บทที่ 52 เรียกข้าว่านายน้อย
ยุ่นหลิงนั่งอยู่บนหลังของเทพเจ้าจิ้งจอกหิมะพร้อมกับลูกราชาราชสีห์ต่อหน้าเขาขณะที่พวกเขามุ่งหน้าไปยังจักรวรรดิจิ๋นด้วยความเร่งรีบ จิ้งจอกกำลังวิ่งด้วยความเร็วที่เร็วกว่ายุ่นหลิงมากเมื่อเขาอยู่ในรูปแบบเกราะสีม่วง ด้วยความเร็วที่มันวิ่งยุ่นหลิงคาดว่าพวกเขาจะไปถึงเมืองหลวงของจักรวรรดิจิ๋นภายในสิ้นวัน
“ข้าคิดว่าเจ้าจะต้องใช้เวลาอีกหลายวันก่อนที่เจ้าจะฟื้นตัวได้อย่างสมบูรณ์เสียอีก” ยุ่นหลิงกล่าวขณะที่เขามองจิ้งจอกที่อยู่ด้านล่างเขา
“ข้ายังไม่ได้ฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์ จริงๆแล้วข้าต้องการกินผลไม้อายุยืนหลังจากที่ข้ารวบรวมขอบเขตของข้าแล้วเป็นเวลาอย่างน้อยสามวัน แต่เมื่อเจ้าสลบไปข้าก็ไม่มีทางเลือกนอกจากกินมันเมื่อคืนนี้เผื่อว่าจะมีปัญหาอะไรเข้ามาอีก” จิ้งจอกตอบ
“ตอนนี้ข้าอยู่ที่ขอบเขตมหันต์ราชันย์เท่านั้น หากข้าอดทนรวมขอบเขตของข้าเป็นเวลาสามวันข้าจะอยู่ที่ขอบเขตราชันต์เทวลิขิตหลังจากที่กินผลไม้อายุยืนนั่น”
สิ่งที่มันไม่ได้บอกยุ่นหลิงก็คือเมื่อคืนที่ผ่านมาพวกเขาได้พบกับอันตราย เมื่อมันพยายามหาสถานที่ที่พวกเขาสามารถพักแรมได้และก็ได้พบถ้ำแห่งหนึ่ง สิ่งที่มันไม่คาดคิดคือมีอสูรที่อ้างว่าอยู่ในถ้ำมานานแล้ว อสูรนั้นไม่ได้เป็นอสูรที่ทรงพลัง แต่เนื่องจากอยู่ในสภาพที่อ่อนแอและด้วยความที่ยุ่นหลิงและลูกชายของมันเป็นภาระของมันจิ้งจอกก็ทำได้เพียงล่าถอย
จิ้งจอกคงพยายามหาที่ปลอดภัยแห่งอื่น แต่ในคืนที่มืดมิดนั้นมันอันตรายหากต้องเดินต่อไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื่องจากพวกมันไม่สามารถต่อสู้กลับได้เลยหากเจออสูรที่แกร่งกว่า จิ้งจอกกินผลไม้อายุยืนเพื่อให้เขาฟื้นตัวได้เล็กน้อยจากนั้นก็กลับไปที่ถ้ำและไล่อสูรตัวนั้นออก จิ้งจอกดีใจที่มันตัดสินใจได้ถูกต้องเพราะเมื่อเช้ามามันพบว่าอสูรตัวเดียวกันนั้นยังคงอยู่ไม่ไกลจากถ้ำ แต่อยู่ในสภาพที่ถูกอสูรตัวอื่นรุมกินไปแล้ว
หากมันไม่ได้กินผลไม้อายุยืนนั้นและยึดครองถ้ำนั้นก็คงไม่มีอสูรที่ต้องตาย แต่อีกสาเหตุหนึ่งที่อสูรเหล่านั้นออกไปจากถ้ำและอสูรที่กินอสูรเหล่านั้นอีกทีนึงไม่กล้าเข้าในถ้ำเพราะมันรู้สึกถึงออร่าความน่ากลัวจากขอบเขตมหันต์ราชันย์ที่แผ่ออกมาจากจิ้งจอกตัวนั้น
ยุ่นหลิงตรวจสอบขอบเขตการฝึกตนของเทพเจ้าจิ้งจอกหิมะเมื่อเขาได้เห็นจิ้งจอกครั้งแรกขอบเขตการฝึกฝนของมันยุ่งเหยิงและกำลังวนเวียนอยู่ระหว่าง ขอบเขตการฝึกตนระดับแก่นกลางและขอบเขตการเปลี่ยนแปลงที่สี่ แต่ตอนนี้ขอบเขตการฝึกตนของมันมีเสถียรภาพและอยู่ในช่วงปลายของขอบเขตมหันต์ราชันย์
“ขอบเขตการฝึกตนของเจ้าเป็นอย่างไรก่อนที่พลังส่วนใหญ่ของเจ้าจะถูกดูดโดยต้นไม้เซียนวิลโลว์”? ยุ่นหลิงถามอย่างสงสัย ความเร็วของจิ้งจอกนั้นมากกว่าเขามากแม้ว่าเขาจะใช้รูปแบบเกราะสีม่วง แล้วถ้าจิ้งจอกยังอยู่ในขอบเขตดั้งเดิมของเขามันจะเร็วมากแค่ไหนกัน?
“ขอบเขตราชันย์ศักดิ์สิทธิ์” จิ้งจอกตอบ
ยุ่นหลิงดูดลมหายใจเย็นๆช้าๆ
จิ้งจอกตัวนี้อยู่ในขอบเขตเดียวกันกับราชาภูเขาโกลิอัทซึ่งเป็นอสูรหายากที่ตายแล้วตัวเดียวกับที่เขาเคยเห็นซึ่งอยู่ห่างจากถ้ำของจิ้งจอกในหุบเขาพันภูเขา อย่างไรก็ตามแม้ว่าพวกมันจะอยู่ในขอบเขตเดียวกัน แต่จิ้งจอกก็ยังสามารถหลบหนีได้ในขณะที่ราชาภูเขาโกลิอัทนั้นหนีไม่ได้ แต่หลังจากคิดจบแล้วก็ไม่แปลกใจเลยจริงๆ
ด้วยร่างกายของราชาภูเขาโกลิอัธทำให้เห็นได้ง่ายว่ามันเป็นอสูรที่มีความเชี่ยวชาญในการสร้างความเสียหายอย่างมากให้กับคู่ต่อสู้ด้วยร่างกายที่ทรงพลังอย่างเหลือเชื่อ ในทางกลับกันจิ้งจอกซึ่งมีขนาดเล็กกว่ามันว่องไวและคล่องแคล่วกว่าหลายเท่า
มันเป็นอสูรที่มีความเร็วสูง จิ้งจอกอาจไม่ทรงพลังเท่าราชาภูเขาโกลิอัธเมื่อพูดถึงด้านพลัง แต่เมื่อพูดถึงความเร็วจิ้งจอกจะทิ้งห่างราชาภูเขาโกลิอัธแบบไม่เห็นฝุ่น
“ไม่น่าแปลกใจเลยที่เจ้าสามารถหลบหนีต้นไม้เซียนวิลโลว์เพราะเจ้าอยู่ในขอบเขตราชันย์ศักดิ์สิทธิ์นี่เอง” ยุ่นหลิงกล่าวด้วยความประหลาดใจอย่างยิ่งลูกราชาราชสีห์เหมือนจะพยักหัวเห็นด้วย ยุ่นหลิงยิ้มขณะลูบหัวลูกราชาราชสีห์
ยุ่นหลิงได้พบสมบัติอย่างแท้จริงในครั้งนี้ เทพเจ้าจิ้งจอกหิมะอาจไม่ได้อยู่ที่ขอบเขตราชันย์ศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไป แต่นั่นก็ไม่สำคัญ ถ้ามันสามารถเข้าถึงขอบเขตราชันย์ศักดิ์สิทธิ์ได้ก่อนหน้านี้ได้ด้วยตัวเองก็ไม่มีเหตุผลที่มันจะไม่สามารถเข้าถึงขอบเขตนั้นได้อีก
“เจ้าบอกว่าชื่อของเจ้าคือจิ้งจอกเขี้ยวหิมะใช่มั้ย? ลองคิดดูสิข้ายังไม่ได้ตั้งชื่อให้เจ้าเลย” ยุ่นหลิงเริ่มพูด พวกเขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่ตึงเครียดในหุบเขาพันภูเขาจนยุ่นหลิงลืมที่จะตั้งชื่อให้จิ้งจอกตัวนี้
หูของจิ้งจอกกระดิกขึ้นเล็กน้อยขณะที่มันวิ่งต่อไปด้วยความเร็ว
“ข้าชื่อยุ่นหลิง ยุ่นแปลว่าเมฆและหลิงที่หมายถึงวิญญาณหรือจิตวิญญาณ”
จิ้งจอกยิ้ม
“ยุ่นหลิง? นั่นคือชื่อของนายท่านของข้าสินะ”?
“นายท่าน?” ยุ่นหลิงเลิกคิ้วใส่เขา
“ไม่ว่าท่านจะมีเหตุผลอะไรในการช่วยเหลือข้ากับลูกชายของข้าและตอนนี้ข้าก็เป็นหนี้ชีวิตของท่าน จากนี้ไปท่านคือนายท่านของข้า ลูกชายของข้าอาจจะยังขอบคุณท่านไม่ได้ ไม่เป็นไรใช่ไหมนายท่านของข้า” จิ้งจอกถามขณะที่เหลือบไปที่ยุ่นหลิง
ยุ่นหลิงมองกลับไปที่จิ้งจอก ตั้งแต่เมื่อเช้าเขาก็สงสัยว่าทำไมจิ้งจอกกับลูกชายของมันถึงไม่ทิ้งเขาไปตอนที่เขาหมดสติ? ถ้าพวกมันทำแบบนี้ก็จะไม่ต้องตอบแทนอะไรเขาเลยเพราะมันไม่ต้องรับผิดชอบต่อความช่วยเหลือของเขาได้หากเขาไม่พบตัวมัน พวกมันมีโอกาสที่จะทำเช่นนั้น มนุษย์หลายคนก็ใช้โอกาสนั้นเช่นกัน
อย่างไรก็ตามจิ้งจอกไม่ได้ทำแบบนั้น มันยังคงอยู่อย่างน่าประหลาดใจ เป็นเพราะมันได้ตัดสินใจแล้วที่จะยอมจำนนและรับเขาเป็นนายท่านของมันหรือไม่? ถ้าเป็นเช่นนั้นมันจะเป็นจิ้งจอกที่มีซื่อสัตย์สูงมากอย่างแน่นอน
สำหรับอสูรหรือมนุษย์ประเภทนี้ ยุ่นหลิงพบว่าพวกเขานั้นไร้เดียงสา อย่างไรก็ตามหากมีใครทำกับเขาแบบนั้นยุ่นหลิงก็จะไม่ทำอะไรคนเหล่านั้นอย่างโหดร้าย เขาอาจจะดูโหดร้ายสำหรับศัตรูแต่สำหรับพันธมิตรของเขา เขาจะปฏิบัติต่อคนเหล่านั้นอย่างดี
ตอนนี้ทั้งจิ้งจอกและลูกชายของมันพิสูจน์แล้วว่าคู่ควรที่จะเป็นพันธมิตรของเขาอย่างแท้จริง
ยุ่นหลิงยิ้มออกมาเล็กน้อย
“ข้าไม่เป็นไร แต่แทนที่จะเรียกนายท่าน เรียกข้าว่านายน้อยจะดีกว่านะ”