My Death Flags Show No Sign of Ending – ตอนที่ 60 หัวใจที่แตกสลาย

My Death Flags Show No Sign of Ending

[ มะ-.. หมอนั้นหมายถึงอะไร ? ] – ลีฟา

 

ลีฟาพึมพัมออกมา เห็นได้ชัดว่าจิตใจของเธอปั่นป่วนอย่างชัดเจน เธอไม่เข้าใจว่าสิ่งที่ยูสทัสพูดออกมานั้นหมายความว่ายังไง … ไม่สิ เธอไม่ต้องการที่จะเข้าใจซะมากกว่า 

ขณะมองภาพของลีฟาที่กลายเป็นเช่นนั้น เอลล์รู้ได้ทันทีว่าเธอเดินหมากผิดพลาดเสียแล้ว

สิ่งเดียวที่เอลล์บอกกับลีฟาคือฮาโรลด์เป็นตัวทดลองสำหรับงานวิจัยอะไรบางอย่างเท่านั้น ถ้าจะให้ขยายความ มันคือการทดลองเพื่อเพิ่มพลังของผู้ทดสอบโดยใช้อายุไขของผู้ทดสอบ เห็นได้ชัดว่ามันเป็นการทดลองที่ไร้มนุษยธรรม

แต่ถึงกระนั้น เอลล์ก็ไม่คิดจะเปิดเผยข้อมูลนี้ต่อสาธารณะ และไม่คิดจะบอกกับลีฟาแก่เรื่องนี้ด้วย เพราะมันไม่ใช่เรื่องจำเป็นอะไร

ประการแรก การวิจัยนี้ได้รับการอนุมัติจากผู้บริหารระดับสูงของอาณาจักร แค่เอลล์รับรู้ข้อมูลเหล่านี้ก็มีความเสี่ยงมากพออยู่แล้ว ไม่ต้องพูดถึงเรื่องตีแผ่เรื่องนี้เลย ทำไมต้องเอาข้อมูลพวกนี้ไปเผยแพร่สู่สาธารณะเพื่อให้ตัวเองเสี่ยงตายฟรีด้วย ให้ทำงั้นเอาข้อมูลไปขายยังดีกว่า เธอไม่ได้มีความยุติธรรมในจิตใจขนาดนั้น แล้วก็ไม่ได้มีจิตวิญญาณแห่งนักข่าวผู้ตีแผ่ความจริงอะไรนั้นด้วย

นอกจากจะไม่ได้ประโยชน์อะไร แถมยังดึงดูดความสนใจโดยไม่จำเป็นอีก นั้นทำให้โอกาสที่ตัวตนของเอลล์หรือตระกูลกิฟเฟลต์ถูกเปิดเผย นับเป็นเรื่องที่โง่มาก

แน่นอนว่ามันไม่ได้เกี่ยวกับฮาโรลด์เพียงอย่างเดียว เอลล์ชั่งน้ำหนักแล้วถึงความเสี่ยง และเธอประเมิณแล้วว่ามันได้ไม่คุ้มเสีย

จริงอยู่ที่เมื่อก่อนเธอก็เคยคิดที่จะเอาข้อมูลพวกนี้ไปขาย แต่พอได้มาเป็นพรรคพวกกับฮาโรลด์ เธอก็พบว่าฮาโรลด์พยายามปกปิดเรื่องราวการทดลองนี้เอาไว้ ซึ่งเธอก็ไม่ได้สนใจว่าฮาโรลด์มีเป้าหมายอะไรถึงปกปิด แต่ถ้านั้นคือสิ่งที่ฮาโรลด์ต้องการ เธอก็ไม่คิดที่จะเข้าไปยุ่งวุ่นวายเช่นกัน

ดังนั้น แม้ว่าเอลล์จะรังเกียจงานวิจัยที่ล่นกับชีวิตของฮาโรลด์เพียงใด แต่เธอก็ไม่เคยเปิดเผยเรื่องนี้ให้กับใครได้รู้เลย ถึงเธอจะรู้ว่าลีฟาตกหลุมรักฮาโรลด์ แต่ลีฟาก็กำลังจะกลับหมู่บ้านของเธอในอีกไม่กี่วันข้างหน้า เอลล์คิดว่ายังไงซะ ลีฟาก็ต้องแยกจากฮาโรลด์อยู่แล้ว ก่อนที่ลีฟาจะรู้สึกถึงใจเธอที่รักฮาโรลด์ พวกเธอทั้ง 2 คนคงไม่ได้พบหน้ากันอีกแล้วล่ะ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับฮาโรลด์ ที่เวลาของเขาเหลือไม่มาก

อย่างไรก็ตาม แผนการณ์ของเอลล์กับล้มเหลวลงกลายเป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด ไม่มีทางที่ลีฟาจะนิ่งเงียบได้อีกเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น

 

[ ใจเย็นๆก่อน ลีฟา ] – เอลล์

[ .. ขะ- ขอโทษ ] – ลีฟา

 

ดังที่เอลล์คาดไว้ เสียงของเธอไม่สามารถเข้าหูลีฟาได้อีกแล้ว ไม่มีทางที่เธอจะถอนตัวจากที่นี่โดยไม่บังคับลีฟาที่พร้อมระเบิดอารมณ์ตลอดเวลาได้ ยิ่งกว่านั้น มีความเป็นไปได้สูงที่ยูสทัสจะรู้อยู่แล้วว่าพวกเธอทั้ง 2 อยู่ที่นี่

เอลล์เดาว่านั้นเป็นสาเหตุที่ห้องนี้ไม่มีใครอยู่เลย เธอได้แต่เสียใจที่ก้าวเข้ามาในห้องนี้โดยไม่ระวังให้ดีก่อน แต่มันก็สายเกินไปแล้วเพราะตอนนี้ลีฟาเปิดประตูห้องทดลองของยูสทัสเข้าไปโดยไม่คิดที่จะเคาะแม้แต่น้อย

 

[ พะ– .พวกเธออยู่ตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ !? ] – ยูสทัส

 

ยูสทัสดูตกใจที่เห็นลีฟาและเอลล์เข้ามาในห้องอย่างกะทันหัน มันเป็นปฎิกิริยาที่ดูเป็นธรรมชาติมาก

ถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้เหตุเพราะบังเอิญล้วนๆ แต่ดูเหมือนว่าทุกๆอย่างจะถูกเซตติ้งไว้ล่วงหน้าทั้งหมดแล้ว แม้ว่าการแสดงของยูสทัสจะดูสมจริงมากก็เถอะ

 

[ ขะ-ขอโทษ ที่พวกเราแอบฟัง ] – เอลล์

[ พวกเธอได้ยินอะไรไปบ้าง ? ] – ยูสทัส

[ … เรื่องที่ฮาโรลด์เหลือเวลาอีกไม่มาก ] – เอลล์

[ นะ-นั้นมันโกหกใช่ไหมคะ !? เขาดูแข็งแรงดีแท้ๆ! .. ฉันเพิ่งจะเห็นเขาฝึกซ้อมร่างกายเมื่อหลายวันก่อน เขายังเคลื่อนไหวด้วยความเร็วเหนือมนุษย์อยู่เลย .. ดะ-ดังนั้น จะมาบอกว่าหมอนั้นใกล้ตายหรืออะไรก็ช่าง มันเป็นไปไม่ได้ มันไม่เมคเซนต์เส—- ] – ลีฟา

[ ใจเย็นก่อนลีฟา ] – เอลล์

 

ลีฟาไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อไปดี ในหัวเธอตื้อไปหมด เธอพยายามหาเหตุผลมาหักล้างคำพูดของยูสทัสด้วยน้ำเสียงที่สิ้นหวังราวกับพยายามปฎิเสธความจริง เอลล์จึงจับไปที่ไหล่ของลีฟาและเขย่าเบาๆเพื่อพยายามเรียกสติ แต่นั้นดูแทบไม่ได้ผลอะไรเลย

เมื่อเห็นสภาพของลีฟาเป็นดังนั้น ยูสทัสจึงถอนหายใจออกมา

 

[ เฮ้อ พวกเธอนั่งลงตรงนั้นก่อน ดูเหมือนพวกเธอจะมีหลายๆสิ่งที่อยากจะถาม งั้นไว้หลังผมเตรียมชาเสร็จล่ะกัน ] – ยูสทัส

 

ยูสทัสลุกขึ้นและเทชาดำที่อุ่นเอาไว้ก่อนอยู่แล้วใส่ถ้วยชาทั้ง 3 ใบ กลิ่นใบชาหอมอบอวลไปทั่วห้องทำให้รู้สึกผ่อนคลายลง

ส่วนหนึ่งต้องขอบคุณชานี้ ดูเหมือนลีฟาเริ่มที่จะสงบสติอารมณ์ลงได้บ้างหลังจากผ่านไปราวๆ 10 นาที อย่างไรก็ตาม ถึงเธอจะดูดีขึ้น แต่ก็พูดได้ไม่เต็มปากว่าเธออยู่ในสภาพที่พร้อมจะพูดคุยอย่างใจเย็นได้

เมื่อสังเกตเห็นดังนั้นแล้ว ยูสทัสจึงหันไปทางเอลล์

 

[ เอาล่ะ ผมจะเริ่มจากเธอก่อนละกันดูเหมือนว่าจะยังพอพูดคุยกันได้ การที่พวกเธอมาแอบทำตัวลับๆล่อๆแบบนี้ มันถือว่าเป็นอาชญากรรมนะรู้รึปล่าว? ] – ยูสทัส

[ ใช่ พวกเราต้องของอภัยอย่างสุดซึ้ง ] – เอลล์

 

เอลล์ก้มหัวศีรษะอย่างสุดหัว ไม่มีข้ออ้างใดๆสำหรับการแก้ตัวนี้ได้ นั้นเพราะถ้าหากเอลล์ไม่พยายามพูดความจริงแต่กลับหาข้อแก้ตัวหลอกยูสทัส บางทีมันอาจจะกลายเป็นเหตุผลที่ยูสทัสสามารถใช้ข้ออ้างนี้สงสัยในตัวเธอได้ เพราะงั้น เหตุการณ์นี้ควรที่จะขอโทษแล้วยอมรับความผิดในฐานะของผู้เยาว์ที่ไม่รู้กาละเทสะ

ยูสทัสถอนหายใจออกมาอีกครั้งพร้อมกับเกาหัวด้วยมือขวาดูราวกับพยายามสงบอารมณ์เช่นกัน ซึ่งเอลล์ก็บอกไม่ได้ว่าปฎิกิริยาของยูสทัสแบบนี้เป็นของจริงหรือเขาแกล้งทำกันแน่

 

[ เอาเถอะ ผมเองก็มีส่วนผิดที่พูดอย่างไม่ระมัดระวังเองด้วยทั้งๆที่รู้ว่าพวกเธอทั้ง 2 กำลังจะมาแท้ๆ แต่ว่า สิ่งที่พวกเธอได้ยินนั้นถือว่าเป็นความลับที่สำคัญมากไม่สามารถเปิดเผยได้เป็นอันขาด ] – ยูสทัส

[ ค-ความลับ ? นั้นก็หมายความว่า … ] – ลีฟา

[ ใช่ มันเป็นความจริง ฮาโรลด์กำลังจะตายในไม่ช้า ]  – ยูสทัส

 

ขณะที่ยูสทัสยืนยันออกมา ลีฟาก็ก้มหัวต่ำลงราวกับพยายามอดกลั้นอะไรบางอย่าง เอลล์ทำอะไรไม่ได้นอกจากมองภาพของลีฟาที่กำลังกำมือแน่น

 

[ —–ตะ- แต่ว่า ทำไมล่ะ ? ] – ลีฟา

 

ลีฟาถามออกมาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่สิ้นหวัง น้ำตาได้เริ่มก่อตัวที่ดวงตาทั้ง 2 ของเธอ

 

[ ทำไมฮาโรลด์ถึงกำลังจะตาย ? ] – เอลล์

[ อย่างที่ผมบอกไป มันเป็นความลับสุดยอด หากผมบอกพวกเธอคง— ] – ยูสทัส

[ ได้โปรดเถอะค่ะ ! ได้โปรดบอกพวกเราด้วย … ได้โปรด .. ] – ลีฟา

 

น้ำตาที่ไม่สามารถอดทนได้อีกเริ่มไหลรินออกมาจากดวงตาของลีฟา

ถึงกระนั้น เธอก็ยกหัวของเงยขึ้นและจ้องไปทียูสทัสอย่างไม่ลดละ หลังจากผ่านไปสักพัก เป็นยูสทัสเองที่เป็นฝ่ายยอมแพ้

 

[ ลีฟา ผมของถามอะไรเธอหน่อยสิ ] – ยูสทัส

[ อะไรคะ ? ] – ลีฟา

[ เธอเพิ่งจะใช้เวลาร่วมกับฮาโรลด์ไม่นานนัก อย่างมากที่สุดก็ 2 สัปดาห์ แล้วทำไมเธอถึงเป็นห่วงเขาขนาดนั้น ? ] – ยูสทัส

 

คำถามของยูสทัสจี้ตรงไปกลางหัวใจของเธอ

ขณะที่เธอกำลังถามความรู้สึกของตัวเอง ลีฟาก็เริ่มสารภาพความในใจของเธอพร้อมกับเลือกคำพูดอย่างระมัดระวัง

 

 

[ …. ก็จริงที่ฮาโรลด์เป็นคนที่มักพูดจาเหยียดหยามและมีนิสัยที่แย่มาก เมื่อไหร่ที่พวกเราได้พูดคุยกัน มันมักจบด้วยการทะเลาะกันอยู่เสมอ ฉันก็ไม่รู้หรอกนะว่าเขาเป็นอย่างในข่าวลือพวกนั้นจริงๆรึปล่าว อย่างไรก็ตาม เขาเป็นคนที่เห็นคุณค่าในเวทมนตร์ของฉัน และเพียงเพื่อรักษาสัญญาของฉัน เขาถึงกับยอมเสี่ยงชีวิตเข้าต่อสู้โดยไม่นึกถึงอันตราย ] – ลีฟา

 

นั้นทำให้ลีฟาดีใจเป็นอย่างมากและมีผลกระทบที่ลึกซึ้งกว่านั้นด้วย มันทำให้ลีฟาสงสัยว่า “มีคนยอมทำขนาดนี้เพื่อตัวฉันด้วยหรอ ?”

ลีฟามีความสงสัยเรื่องพลังเวทมนตร์ตั้งแต่วัยเด็ก เหตุใดพลังเวทมนตร์ของแต่ละคนถึงแตกต่างกัน? ทำไมถึงมีคนที่ไม่สามารถใช้เวทมนตร์ได้ ? ถึงตอนแรกเธอจะแค่สงสัยเฉยๆ อย่างไรก็ตาม เมื่อไม่กี่ปีก่อนหน้านี้ หลังจากเธอได้รับรู้สิ่งต่างๆและความรู้ใหม่ๆเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ความสงสัยของเธอก็กลายเป็นสิ่งที่ยึดติดอยู่ในหัวของเธอ

 

ผู้ใช้เวทมนตร์ได้ย่อมร่ำรวย ส่วนผู้ที่ใช้เวทมนตร์ไม่ได้ย่อมยากจน

ผู้ใช้เวทมนตร์ได้ย่อมแข็งแกร่ง ส่วนผู้ที่ใช้เวทมนตร์ไม่ได้ย่อมอ่อนแอ

 

นั้นไม่ใช่ความจริงอย่างแน่นอน แต่ว่ามันเป็นความจริงสำหรับคนส่วนใหญ่ สิ่งเหล่านี้ยิ่งตอกย้ำความเหลื่อมล้ำ คนที่รวยจะยิ่งรวยยิ่งขึ้น คนที่จนจะยิ่งจนลง สิ่งนี้เกิดขึ้นจริงแม้กระทั้งในบ้านเกิดของลีฟา

ชาวนาที่สามารถใช้เวทมนตร์ดินและเวทมนตร์น้ำได้จะสามารถสร้างผลผลิตที่ดีกว่าชาวนาที่ไม่สามารถใช้เวทมนตร์ได้ นั้นก็เพราะเวทมนตร์สามารถช่วยลดภาระในการปรับปรุงดินและน้ำลงได้อย่างมาก

และเมื่อภาระงานลดลง ค่าแรงก็ลดลงเช่นกัน ซึ่งส่งผลทำให้ราคาผลผลิตลดลง และเมื่อผู้บริโภคต้องเลือกระหว่างสินค้าที่คุณภาพใกล้เคียงกัน ยังไง100ทั้ง100ก็ต้องเลือกที่ราคาถูกกว่า ยิ่งไปกว่านั้น การใช้เวทมนตร์แทนแรงงานคนทำให้ภาระงานที่ต้องทำเสร็จไวขึ้นและทำให้ผู้ใช้เวทมนตร์ไปทำงานอื่นต่อได้ นั้นยิ่งทำให้ความเลื่อมล้ำเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

ไม่ว่าจะเป็นด้านเกษตรกรรม การล่าสัตว์ การทำปศุสัตว์ หรือการผลิต ผู้ที่มีเวทมนตร์เหมาะสมกับงานจะสร้างผลงานได้ดีกว่าผู้ที่ไม่มี ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องธรรมดาแนวคิดเรื่องการใช้เวทมนตร์เข้าช่วยทำงานจะถูกนำไปใช้อย่างแพร่หลาย

