My Death Flags Show No Sign of Ending – ตอนที่ 41 อดีตของโคดี้และวินเซนต์

My Death Flags Show No Sign of Ending

(มุมมองของโคดี้)

 

 

 

ข้าไม่สามารถบอกได้ว่าชื่อเสียงของข้าในฐานะ โคดี้ รูเซียล มีมากมายอะไรนัก แม้การที่มาถึงตำแหน่งหัวหน้าหน่วยอัศวินตั้งแต่อายุยังน้อยถือว่าน่าชื่นชม และดูราวกับว่ากำลังก้าวเดินอยู่บนเส้นทางแห่งความสำเร็จอย่างแท้จริง

 

อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริง นอกเหนือจากทัศนคติในการทำงานที่ไม่ค่อยจริงจักเท่าไหร่นัก เพราะข้ามีนิสัยที่หยาบกระด้างทำให้ไม่ค่อยเป็นที่ยอมรับในฐานะเพื่อนร่วมงานเช่นกัน

 

ต้นกำเนิดของนิสัยของข้าที่เป็นเช่นนี้คงต้องย้อนกลับไปในวันที่มิตรภาพระหว่างข้าและเด็กชายผู้ซึ่งที่วันนึงจะเป็นที่รู้จักในนามของรองกัปตันของกองอัศวินผู้ที่ทุกๆคนชื่นชม

 

เกิดและเติบโตในหมู่บ้านชนบทเช่นเดียวกัน หรืออาจกล่าวได้ว่าพวกเราเป็นเพื่อนสมัยเด็กกัน

 

พวกเราทั้งสองเกิดในครอบครัวคนธรรมดา และมีชีวิตวัยเด็กที่ไร้ความกังวลใดๆภายในหมู่บ้านที่รายล้อยไปด้วยธรรมชาติ

 

ความสงบสุขของพวกเราพังทลายลงในตอนที่พวกเราอายุ 7 ชวบ

 

ในตอนนั้น ที่หมู่บ้านถูกโจมตีโดยกลุ่มโจร  ผู้คนถูกปล้นทั้งอาหารและทรัพย์สิน หลายๆคนถูกสังหาร และถูกลักพาตัว

 

คิดว่ามันจะจบลงแค่นั้น? ปล่าวเลย เพราะบาเรียป้องกันมอนเตอร์ถูกทำลายไปด้วยในระหว่างที่พวกโจรบุกปล้น เหล่ามอนเตอร์ต่างรายล้อมเข้ามาโจมตีจากทุกสารทิศ เพราะพวกมันได้กลิ่นเลือดและอาหาร

 

มันเป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเราจะป้องกันตัวเองกันได้จากเหล่ามอนเตอร์ในเวลานี้

 

ขณะที่หมู่บ้านของพวกเราถูกโจมตีโดยพวกโจรและมอนเตอร์ กลิ่นคาวเลือดและเสียงกรีดร้องของผู้คนดังก้องไปทั่ว เปลวไฟลุกไหม้อยู่ทุกหนทุกแห่งราวกับนรก

 

ถึงแม้ วินเซนต์และข้าจะเอาตัวรอดจากการสังหารหมู่เหล่านั้นมาได้ แต่พวกเราก็สูญเสียทั้งครอบครัวและหมู่บ้านไปจนหมดสิ้น

 

ไม่มีอะไรเหลือนอกเสียจากความสิ้นหวัง สำหรับเด็กกำพร้า 2 สองคน ไม่มีสิ่งใดที่พวกเราจะทำได้นอกเสียจากเศร้าโศก

 

หรือพวกเราควรที่จะตายไปด้วยดีกว่านะ ? ในเวลานั้นตัวข้าตั้งใจที่จะทำเช่นนั้นจริงๆ ข้าจะอยู่รอดไปทำไมในเมื่อทุกๆคนในครอบครัวต่างตายกันหมด

 

แต่ข้าก็นึกขึ้นได้ วินเซนต์ยังอยู่ข้างข้า ข้าจะทิ้งเขาไว้ลำพังได้อย่างไร ? เขาทั้งตัวเล็ก ขี้แย เป็นเพื่อนคนสำคัญ และยังเป็นคนขี้อายคนเดิมที่ยังคงซ่อนอยู่ที่ด้านหลังข้า ข้าตัดสินใจที่จะมีชีวิตอยู่ต่อ

 

ถ้าหากข้าต้องตายจริงๆ อย่างน้อย ก็ขอให้วินเซนต์รอดไปได้เถอะ

 

แต่ถ้าหากข้าตายขึ้นมาจริงๆ ไอ้เด็กอ่อนแอคนนี้จะรอดต่อไปได้อีกนานสักแค่ไหน

 

อืม ถึงข้าจะพูดเช่นนั้น แต่ความจริงพวกเราก็ยังคงเป็นแค่เด็ก โอกาสที่พวกเราจะอยู่รอดกันไปได้นั้นก็น้อยตั้งแต่เริ่มแรกอยู่แล้ว

 

ดังนั้น ไม่มีทางเลยที่ข้าจะเลือกจบชีวิตตัวเองแล้วทอดทิ้งวินเซนต์ไว้ตัวคนเดียวได้

 

นั้นเป็นเหตุผมที่ข้าถามกับเขา “ฉันไม่สนหรอกนะว่าฉันจะมีชีวิตอยู่ต่อหรือตาย แต่ว่า นายล่ะ ? นายอยากจะตายไปพร้อมกับฉัน หรือ มีชีวิตอยู่ต่อ ?”

 

 

 

“…ฉะ-ฉันอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป ฉ-ฉันไม่อยากที่จะตาย..มะ-มันน่ากลัว !”

 

 

 

นั้นคือคำตอบของวินเซนต์ แม้จะตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ เขายังคงที่จะกลัวความตายได้อีก

 

จริงๆแล้ว  ข้าไม่เข้าใจความรุ้สึกเหล่านั้นหรอก นี่เพราะข้าเชื่อว่าความตายเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการหลบหนีออกจากความสิ้นหวังที่พวกเรากำลังเผชิญอยู่

 

หากมองย้อนกลับไปในตอนนั้น นี่อาจเป็นจุดแข็งของวินเซนต์ที่ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตาและเลือกที่จะมีชีวิตอยู่ต่อ มันช่วยชีวิตข้าในตอนนั้น หากไม่มีสิ่งนี้ ข้าคงเลือกที่จะตายไปแล้ว

 

ในตอนนั้น พวกเราทั้ง 2 ลุกขึ้นยืน มือของพวกเราประสานกัน พวกเราให้สัญญาซึ่งกันและกันโดยที่ไม่ต้องกล่าวคำใดๆออกมา

 

เด็กน้อย 2 คน ที่ไม่มีใครให้พึ่งพาอาศัย และทำทุกๆสิ่งเพื่อที่พวกเราจะได้มีชีวีตรอดอยู่ต่อไป

 

ที่ซากหมู่บ้านของพวกเรา ที่เมื่อ 2-3 วันก่อนมันเคยเป็นหมู่บ้านที่ปกติสุข พวกเราออกปล้นศพและขโมยอาหาร พวกเราขโมยเงินของคนอื่นๆ และภายในสลัมที่ตอนนี้ถูกเรียกว่าบ้านของพวกเรา พวกเราทำกระทั้งฆ่าคนอื่น แม้ว่าเพื่อปกป้องตัวเองก็เถอะ

 

ถึงแม้มันจะรู้สึกไม่ต่างจากการฆ่าพวกมอนเตอร์ที่เข้ามาโจมตีพวกเราเท่าไหร่..

 

ท่ามกลางความตายและความสิ้นหวัง ในตอนที่พวกเราอายุได้ 10 ขวบ พวกเราเริ่มเลียนแบบทหารรับจ้าง และเต็มใจที่จะเข้าสู่สนามรบเพื่อนปราบปรามเหล่ามอนเตอร์

 

วินเซนต์ผู้ขี้ขลาดและข้า พวกเราเติบโตและเข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ และในช่วงนั้นเองที่พวกเราเห็นบางสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไป

 

ดูเหมือนว่าวินเซนต์จะมีพรสวรรค์ในดาบวิชาดาบ และทุกๆครั้งที่เขาได้ต่อสู้ฝ่าฟัน เขาจะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ

 

ความรู้สึกในตอนนั้น เหมือนกับพวกเราใช้ชีวิตกันวันต่อวัน มันเป็นช่วงเวลาที่แย่สุดๆ

 

และก่อนที่ข้าจะรู้สึกตัว วินเซนต์ก็ไม่หัวเราะหรือร้องไห้อีกต่อไป ข้าไม่อยากจะเป็นเพื่อนของข้ากลายเป็นแบบนี้เลย

 

ข้าได้แต่กลับไปคิดว่าหากพวกเราเลือกที่จะทิ้งชีวิตและตายในตอนนั้น ไม่ใช่ว่าพวกเราจะมีความสุขกันมากกว่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้หรอกหรอ ? ข้าได้แต่คิดถึงสิ่งเหล่านี้ซ้ำไปซ้ำมา

 

หลังจากใช้ชีวิตอยู่ในฐานะทหารรับจ้างอยู่ 3 ปี ข้าก็ได้รับบาดเจ็บเพราะความประมาทในระหว่างการต่อสู้ ถึงแม้บาดแผลมันจะไม่ถึงแก่ชีวิต แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะกลับมาสู้ต่อด้วยบาดแผลเช่นนี้

 

แต่ในเมื่อคุณอยู่ท่ามกลางสงคราม มันไม่มีใครเห็นใจกับเรื่องพวกนี้หรอก ศัตรูของข้ามองว่ามันคือโอกาส และฟาดดาบของเขาลงมา

 

ข้าไม่มีพลังหรือความตั้งใจใดๆที่จะหลบการโจมตีนั้น

 

ภาพของดาบที่กำลังถูกฟันลงมา ราวกับข้ากำลังเฝ้ารอให้ชีวิตบัดซบของข้าสิ้นสุดลง แต่ทว่าก่อนที่ใบดาบจะมาถึงตัวข้า แสงแฟลสที่เกิดจากการฟันอย่างรวดเร็ว 2 ครั้งก็ฉายออกมา

 

แสงแรกตัดแขนของศัตรูคนนั้นจนขาดกระเด็นและแสงที่ 2 ตัดเข้ากลางลำตัวโดยคนผู้นั้นไม่ทันได้กรีดร้อง

 

วินเซนต์หันกลับมา ศีรษะของเขาอาบไปด้วยเลือดของศัตรูที่พุ่งออกมาจากลำตัว เพื่อนรักของข้าเต็มไปด้วยเลือด ราวกับเป็นคนละคนที่ข้าเคยรู้จัก

 

เขาพยุ่งข้าด้วยไหล่ของเขาอย่างเงียบๆ และพาพวกเราถอยออกมาจากแนวหน้าเข้าสู่พื้นที่ปลอดภัย

 

 

 

[ โคดี้ , นายไม่เป็นไรนะ? ]

 

[ ฉัน คะ-แค่ … นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่นายได้ “ปกป้องฉัน” ]

 

[ … งั้นหรือ ? อืม .. ก็ มันก็ไม่แย่เท่าไหร่ ]

 

[ ห๊ะ ? หมายความว่าไง ? ]

 

[ ความรู้สึกที่ได้ปกป้องน่ะ ]

 

[ ….. ]

 

[ พวกเราควรที่จะปกป้องผู้คนด้วยมือที่สกปรกและเปื้อนเลือดเช่นนี้จริงๆหรือ ? ]

 

 

 

วินเซนต๋กล่าวออกมาพร้อมกับกำหมัดแน่น ข้าได้แต่สงสัยว่าตอนนั้นวินเซนต์เขามีความสุขหรือเสียใจกันแน่ ? ข้าเข้าใจความรู้สึกในตอนนั้นของวินเซนต์ไม่ได้เลย

 

ในตอนนั้น ข้าคิดเพียงแค่ว่า การที่วินเซนต์คิดจะปกป้องคนอื่นถือเป็นเรื่องที่ดี

 

 

 

[ งั้น ทำไมนายไม่ลองปกป้องพวกเขาดูล่ะ ]

 

[ เอ๊ะ ? ]

 

 

 

มันเป็นใบหน้าโง่ๆของวินเซนต์ที่แสดงออกมาที่ข้าไม่ได้เห็นมาเป็นเวลานาน

 

มันดูตลกจนเกือบจะกลั้นหัวเราะไม่ไหว ข้าได้แต่ฝืนตัวเองกล่าวออกมาต่อ

 

 

 

[ ถ้าหากนายเข้าร่วมกองอัศวิน จะกี่ร้อยกี่พันคน นายก็สามารถปกป้องเอาไว้ได้แม้กระทั้งตัวฉัน ]

 

[ แต่ไม่มีทางที่คนเร่ร่อนอย่างพวกเราจะเข้าร่วมกองอัศวินได้ … ]

 

[ มันฟังดูยากก็จริง แต่ไม่ยากเกินไปกว่าที่พวกเราฝ่าฟันมาถึงจุดนี้หรอกนะ ]

 

[ โคดี้ … ]

 

[ เฮ้ วินเซนต์ นายน่ะแข็งแกร่ง แข็งแกร่งกว่าฉัน และฉันไม่อาจเอื้อมถึง ]

 

[ ละ-แล้วเรื่องในอดีตของพวกเราล่ะ ? ]

 

[ มันไม่สำคัญหรอกน่า ! พวกกองอัศวินไม่สนใจเรื่องพวกนั้นหรอก ไม่ว่าเราจะเกิดที่ไหน โตที่ไหน ใช้ชีวิตมาแบบไหน … มั้งนะ ? ]

 

[ … ]

 

[ เลือกซะ วินเซนต์ นายจะใช้ชีวิตอยู่ต่อไปแบบนี้ หรือ มุ่งเป้าไปที่กองอัศวิน ? ]

 

[ … เหมือนกับตอนนั้นเลยนะ ]

 

 

 

ตอนนั้น ที่ด้านหน้าหมู่บ้านที่ถูกทำลาย ข้าถามกับเขาว่าเขาอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อหรือตาย

 

หากจำไม่ผิด มันก็ผ่านมาแล้ว 6 ปี ตั้งแต่ตอนนั้น

 

 

 

[ โคดี้ ฉันอยากจะเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ โลกที่ผู้อ่อนแอถูกผู้เข้มแข็งกว่าเหยียบย่ำ ]

 

[ เปลี่ยนแปลงโลกงั้นรึ .. เฮ้ นายคิดทำเรื่องใหญ่ๆอีกแล้วนะ ]

 

[ ฉันไม่สามารถทำมันให้สำเร็จด้วยคัวคนเดียวได้ หากปราศจากพลังของนาย มันก็เป็นเพียงความฝันลมๆแล้งๆ ]

 

[ อัศวินไม่ใช่ที่ของฉันนายก็รู้ ฉันไม่อยากใช้ชีวิตที่อยู่เหนือคนอื่นๆ และที่สำคัญ ฉันเป็นคนขี้เกียจ ]

 

[ มันไม่สำคัญ ฉันอยากจะทำสิ่งเหล่านี้ให้สำเร็จไปพร้อมกับนาย โลกที่ไม่ต้องมีเด็กแบบพวกเราต้องเกิดขึ้นมาอีก ]

 

[ … ความฝันนายมันดูยากเกินไปสำหรับฉัน ]

 

[ ไม่ต้องกังวล ไม่จำเป็นต้องตอบคำถามฉันตอนนี้ ค่อยตอบฉันหลังจากที่พวกเราจบการต่อสู้นี้เถอะ ]

 

 

 

หลังจากทิ้งข้าไว้กับหน่วยรักษา วินเซนต์ก็กลับเข้าสู่แนวหน้าทันที

 

ขณะมองดูแผ่นหลังของเขา นี่เป็นครั้งแรกที่เพื่อนตัวน้อยของข้าที่มักจะซ่อนอยู่ข้างหลังข้าได้ก้าวเดินออกไปข้างหน้าเพื่อไล่ตามความฝันของตัวเอง ข้าคิดมาโดยตลอดว่าข้าต้องเป็นคนที่ปกป้องเขา แต่ในตอนนี้ ถึงแม้ข้าจะไม่ได้อยู่ข้างๆเขา ข้าก็เชื่อว่าวินเซนต์มีความสามารถมากพอที่จะทำมันให้สำเร็จได้

 

แต่นั้นไม่ได้หมายความว่า- …..

 

เขากล่าวออกมาด้วยใบหน้าที่จริงจังว่าเขาจะเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ และเมื่อข้าคิดถึงภาพในตอนนั้น มันช่วยไม่ได้ที่ข้าจะไม่เผลอหลุดหัวเราะออกมา

 

หัวเราะ , ข้าหัวเราะจนเจ็บท้องไปหมด แต่ข้าก็หยุดหัวเราะไม่ได้

 

 

 

[ หากฉันตามหมอนี่ไป ชีวิตบัดซบของฉันคงดีกว่านี้สินะ ? ]

 

 

 

เสียงพึมพัมอันแผ่วเบาขณะมองภาพแผ่นหลังของวินเซนต์ ที่กำลังกลับสู่แนวหน้า ยังคงตราตรึงอยู่ในใจข้าไม่เคยจางหายไปไหน

 

 

 

 

 

◇ ◇ ◇

 

 

 

 

 

( แม้ข้าจะพูดไม่ได้เต็มปากว่า ภาพแผ่นหลังในตอนนั้นและภาพของฮาโรลด์ในตอนนี้ดูคล้ายกันก็เถอะ )

 

 

 

นั้นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมข้าถึงมายืนอยู่ต่อหน้าของฮาโรลด์ในตอนนี้

 

ไม่มีเหตุผลหรือพื้นฐานใดๆรองรับ มีเพียงสัญชาตญาณล้วนๆที่ทำให้ข้ามายืนอยู่ตรงนี้

 

ฮาโรลด์นั้นช่างคล้ายคลึงวินเซนต์

 

เด็กชายที่ไล่ตามความฝันอันไร้สาระ

 

โอ้ ข้านี่ช่างแย่เสียจริง ข้าไม่สนใจความรู้สึกใดๆของฮาโรลด์เลยแม้ว่าเขาจะพยายามร้องขอ ข้าแค่ต้องการจะช่วยเขาอยู่ฝ่ายเดียว

 

ข้ากังวลกับเด็กคนนี้ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่อยากให้ข้ากังวลก็ตาม

 

มันคงเห็นแก่ตัวเกินไปหากข้าฝากความฝันของข้าและเพื่อนสนิทไปบนไหล่ของฮาโรลด์ ข้าจะพาเขากลับไปให้ได้แม้ว่าจะต้องซัดเขาให้หมอบก็ตาม

 

ข้าดึงดาบของตัวเองออกมา เสียงดาบของพวกเราปะทะกันจนเกิดเสียงแหลมสูง

 

ข้าสงสัยมาตลอดว่าฮาโรลด์จะเจ๋งซักแค่ไหนหากเขาเอาจริง ทั้งความเร็ว เทคนิค ความสามารถด้านเวทมนตร์ ฮาโรลด์ทิ้งห่างคนอื่นๆในรุ่นเดียวกันมากนัก

 

ในระหว่างการต่อสู้ เทคนิคการต่อสู้ของเขาอยู่นอกเหนือจินตนาการ ทั้งตีลังกาหลบการโจมตี แม้จะอยู่ในท่าที่ทรงตัวด้วยมือข้างเดียว เขายังใช้ขาโจมตีเข้ามาอย่างรวดเร็วและช่ำชอง นี่มันเรียกว่าเทคนิคการต่อสู้จริงๆหรอ? มันดูบ้าเกินไปนะ

 

มันเป็นการต่อสู้ที่คุณไม่สามารถคาดเดาว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างได้เลย เป็นเทคนิคที่หาดูที่ไหนไม่ได้หรอกนะ

 

แต่ว่า ข้าก็ไม่ยอมให้ตัวเองแพ้ที่นี่เช่นกัน

 

ข้าได้ถามฮาโรลด์ระหว่างที่พวกเราดวลกันด้วยความเร็วสูง

 

 

 

[ ถึงจะกะทันหันไปหน่อย ฮาโรลด์คุง นายฝันเกี่ยวกับอนาคตไว้ว่ายังไงบ้าง ? ]

 

 

 

มันเป็นคำถามที่ไม่เกี่ยวกับอะไรในสถานการณ์ในตอนนี้เลยจริงๆ

 

แต่ฮาโรลด์ก็คืนคำถามของข้ากลับมาโดยไม่รู้สึกเสียใจใดๆ

 

 

 

[ มีชีวิตอยู่เพื่อตัวเอง ก็แค่นั้น ]

 

 

 

คำตอบง่ายๆ คือการมีชีวิตอยู่เพื่อตัวของคุณเอง

 

คำตอบของฮาโรลด์แตกต่างจากวินเซนต์โดยสิ้นเชิงที่ซึ่งอยู่เพื่อปกป้องคนอื่นๆ

 

แต่ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง ข้ากลับอดรู้สึกไม่ได้ว่าพวกเขาทั้งคู่คล้ายคลึงกัน

 

 

 

[ งั้น อีกคำถาม : นายคิดที่จะมีพักพวกบ้างมั้ย ? ]

 

[ ของพวกนั้นมันไม่จำเป็น ]

 

 

 

ขณะหลบการโจมตีนั้น เขาตอบกลับมาพร้อมกับลูกเตะตัดขวาง ข้าได้แต่ต้องโดดถอยหลังออกมา

 

พวกเราทั้งคู่ไม่ได้ต้องการให้เกิดการบาดเจ็บที่รุนแรง มันจึงไม่สามารถตัดสินผลลัพธ์ได้ พวกเรารู้ดีหากไม่สู้อย่างเอาจริง ก็ไม่สามารถเอาชนะได้ แม้จะต้องแลกมาด้วยความเจ็บปวดก็ตาม

 

 

 

[ นี่คือคำแนะนำในฐานะรุ่นพี่ในการใช้ชีวิตนะ หากนายมีสิ่งที่ต้องการทำให้สำเร็จ มันคงดีกว่าหากนายมีคนที่สามารถพึ่งพาได้ พวกเขาจะช่วยเหลือนายได้นะในยามจำเป็น ]

 

[ นั้นมันเป็นทฤษฎีของคนที่อ่อนแอเท่านั้นแหละ ! ]

 

 

 

ข้าก็ไม่ปฎิเสธหรอกนะ ประการแรก มนุษย์นั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอ ดังนั้นพวกเราจึงรวมกลุ่มเพื่อแสวงหาความสัมพันธ์

 

มันไม่เป็นไรเพราะพวกเราเป็นมนุษย์ ดังนั้นพวกเราจึงอ่อนแอได้

 

พวกเราช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เชื่อมต่อกัน และเข้มแข็งขึ้น

 

แต่ฮาโรลด์กลับตัดขาดสิ่งเหล่านี้ออกจนหมด ไม่สามารถเชื่อใจใครได้นอกจากตนเอง พยายามที่จะแข็งแกร่งขึ้นด้วยตนเอง

 

มันเหงาเกินไป ข้าจินตนาการไม่ออกเลยเขาจะตัดสิ่งที่มนุษย์ปกติเขาทำกันมากแค่ไหนเพื่อให้ได้รับมาถึงความแข็งแกร่งที่ฮาโรลด์เป็นอยู่ในตอนนี้

 

ฮาโรลด์เดินบนเส้นทางที่แตกต่างจากข้าและวินเซนต์ บางที เขาอาจจะเดินมาได้ครึ่งทางแล้ว

 

ข้าไม่รู้ว่าจุดหมายของเขาคืออะไร แต่เด็กคนนี้จะไม่หยุดจนกว่าจะหมดลมหายใจ

 

แม้ว่าสถานการณ์ของเราจะแตกต่างกัน แม้เป้าหมายของเราจะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

 

ภาพของฮาโรลด์ที่กำลังต่อสู้กับโลกใบนี้และภาพของวินเซนต์ที่พยายามจะเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้กำลังทับซ้อนกัน

 

ดังนั้น ข้าจะต้องช่วยนาย

 

 

 

[[ มุ่งสู่โลกที่จะต้องไม่มีเด็กที่เกิดมาแบบพวกเรา ]]

 

 

 

เพราะนั้นคือคำสาบานที่ข้าและวินเซนต์ได้ให้ไว้ต่อกัน

 

 

 

——————————-

 

TL : เดี่ยววันนี้มีอีกตอนนะ 🙂

My Death Flags Show No Sign of Ending

My Death Flags Show No Sign of Ending

Status: Ongoing
เมื่อรู้สึกตัวอีกที เด็กหนุ่มมหาลัยธรรมดาๆอย่าง ฮิราซาวะ คาซุกิ ก็ดันมาอยู่ในร่างของตัวละครในเกมส์ ยิ่งกว่านั้น เขาดันมาอยู่ในร่างของ ” ฮาโรลด์ สโตร์ก” สุดยอดตัวร้ายที่มีคนเกลียดมากที่สุดในเกมส์ เจ้าของฉายา [ ราชาสวะ ] สำหรับเขาตอนนี้ มองไปทางไหนก็เจอแต่ธงตายอยู่รายล้อมเต็มไปหมด! คาซูกิจะหาทางหลบเลี่ยงธงตายเหล่านั้นได้หรือไม่

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท