฉินโหดร้ายอำมหิต ทำคู่หมั้นตายติดต่อกันสองคน ผู้หญิงทั้งเมืองไม่มีใครกล้าแต่งงานด้วย แต่ซูสือเยว่กลับแต่งสาวน้อย ต่อไปให้ฉันปกป้องเธอเองเพิ่งแต่งงาน เธอก็ถูกลูกน้อยน่ารักน่าหยิกสองคนแย่งกันอย่างคลั่งใคล้ซะแล้ว……

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท