บทที่ 48 หนีอย่างไม่คิดไม่ชีวิต!
เหวินไป่ชิมองไปข้างหลัง เขาวิ่งนำหน้ากู่ฟ่านหมิงเพียงเล็กน้อย แต่เขาสามารถบอกได้ว่ากิ่งก้านนั้นกำลังจะตามมาทัน เขาต้องรีบหนีให้เร็วขึ้นอีกเพราะเมื่อกู่ฟ่านหมิงถูกจับได้กิ่งก้านเหล่านั้นก็จะหันมาสนใจเขาทั้งหมด
เขากัดฟันแน่น
“ข้าคงจะต้องพักฟื้นตัวเองเป็นเวลาหนึ่งปีหลังจากนี้” เขาพูดกับตัวเองอย่างเหน็ดเหนื่อย
หลายวันก่อนเมื่อเขาได้ยินยุ่นหลิงพูดว่าเขากำลังมุ่งหน้าไปยังหุบเขาพันภูเขา เขาเองก็มีความคิดที่จะเข้าไปในสถานที่นั้นและอยู่ที่นั่นเป็นเวลาหลายเดือนจนกระทั่งผู้ไล่ล่าของเขาละความพยายามในการจับตัวเขา หุบเขาพันภูเขานั้นมีขนาดใหญ่พวกเขาจะหาตัวเขาได้ยากหากติดตามเขามาที่นี่ เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะต้องเจอกับสิ่งที่น่ากลัวเช่นเดียวกับคนที่ไล่ตามพวกเขามาที่นี่ เท่าที่เขารู้สิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุดในสถานที่แห่งนี้ควรอยู่ที่ขอบเขตราชันย์ศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น แต่สิ่งที่ไล่ตามพวกเขาในตอนนี้นั้นเหนือกว่านั้นมาก
ทันใดนั้นกล้ามเนื้อของเหวินไป่ชิก็ขยายขึ้นผิวหนังของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงขณะที่ดวงตาของเขากลายเป็นสีขาว เส้นเลือดภายในร่างกายเริ่มปรากฏขึ้นทั่วร่างกายของเขาเมื่อออร่าสีแดงที่มาจากเลือดของเขาพุ่งออกมาจากร่างกาย
‘กระบวนท่าต้องห้าม กายาสวรรค์คลุ้มคลั่ง!’
ขณะที่เท้าของเหวินไป่ชิเหยียบพื้นโดยที่เขาใช้กระบวนท่าต้องห้ามของเขาพื้นก็แตกออกจากพลังอันมหาศาลที่อยู่ใต้ของเขา ความเร็วของเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณเมื่อเขาทิ้งห่างกู่ฟ่านหมิงไว้ข้างหลังในระยะทางไกล
กู่ฟ่านหมิงเดาะลิ้นของเขา เขาตั้งใจจะใช้เหวินไป่ชิเป็นเหยื่ออีกคนหนึ่งเมื่อจับตัวเขาได้ เขาไม่คิดเลยว่าเขาจะมีความเร็วที่เพิ่มขึ้นสูงขนาดนั้น กู่ฟานหมิงคิดในใจไม่ว่าเขาใจใช้กระบวนท่าใดๆก็ตามมันอาจจะเป็นดาบสองคมกับเขาเพราะความเร็วที่เพิ่มขึ้นนั้นสูงเกินกว่าที่เขาอาจจะทนกับความเจ็บตามร่างกายที่ตามมาภายหลังได้
“ข้าควรจะใช้มันหรือไม่?” กู่ฟ่านหมิงขมวดคิ้ว เขายังมีไม้ตายลับที่สามารถใช้ได้ซึ่งจะช่วยเขาจากสถานการณ์ในตอนนี้ได้อย่างแน่นอน แต่มันเป็นสิ่งที่เขาไม่อยากใช้ถ้าเขายังเอาตัวรอดด้วยตัวเองได้ในตอนนี้
ฟุ่บ!
กิ่งก้านนั้นเพิ่มความเร็วมากขึ้นเมื่อได้ยินเสียงตัดผ่านอากาศดังขึ้นนั้น มันทำให้เขาเหงื่อตก เขารู้สึกได้ว่ากิ่งก้านนั้นใกล้เข้ามาถึงตัวเขา อีกเพียงไม่กี่วินาทีเขาจะถูกกิ่งก้านนั้นสัมผัสตัวได้!
“เวรเอ้ย!” กู่ฟ่านหมิงสบถกับตัวเอง เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากใช้ทางเลือกสุดท้ายของเขาในตอนนี้ไม่เช่นนั้นเขาจะตายอย่างน่าสมเพช
กู่ฟ่านหมิงรีบหยิบม้วนคัมถภีร์สีทองออกมาจากแหวนเก็บสัมภาระของเขาและฉีกมันออกจากกัน ในขณะที่เขาทำเช่นนั้นเขาหายไปในลูกประคำเล็กๆ จำนวนมากพร้อมกับม้วนหนังสือขณะที่มีอีกคนโผล่มาแทนเขา
คนๆนี้รู้สึกงุนงงกับทิวทัศน์ที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน เขาอยู่ที่บ้านของเขาเมื่อไม่กี่วินาทีที่แล้ว แต่ตอนนี้เขาถูกพามาที่ๆเขาไม่รู้จัก นี่เป็นไปได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น หลานชายของปรมจารย์ของเขาอาจใช้ม้วนคัมภีร์ที่ปู่ของเขามอบให้
“หืม? นั่นคือต้นไม้เหรอ” เขาเลิกคิ้วเมื่อเห็นกิ่งก้านที่มีใบไม้สีทองพุ่งตรงมาหาเขา นี่น่าจะเป็นสิ่งที่บังคับให้หลานชายของปรมจารย์ใช้ม้วนคัมภีร์นั้น เขากำลังจะโจมตีมันเมื่อจู่ๆเขาก็รู้สึกได้ถึงความแข็งแกร่งอันมหาศาลของกิ่งก้านนั้น
ดวงตาของเขาเบิกกว้างด้วยความตกตะลึง เพียงแค่ออร่ามันเขาก็สามารถบอกได้ว่ามันเป็นสิ่งที่ทรงพลังอำนาจมากๆ ก่อนที่เขาจะสามารถเคลื่อนไหวร่างกายเพื่อหลบหนีได้กิ่งก้านนั้นก็สัมผัสที่ตัวเขา
“นายท่าน! ท่านทำร้ายข้า!” เขาตะโกนขึ้นไปบนฟ้าขณะที่พลังชีวิตของเขาถูกกิ่งก้านนั้นดูดจนแห้งในไม่กี่วินาที เขาไม่ควรเห็นด้วยเมื่อปรมจารย์ของเขานั้น ขอให้เขานั้นผูกมัดตัวเองกับม้วนคัมภีร์กับหลานชายของเขาเมื่อนานมาแล้ว ในตอนนี้เขาเริ่มเสียใจเป็นอย่างมาก เขาเป็นผู้ฝึกตนที่มีความเย่อหยิ่งในขอบเขตราชันต์เทวลิขิต แต่เขากำลังจะตายเพียงเพราะเรื่องแบบนี้
…
กู่ฟ่านหมิง ปรากฏตัวในห้องที่ใดที่หนึ่ง ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ที่ๆเขาสลับมา เขาหอบหนักสักครู่ก่อนจะถอนหายใจด้วยความโล่งอก
สำเร็จ!
ตอนนี้เขาอาจจะอยู่ที่ห้องลูกศิษย์ของปู่ของเขาในจักรวรรดิของนิกายศิลาเทพเจ้าซึ่งอยู่ห่างจากหุบเขาพันภูเขาเช่นเดียวกับศิษย์ของปู่ เขาเองก็รู้สึกเสียใจเช่นกัน
เขาสูญเสียสมบัติที่เอาไว้ช่วยชีวิตที่สำคัญที่สุดชิ้นหนึ่งของเขา เขามีเพียงแค่อันเดียวเพราะมันเป็นสมบัติหายากแม้แต่ผู้ฝึกตนที่ขอบเขตสูงกว่าเขาก็ยังไม่มีสมบัติแบบนี้เหมือนกับเขา
เขาถอนหายใจอีกครั้ง
“ข้าจะต้องอธิบายให้ปู่ข้าฟังเกี่ยวกับเรื่องนี้” กู่ฟ่านหมิงพึมพำกับตัวเอง แม้แต่นิกายระดับหนึ่งก็ไม่สามารถกำจัดผู้ฝึกตนในขอบเขตราชันต์เทวลิขิตลงได้อย่างง่ายดาย
กู่ฟ่านหมิงยังคงสงสัย ในตอนนี้ศิษย์ของปู่ของเขาอาจตายไปแล้วจากกิ่งก้านที่ทรงพลังมหาศาลที่เขาลูกนั้น
…
ย้อนกลับไปในหุบเขาพันภูเขาหญิงสาวสวมหมวกคลุมหน้าพร้อมกับชายหนุ่มรูปหล่อขณะที่พวกเขาลอยขึ้นไปบนท้องฟ้ามองดูชายหนุ่มที่สวมชุดเกราะสีม่วงวิ่งไปพร้อมกับอสูรสองตัวที่อยู่กับเขา
ผู้หญิงคนนั้นเป็นเหมือนนางฟ้าบริสุทธิ์ที่ลงมาจากสวรรค์ เธอได้ปลดปล่อยออร่าอันสูงส่งที่ทำให้เธอดูเหมือนสิ่งมีชีวิตที่แตะต้องไม่ได้ หากมีใครที่สงสัยถึงความบริสุทธิ์ของเธอนั่นก็เท่ากับเป็นการดูหมิ่นเธอ
ในทางกลับกันผู้ชายที่หล่อเหลาก็ราวกับเจ้าชายที่สาวๆหลายคนเฝ้าฝันให้มีอยู่จริงมาตลอด เขาหล่อมากถึงขั้นที่ผู้หญิงทั่วๆไปส่วนใหญ่จะตกหลุมรักเขาทันที เขาเป็นผู้ชายที่สมบูรณ์แบบไม่มีข้อบกพร่องใดๆ อย่างไรก็ตามไม่มีผู้ชายที่สมบูรณ์แบบขนาดนี้ในโลกนี้
สิ่งที่พวกเขาสังเกตเห็นไม่ใช่ใครอื่นนอกจากยุ่นหลิงที่ถือลูกราชาราชสีห์ไว้ในอ้อมแขนของเขาและจิ้งจอกด้วยมืออีกข้างของเขา
“นั่นมันกระบวนท่าอะไรน่ะ? หรือมันเป็นกระบวนท่าศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูง?” ชายหนุ่มผู้หล่อเหลาสงสับขณะมองไปที่ยุ่นหลิงอย่างอยากรู้อยากเห็น
หญิงสาวไม่ได้พูดอะไร เธอแค่สังเกตยุ่นหลิงอย่างเงียบๆ
“ดูเหมือนว่าเราไม่จำเป็นต้องช่วยเขาเลย ตามที่นายหญิงนายบอกเอาไว้ถึงผู้ชายที่ท่านเลือก แม้จะอยู่ในขอบเขตที่ต่ำกว่าเขาก็ยังสามารถหลุดพ้นจากเงื้อมมือของเซียนได้” ชายหนุ่มผู้หล่อเหลากล่าวขณะเหลือบมองผู้หญิงข้างๆเขาแอบสังเกตปฏิกิริยาของเธอ “แม้ว่าพวกเขาจะโชคดีที่ต้นไม้เซียนวิลโลว์ไม่ได้เอาจริงพวกเขามาก แต่ก็ยังเป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การยกย่อง”
ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้กังวลกับคำพูดของเขา เธอลอยจากไปโดยปล่อยชายผู้หล่อเหลายังอยู่ที่เดิม
หนุ่มหล่อไม่ได้ติดตามเธอไปทันที เขามองไปที่ยุ่นหลิงจากระยะไกลความอิจฉานั้นได้ปรากฏในแววตาของเขา
“เขาเป็นแค่คนที่ดูอ่อนแอจากขอบเขตที่ต่ำกว่า คงไม่รอดมาจนถึงให้ข้าต้องลงมือเองแล้วล่ะ” ชายหนุ่มพูดกับตัวเองในขณะที่เขากำจัดความคิดที่จะฆ่ายุ่นหลิงออกไป เขาต้องการที่จะโจมตียุ่นหลิงในตอนนั้น แต่เขาก็สามารถระงับความต้องการของเขาได้ในที่สุด