“เลือกใช้คนให้เหมาะสมกับงาน” บางทีคำพูดนี้คือคำตอบของทั้งหมด แต่ปัญหาคือ ทั้งลีฟาและพ่อแม่ของเธอต่างไม่มีพรสวรรค์ด้านเวทมนตร์เลย ถึงเธอจะมีพลังเวทมนตร์อยู่บ้างแต่เธอยังขาดความสามารถที่จะใช้มันได้อย่างเหมาะสม เธอเกลียดเรื่องนี้ แม้เธอจะพยายามซักแค่ไหน เธอก็ไม่สามรถใช้มันได้อย่างเหมาะสมเลย

ดังนั้นครอบครัวของเธอจึงยากจน และเคยประสบความลำบากมามากมาย

แม้สถานการณ์จะเป็นเช่นนั้น แต่ลีฟาก็ไม่เคยหยุดคิดที่จะเปลี่ยนแปลงความเป็นอยู่ของครอบครัวเธอ แล้วในวันหนึ่งเธอก็พบวิธีแก้ปัญหาในที่สุด

หากเธอไม่สามารถใช้เวทมนตร์ด้วยตัวเองได้ ทำไมเธอจะใช้วิธีอื่นแทนไม่ได้ล่ะ ดังนั้น เธอจึงได้แนวคิดใหม่นั้นคือการใช้วิทยาศาสตร์เข้ามาสนับสนุนเวทมนตร์ของเธอ

เธอเชื่อว่า หากวันหนึ่งเธอทำเรื่องนี้สำเร็จ เธอจะสามารถช่วยครอบครัวของเธอและผู้คนอีกมากมายที่ไม่สามารถใช้เวทมนตร์ได้ ด้วยเหตุนี้ ลีฟาจึงทุ่มเทให้กับงานวิจัยของเธอทั้งกลางวันและกลางคืน จนถึงขั้นไม่ยอมกินไม่ยอมนอนเลยทีเดียว

และก่อนที่เธอจะรู้สึกตัว ทุกๆคนในหมู่บ้านต่างตราหน้าเธอว่าเป็นคนประหลาด แม้กระทั้งพ่อแม่ของเธอต่างยอมแพ้ในตัวเธอแล้วมองว่าเป็นคนไร้ประโยชน์ เธอกลายเป็นคนที่โดดเดี่ยวโดยสมบูรณ์

ไม่มีใครยอมรับในความพยายามของลีฟา ซึ่งมันก็ไม่น่าแปลกใจอะไร นั้นเพราะความคิดของลีฟาแตกต่างจากสามัญสำนึกของโลกนี้มากเกินไป จากมุมมองของคนรอบข้าง เธอเป็นเพียงเด็กสาวที่โง่เขลาที่พยายามอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อบรรลุความฝันที่ไม่มีทางเป็นจริงของเธอ ซึ่งตอนนั้นลีฟายังอายุไม่ถึง 10 ขวบด้วยซ้ำ บางทีเธออาจจะดูเป็นเด็กที่น่าขนลุกมากกว่าเป็นเด็กที่ประหลาด

ถึงกระนั้น ลีฟาก็ไม่เคยที่จะหยุดค้นคว้า เธอพยายามมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั้งมันกลายเป็นเหตุผลในการมีชีวิตอยู่ของเธอ ตอนนี้ เธอไม่รู้แล้วว่าเธอยังต้องการช่วยเหลือคนเหล่านั้นที่กำลังทุกข์ทรมานหรือแค่ต้องการเอาชนะคนที่ยอมแพ้ในตัวเธอกันแน่ หรือบางทีเธออาจแค่อยากทิ้งหลักฐานอะไรบางอย่างไว้ที่บ่งบอกถึงความพยายามของเธอไว้กับคนรุ่นหลัง

นั้นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเธอดีใจเป็นอย่างมากกับตอนที่ฮาโรลด์พูดชมเวทมนตร์ของเธอว่า “เป็นการโจมตีที่ยอดเยี่ยม” แม้ว่าตอนนั้นจะมีความเห็นอื่นๆที่ทั้งถากถางและดูถูกปะปนมาด้วย ซึ่งเธอก็รู้ดีว่าเขาไม่ได้หมายความอย่างนั้นจริงๆ และยังพบว่าสิ่งที่เธอกำลังทำนั้นมันมีประโยชน์ เขาจึงแนะนำให้เธอติดต่อกับยูสทัส เพื่อทำให้งานวิจัยของเธอก้าวหน้ายิ่งขึ้น

และเพราะเหตุนี้ ลีฟาจึงมั่นใจว่าเวทมนตร์ของเธอในตอนนี้ก้าวหน้าขึ้นไปสู่อีกระดับหนึ่ง

 

[ คำขอบคุณของฉันมันคงไม่มีค่ามากพอ ฉันได้แต่หวังว่าสักวันหนึ่ง ฉันจะสามารถตอบแทนความกรุณาที่ฉันเคยได้รับจากฮาโรลด์ได้อย่างเหมาะสม อย่างน้อยสิ่งนี้คือเรื่องที่ฉันอยากจะทำให้สำเร็จ แต่ว่าทำไม—- …  ] – ลีฟา

 

“ทำไมฮาโรลด์ถึงต้องตาย” ถึงเธออยากจะพูดออกมาอย่างนั้น แต่เธอก็ทำได้เพียงกลืนคำพูดเหล่านั้นลงไป

ประโยคเหล่านั้นเธอไม่สามารถที่จะพูดต่อหน้าฮาโรลด์ได้เลย ถึงเธออยากจะขอบคุณเขาขนาดไหนแต่เธอกลับไม่มีความกล้ามากพอ ถึงกระนั้น ซักวันหนึ่งเธอก็หวังว่าเธอจะสามารถซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของตัวเองให้มากกว่านี้ได้

 

[ แม้ทุกๆคนจะคิดกับฮาโรลด์ว่าหมอนี่เป็นคนเลว แต่สำหรับฉันเขาเป็นคนสำคัญ ดังนั้น หากเขาเหลือเวลาอีกไม่นาน อะไรที่ฉันสามารถทำเพื่อเขาได้ ฉันก็จะทำ ] – ลีฟา

 

อีกไม่นานฮาโรลด์จะต้องตาย แค่คิดถึงมันลีฟาก็แทบจะทนไม่ไหว หน้าอกของเธอเริ่มแน่นขึ้นราวกับกำลังจะสูญเสียสิ่งที่สำคัญไป แม้ว่าเธอจะยังไม่รู้สึกตัว แต่การดำรงอยู่ของฮาโรลด์นั้นส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อภายในจิตใจของเธอ

ลีฟาเช็ดคราบน้ำตาทั้ง 2 ข้างด้วยแขนเสื้อของเธอ

 

[ ฉันไม่อยากที่จะเห็นเขาจากไปโดยที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวเขาเลยสักนิด …. ] – ลีฟา

 

บางที นี่อาจจะเป็นเพียงแค่ความเห็นแก่ตัวของเธอ อย่างไรก็ตาม นั้นก็เป็นความรู้สึกที่แท้จริงของเธอเช่นกัน

 

[ เฮ้ออออ … ไอ้ผู้ชายบาปหนาอย่างหมอนั้นมันมีดีอะไรกันนะ ? ] – ยูสทัส

 

ยูสทัสพึมพัมออกมาอย่างเหน็ดเหนื่อยขณะจิบน้ำชาแล้วก็เอนหลังไปที่เก้าอี้พร้อมกับเงยหน้ามองขึ้นไปบนเพดาน หลังจากครุ่นคิดอยู่ท่านั้นสักพัก เขาก็ถอนหายใจออกมาราวกับยอมแพ้และเริ่มเปิดปากพูด

 

[ พวกเธอต้องเก็บเรื่องที่ได้ฟังต่อไปนี้เป็นความลับไปจนวันตาย…และพวกเราไม่เคยมาพูดคุยกันที่นี่ในวันนี้ — ผมจะเล่าให้ฟังเอง ความลับที่หมอนั้นกำลังแบกรับเอาไว้ ] – ยูสทัส

 

My Death Flags Show No Sign of Ending

My Death Flags Show No Sign of Ending

Status: Ongoing
เมื่อรู้สึกตัวอีกที เด็กหนุ่มมหาลัยธรรมดาๆอย่าง ฮิราซาวะ คาซุกิ ก็ดันมาอยู่ในร่างของตัวละครในเกมส์ ยิ่งกว่านั้น เขาดันมาอยู่ในร่างของ ” ฮาโรลด์ สโตร์ก” สุดยอดตัวร้ายที่มีคนเกลียดมากที่สุดในเกมส์ เจ้าของฉายา [ ราชาสวะ ] สำหรับเขาตอนนี้ มองไปทางไหนก็เจอแต่ธงตายอยู่รายล้อมเต็มไปหมด! คาซูกิจะหาทางหลบเลี่ยงธงตายเหล่านั้นได้หรือไม่

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท