บทที่ 44 ต้นไม้เซียนวิลโลว์
“บอกข้ามาทุกอย่างที่เจ้ารู้เกี่ยวกับต้นไม้เซียนวิลโลว์นี้” ยุ่นหลิงบอกขณะที่เขามองจิ้งจอกที่วิ่งอยู่ข้างๆเขา เขายืนอยู่บนยอดดาบบินขณะที่เขาอุ้มลูกราชาราชสีห์ไว้ในอ้อมแขน เขาแสดงออกอย่างจริงจังบนใบหน้าของเขาในขณะที่เขาถามถึงเซียนที่ทำให้อสูรจำนวนมากต้องตาย
เป็นเวลาหลายชั่วโมงแล้วที่พวกเขาออกจากถ้ำและเริ่มมุ่งหน้าไปยังทางออกของหุบเขาพันภูเขาด้วยความเร่งรีบ ไม่มีใครในพวกกลุ่มเขาต้องการอยู่นานไปกว่านี้ ถ้าพวกเขาต้องอยู่ในสถานที่น่าวังเวงและเงียบสงัดนี้นานเท่าไหร่พวกเขาก็ยิ่งเสี่ยงต่อการเป็นเป้าหมายของเซียนมากขึ้นเท่านั้น
“พูดตามตรงข้าเองก็ไม่รู้อะไรมากนัก” จิ้งจอกพูดด้วยความละอายใจเล็กน้อย
“ไม่เป็นไร แค่บอกข้าทุกอย่างที่เจ้ารู้เกี่ยวกับเซียนนี้ก็พอ”
“อืมงั้นข้าจะเริ่มจากความสามารถของมันก่อน ต้นไม้เซียนวิลโลว์นั้นสามารถดูดพลังชีวิตของเหยื่อได้ภายในไม่กี่วินาที เพียงแค่การสัมผัสครั้งเดียวจากกิ่งก้านสาขาของมันกิ่งใดกิ่งหนึ่งและในเวลาไม่กี่วินาทีมันจะดูดจนสิ่งชีวิตตนนั้นแห้งเฉาไป ต้นไม้เซียนวิลโลว์สัมพัสเข้าที่เท้าของข้าเพียงไม่ถึงวินาทีก่อนที่ข้าจะหนี นั่นจึงทำให้ข้าอยู่ในสภาพนี้” จิ้งจอกพูดอย่างมีความหมายขณะที่มันมองไปที่ร่างอันบอบบางของมัน ขนสีขาวที่เคยสง่าผ่าเผยของมันไม่มีเหลืออีกแล้ว สิ่งที่เหลืออยู่มีเพียงแค่ขนไม่กี่เส้นที่พร้อมจะหลุดออกจากร่างของเขาเท่านั้น
ต้นไม่เซียนวิลโลว์ยังเป็นสาเหตุที่จิ้งจอกตัวนี้ต้องการผลไม้ที่มีอายุยืน เขาสูญเสียพลังชีวิตไปมาก่อนจะปล่อยให้มันอยู่ในสภาพใกล้จะตาย เป็นเพียงเพราะมันต้องการแค่จะช่วยลูกชายของมันเท่านั้นที่ทำให้มันสามารถอยู่ได้นานขนาดนี้
“อย่างนี้นี่เอง”
ยุ่นหลิงพยักหน้าด้วยความเข้าใจ
ในที่สุดเขาก็รู้ว่าทำไมซากศพของอสูรที่เขาพบเจอถึงได้เป็นอย่างนั้น พวกมันเป็นเหมือนซากแห้งๆของตัวพวกมันในอดีต ราวกับว่าพวกมันเป็นแค่ซากเก่าๆ ยุ่นหลิงสัมผัสซากศพของอสูรตัวหนึ่งมาก่อนด้วยความอยากรู้อยากเห็นในขณะที่มือของเขาสัมผัสศพทันใดนั้นมันก็กลายเป็นกองขี้เถ้าทันที ทำให้เขาประหลาดใจ
“มีสิ่งหนึ่งที่ข้าไม่เข้าใจ ทำไมเซียนถึงได้มาอยู่ที่นี่? ทำไมมันถึงเริ่มฆ่าอสูรทั่วไป? การมีอยู่ชั้นสูงขนาดนั้นไม่ควรที่จะสนใจสิ่งมีชีวิตที่อยู่ระดับต่ำกว่าอย่างพวกเราด้วยซ้ำ นอกจากนี้เกิดอะไรขึ้นกับพลังงานทางจิตที่นี่? นี่ก็เป็นสิ่งที่เซียนนั้นทำด้วยหรือ” ยุ่นหลิงถาม เขารู้สึกแปลกเล็กน้อยที่อ้างว่าตัวเองเป็นสิ่งมีชีวิตที่ต่ำกว่า แต่จากมุมมองของเซียนแล้วเขาเป็นสิ่งมีชีวิตที่ต่ำกว่าไม่ว่าเขาจะเป็นคนที่ยอดเยี่ยมเพียงใด
“ข้าไม่รู้” จิ้งจอกส่ายหัวไม่รู้คำตอบสำหรับคำถามของยุ่นหลิง อย่างไรก็ตามเขาก็มีการคาดเดาอย่างหนึ่ง
“แต่ฉันคิดว่า…”
“อะไรรึ?”
จิ้งจอกลังเลว่าเขาควรบอกยุ่นหลิงไหม? เขาไม่ต้องการให้คำตอบที่ไม่ถูกต้องกับเขาเพราะเป็นเพียงการคาดเดาของเขาเท่านั้น
ในที่สุดมันก็ตัดสินใจบอกความคิดของมันเกี่ยวกับเหตุการณ์แปลกๆ ที่นี่
“สาเหตุที่ต้นไม้เซียนวิลโลว์มาอยู่ที่นี่ ทำไมมันถึงฆ่าอสูรที่หายากทั้งหมดและสาเหตุที่ทำให้พลังวิญญาณจิตหายไป…ข้าคิดว่าเป็นเพราะสวรรค์และโลกให้กำเนิดสมบัติ! สมบัติอันน่าสะพรึงกลัวที่สามารถล่อลวงเหล่าเซียนมายังสถานที่แห่งนี้!”
แววตาของยุ่นหลิงเบิกกว้างด้วยความตกใจ
“สมบัติล้ำค่าอันศักดิ์สิทธิ์? หรือว่ามันอาจจะเป็น-? ไม่ ไม่ควรเป็นอย่างนั้น ไม่ควรเป็นเช่นนั้น เป็นไปไม่ได้” ยุ่นหลิงพึมพำกับตัวเอง มีอะไรแว่บขึ้นมาในใจของเขาเมื่อเขาได้ยินการคาดเดาของจิ้งจอกทำให้หัวใจของเขากระสับกระส่าย
นับตั้งแต่ที่เขาเข้ามาในหุบเขาพันภูเขาทุกสิ่งใหม่ๆ ที่เขาได้เรียนรู้ทำให้เขาตกตะลึงอย่างมาก อย่างแรกคือการหายไปของอสูรในส่วนนอกของสถานที่นี้ อย่างที่สองคือพลังงานทางจิตที่ขาดหายไป อย่างที่สามคือซากศพของอสูรหายากรวมทั้งราชาภูเขาโกลิอัธหลังจากนั้นเขาได้พบกับจิ้งจอกและได้รู้ถึงการมีอยู่ของต้นไม้เซียนวิลโลว์จากจิ้งจอกตัวนี้ จากนั้นจิ้งจอกตัวนั้นก็บอกกับเขาว่ามันน่าจะเป็นสมบัติล้ำค่าอันศักดิ์สิทธิ์จากสวรรค์และโลก คงจะแปลกถ้ายุ่นหลิงจะยังคงสงบนิ่งหลังจากได้รู้เรื่องทั้งหมดนี้
“ตั้งแต่สองสามร้อยปีก่อนข้าสังเกตเห็นว่าพลังงานทางจิตในหุบเขาพันภูเขาค่อยๆลดลง แม้ว่าจะเป็นเพียงส่วนเล็กน้อยเท่านั้นไม่มีใครสังเกตเห็นนอกจากข้า เหมือนกับการสูญเสียน้ำในมหาสมุทรเพียงไม่กี่หยดในทุกๆวินาทีซึ่งมองออกได้ยาก ข้าคิดว่าข้าแค่จินตนาการไปเอง แต่ปรากฎว่าข้าคิดถูก” จิ้งจอกพูด
“นอกจากเจ้า? เจ้าหมายความว่าอะไร?” ยุ่นหลิงถาม
“สายพันธ์ของข้ามีความสามารถรับรู้ถึงพลังทางวิญญาณจิตที่อยู่รอบตัวข้าได้ดีกว่าอสูรชนิดอื่นๆ ทำให้เรารู้สึกถึงมันได้อย่างง่ายดาย” จิ้งจอกอธิบาย
“แล้วยังไงต่อ”?
“เมื่อหลายสิบปีก่อนในที่สุดอสูรตัวอื่นๆ ก็สังเกตเห็นพลังวิญญาณจิตที่ลดน้อยลง การลดลงเล็กน้อยในตอนแรกนั้นอาจเปรียบได้กับการสูญเสียน้ำในถังสองสามหยดในทุกๆวินาที แม้แต่มนุษย์ที่มาที่นี่เป็นประจำก็สังเกตเห็น แต่ถึงเป็นแบบนั้นก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง พลังงานทางวิญญาณจิตนั้นมากมายและมากจนไม่มีใครคิดว่ามันจะหมดลง ยิ่งไปกว่านั้นพลังงานทางวิญญาณจิตยังเพิ่มขึ้นทุกวินาที”
“หลายปีผ่านไปอัตราการสูญเสียพลังวิญญาณจิตเพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตามมันก็ยังไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง จำนวนพลังงานทางวิญญาณจิตทั้งหมดที่สูญเสียไปในช่วงร้อยปีที่ผ่านมาจนถึงวันนั้นไม่ถึงสิบเปอร์เซ็นต์ของจำนวนพลังงานวิญญาณจิตทั้งหมดในหุบเขาพันภูเขาเจ้าสามารถพูดได้เลยว่าแม้จะสูญเสียไปมันก็จะเพิ่มขึ้นมาแทนที่ในส่วนที่เสียไปเช่นกัน”
“เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาปริมาณพลังงานทางวิญญาณจิตที่สามารถเติมเต็มไม่สามารถทดแทนในส่วนที่เสียไปอีกต่อไป ในที่สุดอสูรทุกตัวก็เริ่มกังวล แต่พวกมันก็ไม่สามารถทำอะไรได้”
“จากนั้นไม่กี่วันที่ผ่านมาในที่สุดพลังวิญญาณจิตก็ถูกดูดจนแห้งเฉาส่งผลต่อการฝึกตนของข้า ข้าไม่สามารถฝึกตนได้อีกต่อไปเพราะพลังวิญญาณจิตมันหายไป พลังทางจิตวิญญาณเหล่านั้นอาจถูกสวรรค์และโลกใช้เพื่อให้กำเนิดสมบัติอันศักดิ์สิทธิ์ ตลอดหลายล้านปีที่ผ่านมาสมบัติของเทพศักดิ์สิทธ์ที่สามารถทำให้เกิดปรากฏการณ์ดังกล่าวได้ก็คือ –
กร๊อบ!
ยุ่นหลิงและจิ้งจอกตื่นตัวเมื่อได้ยินเสียงของเหยียบกิ่งไม้บริเวณนั้น
“บ้าเอ๊ย! ศิษย์นิกายอื่นอีกแล้วหรือ!” ทั้งสองได้ยินเสียงใครบางคนอุทานจากทางขวาขณะที่พวกเขาหยุดอยู่บนทางเดิน
ยุ่นหลิงและจิ้งจอกหันไปทางต้นตอของความวุ่นวายทันที แต่พวกเขาเห็นเพียงปลายดาบที่มุ่งตรงไปที่ใบหน้าของยุ่นหลิง ซึ่งมันห่างจากหน้าผากของเขาเพียงไม่กี่นิ้ว!
แคล๊ง!
ดาบเล่มนั้นถูกดาบของยุ่นหลิงเปลี่ยนทิศทางไปอย่างรวดเร็ว
“เอ๊ะ?”
เจ้าของดาบเล่มนั้นรู้สึกประหลาดใจที่ดาบของเขาถูกเบี่ยงทิศทางไปจากเป้าหมาย ไม่มีคนปกติที่สามารถตอบสนองได้เร็วขนาดนั้น แทนที่จะหลบแต่เป้าหมายของเขาก็ปัดดาบของเขาอย่างง่ายดาย นั่นแสดงให้เห็นว่าเป้าหมายของเขามีการตอบสนองรวดเร็วแค่ไหน
จากนั้นเขาก็มองไปที่ใบหน้าของเป้าหมายอย่างชัดเจนและประหลาดใจ
“เจ้าคือ—!”
ก่อนที่เขาจะพูดจบเขาก็ถูกยุ่นหลิงขัดจังหวะด้วยพูดเพียงคำเดียวขณะยุ่นหลิงมองเขาอย่างเลือดเย็น
“รนหาที่ตายซะแล้ว”