บทที่ 49 ไม่ได้เอาจริง
หลังจากสังหารผู้ฝึกตนในขอบเขตราชันต์เทวลิขิตแล้วกิ่งก้านของต้นไม้เซียนวิลโลว์ก็หยุดลง
มันปล่อยให้สามคนนั้นหนีไป ไม่ ไม่ใช่สาม แต่มีห้าถ้ารวมกับอสูรสองตัวที่อยู่กับคนใดคนหนึ่งในสามคนนั้น หนึ่งในสองตัวนั้นเคยหนีจากมันมาก่อน
ต้องยอมรับว่าสำหรับมนุษย์พวกนี้ในขอบเขตที่ต่ำกว่าที่มีพลังวิญญาณจิตด้อยกว่า พวกเขาทำได้น่าประทับใจเล็กน้อย เมื่อไม่กี่วันก่อนมีอสูรมากกว่าร้อยตัวที่เข้าไปในหุบเขานั้น พวกมันทั้งหมดก็ถูกฆ่าลงได้อย่างง่ายดาย แต่ทั้งสามคนกับอีกสองตัวนี้นั้นต่างออกไป หากพวกเขาเติบโตขึ้นจนกลายเป็นเซียน พวกเขาจะกลายเป็นเหล่าสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังและอำนาจมากแน่นอน น่าเสียดายที่เวลาไม่ได้อยู่เคียงข้างพวกเขาเพราะมันไม่ได้ตั้งใจที่จะให้ใครหนีไปจากมัน
ใบไม้สีทองห้าใบแยกออกจากกิ่งก้าน ใบไม้นั้นลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าขณะที่มันพยายามหาคนที่หนีจากมัน ไม่ถึงวินาทีต่อมาก็ตรวจพบแล้ว
สิ่งมีชีวิตทั้งสามกำลังจะออกจากหุบเขาพันภูเขา ในขณะที่อีกตัวยังอยู่ห่างจากทางออก ส่วนอีกคนแม้ว่าจะอยู่ไกลไปแล้ว เขาไม่ได้อยู่ในหุบเขาพันภูเขา มันอาจต้องใช้ความพยายามเล็กน้อยเนื่องจากระยะห่างระหว่างพวกเขานั้นมีมาก แต่ก็ยังสามารถไปหาเขาได้
ใบไม้สีทองทั้งห้าใบเล็งไปที่เป้าหมายและลอยออกไปมุ่งหน้าไปยังที่ๆเป้าหมายอยู่ในแต่ละแห่ง ใบไม้พวกนั้นยังไปไม่ถึงครึ่งทางของเป้าหมายเมื่อจู่ๆก็ถูกไฟที่โหมกระหน่ำลุกไหม้และกลายเป็นขี้เถ้า
ที่ไหนสักแห่งในส่วนที่ลึกที่สุดของหุบเขาพันภูเขาต้นไม้เซียนวิลโลว์ที่ควบคุมกิ่งก้านเหล่านั้นสั่นเล็กน้อย ในที่มันนั้นก็เคลื่อนไหวแล้ว! ต้นไม้เซียนวิลโลว์เรียกกิ่งก้านของมันกลับมาและตัดสินใจที่จะเลิกไล่ล่าสิ่งมีชีวติทั้งห้านั้น มันไม่มีเวลามาเล่นกับทั้งห้าคนนั้นอีกต่อไป เนื่องจากมีเป้าหมายที่สำคัญกว่าให้ไปหา
…
ลูกศิษย์หลายคนที่ยังคงอยู่ที่ทางเข้าหุบเขาพันภูเขารู้สึกกังวล เป็นเวลาหลายวันแล้วที่ลูกศิษย์และเพื่อนร่วมนิกายบางคนเข้ามาในสถานที่นี้ แต่ยังไม่มีสักคนออกมา ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องปกติ พวกเขากำลังเจอปัญในหุบเขานี้หรือไม่?
ในขณะที่พวกเขากำลังครุ่นคิดถึงลูกศิษย์และเพื่อนของพวกเขาในหุบเขาพันภูเขาพวกเขารู้สึกว่าพื้นนั้นสั่นเล็กน้อยและเห็นแสงสีม่วงบินผ่านมาเหนือพวกเขาตามด้วยคลื่นเสียงดังที่ทำให้แสบหูและคลื่นลมที่กระแทกร่างลูกศิษย์เหล่านั้นกระเด็นลอยออกไป
“ตอนนี้พวกเราออกจากหุบเขาพันภูเขาแล้ว เรากำลังจะไปที่ไหนกัน?” จิ้งจอกถามยุ่นหลิง
“ไปจักรวรรดิจิ๋น” ยุ่นหลิงตอบด้วยสีหน้าที่จริงจัง หลังจากสิ่งที่เขาเจอในหุบเขาพันภูเขา เขาจะไม่เข้าไปในสถานที่อีกเลยยกเว้นแต่ว่าเขาจะต้องเข้าไปโดยไม่มีทางเลือก
“ต้นไม้เซียนวิลโลว์นั่นมันไม่ได้เอาจริงอะไรกับเราเลย” จิ้งจอกพูด เขายังจำได้ว่าต้นไม้เซียนวิลโลว์นั้นดุร้ายเพียงใดในครั้งแรกที่มันไล่ล่าเขา การไล่ล่าก่อนหน้านี้เป็นเพียงการหยอกเล่นของเด็กๆเมื่อเทียบกับครั้งแรกที่มันเจอ ครั้งนั้นไม่ใช่แค่กิ่งก้านเดียวที่ไล่ตามเขาและลูกชาย มันมีกิ่งก้านหลายพัน! เขาต้องหนีมันทั้งหมด แต่ก็ยังไม่สามารถหลบได้
ยุ่นหลิงเชื่อในสิ่งที่จิ้งจอกพูด ความจริงที่ว่าพวกเขาสามารถหลบหนีได้โดยไม่มีรอยขีดข่วนจากเงื้อมมือของมันเป็นหลักฐานเพียงพอว่ามันไม่ได้จริงจังกับพวกเขา หากต้นไม้เซียนวิลโลว์พยายามอีกเพียงเล็กน้อยเพื่อจับพวกเขา ยุ่นหลิงก็มั่นใจเลยว่าเขาจะไม่สามารถหลบหนีได้แม้ว่าเขาจะหนีไปไกลแค่ไหนก็ตาม
‘นี่หรือระดับเซียน’ ยุ่นหลิงครุ่นคิดอย่างหนักขณะที่เขากำหมัดแน่น
นั่นเป็นพลังเพียงส่วนเล็กๆของต้นไม้เซียนวิลโลว์ แต่มันก็มากพอที่ทำให้พวกเขารู้สึกหมดหนทางแล้ว พวกเขาพูดได้ว่าตัวเองโชคดีแค่ไหนที่สามารถหลบหนีออกมาได้
มันเป็นเพียงการเผชิญหน้ากันสั้นๆ แต่มันแสดงให้ยุ่นหลิงเห็นความแตกต่างระหว่างมนุษย์กับผู้ที่เป็นเซียนแล้ว ความห่างระหว่างพวกเขาเหมือนกับสวรรค์และโลก!
‘ข้าต้องแข็งแกร่งขึ้นเพื่อไม่ให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก’ เขาสาบานกับตัวเอง เขามีความเชื่อมั่นอย่างเต็มที่ว่าเขาจะสามารถไปถึงระดับของเซียนให้ได้ในสักวันหนึ่ง คงต้องใช้เวลาพอสมควร สิ่งที่เขาอยากทำเป็นให้ได้ไวที่สุด
ยุ่นหลิงถอนหายใจ เขาล้มเหลวในการทำภารกิจ แต่ก็ไม่น่าเป็นห่วง เพราะเขาก็ดีใจที่ได้ออกจากหุบเขาพันภูเขาตอนนี้เขาแค่อยากกลับบ้านและพบยุ่นเซี่ยอีกครั้ง เมื่อนึกถึง เขาก็สงสัยว่าตอนนี้ยุ่นเซี่ยกำลังทำอะไรอยู่ในตระกูลยุ่น
…
ณ โลกพสุธา
จักวรรดิจิ๋น – เมืองหลวงทองคำ
ที่อยู่อาศัยหลักของตระกูลยุ่น
ยุ่นเซี่ยนั่งอยู่บนเก้าอี้มองไปที่ยุ่นซานที่ถือไม้ยืนอยู่ที่ด้านหน้าข้างกระดานดำอย่างตั้งใจ
ด้วยใบหน้าที่เข้มงวด ยุ่นซานชี้ไปที่คำที่เขียนบนกระดานดำด้วยไม้เท้า
“การสถาปนา การกระตุ้นจิตวิญญาณ การฝึกตนระดับแก่นกลาง การเปลี่ยนแปลงที่สี่ มหันต์ราชันย์ ราชันต์เทวลิขิต และราชันย์ศักดิ์สิทธิ์ นี่คือขอบเขตแห่งการฝึกตนทั้งเจ็ดใน โลกพสุธาสำหรับขอบเขตที่อยู่เหนือราชันย์ศักดิ์สิทธิ์นั้นสามารถฝึกฝนได้ในดินแดนที่สูงกว่าเท่านั้น” ยุ่นซานอธิบาย
“ทำไมคะ?” ยุ่นเซี่ยถาม
“เพราะที่โลกนี้ไม่อนุญาต เมื่อคนๆนั้นเข้าสู่ราชันย์ศักดิ์สิทธิ์ โลกพสุธานี้จะให้คนๆนั้นขึ้นไปสู่อีกแดนหนึ่ง แน่นอนว่าโลกพสุธาไม่สามารถบังคับคนๆนั้นได้ คนๆนั้นอาจอยู่ในโลกพสุธาหรือไปสู่ดินแดนที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตามหากคนๆนั้นปฏิเสธที่จะขึ้นไป
พวกเขาจะไม่สามารถฝึกฝนไปสู่ขอบเขตที่สูงขึ้นกว่านี้ได้ หากพวกเขาต้องการเพิ่มขอบเขตการฝึกตนของเขา เขาจะต้องไปสู่ดินแดนที่สูงกว่าโลกพสุธานี้เท่านั้น”
“โลก? โลกสามารถสั่งให้คนๆนั้นขึ้นไปได้? นั่นหมายความว่าโลกใบนี้มีจิตใจใช่หรือไม่”?
ยุ่นซานยิ้ม “เป็นคำถามที่ดี อย่างไรก็ตามยังไม่มีคำตอบที่แน่นอนสำหรับคำถามนั้น บางคนบอกว่ามีบางคนบอกว่าไม่มี ข้าอยากให้เจ้าคิดด้วยตัวเจ้าเอง ข้าไม่อยากให้เจ้ามีอคติกับข้าเพราะความเห็นที่ไม่ตรงกัน มันเป็นเพียงความคิดเห็นของข้าไม่ใช่ความจริง ข้าเดาว่าเจ้าจะต้องรู้ได้ด้วยตัวเองเมื่อเจ้าโตขึ้นในอนาคตถ้าเจ้าอยากรู้จริงๆ เอาล่ะตอนนี้จะกลับไปที่ขอบเขตการฝึกตนทั้งเจ็ดต่อนะ…”