My Death Flags Show No Sign of Ending – ตอนที่ 76 ไอเดียดีๆที่มาช้าไป2-3วัน

My Death Flags Show No Sign of Ending

แฮร์ริสันพูดเกินจริงไปหน่อยตอนที่เขาใช้คำว่า “ความรุ่งโรจน์” จริงๆแล้วคำสั่งที่เขาได้รับมอบหมายก็เพียงแค่การรวบรวมสมบัติที่กระจัดกระจายไปอยู่ทั่วอาณาจักร สมบัติเหล่านั้นมีทั้งอาวุธรวมอยู่ด้วย แน่นอนว่าดาบของตระกูลกริฟฟิธเองก็ใช่เช่นกัน

แม้ว่าสมบัติบางชิ้นจะตกอยู่ในมือของแฮร์ริสันแล้วก็ตาม แต่สุดท้ายสมบัติเหล่านั้นจะกลายเป็นของเหล่าสมาชิกปาร์ตี้ของตัวเอก มันอาจจะฟังดูแย่ที่เหมือนว่าพวกตัวเอกกำลังไปขโมยสมบัติต่ออีกทอดนึงมาเป็นของตัวเอง แต่มันช่วยไม่ได้ ไอเทมเหล่านี้คือไอเทมที่เหล่าตัวเอกสมควรจะได้รับภายในเกมส์

อย่างไรก็ตาม สมบัติเหล่านี้ที่แฮร์ริสันต้องไปรวบรวมนั้นคืออาวุธในตำนานที่ทำจากแกนของดวงดาว มันมีความแข็งและทนทานเป็นพิเศษ และวิธีสกัดและสร้างมันขึ้นมาได้สูญหายไปตามกาลเวลาแล้ว จึงทำให้ไม่สามารถผลิตขึ้นมาเพิ่มได้อีก

คงไม่ต้องบอกว่าสมบัติเหล่านี้มีค่าเทียบเท่าสมบัติของอาณาจักรเลยทีเดียว ดังนั้นฝ่ายของตัวเอกจึงต้องมีความกล้ามากพอถึงจะสามารถกล้าใช้มันได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่กลัวว่ามันจะบุบสลายไป แต่ถึงจะบอกแบบนั้น ถ้าเหล่าตัวเอกไม่ใช้มันแล้วพ่ายแพ้ในการต่อสู้ ทั้งทวีปก็จะต้องล่มสลาย ดังนั้นหากเปรียบเทียบระหว่างชะตากรรมของโลกกับความสำคัญของอาวุธที่มีค่าเทียบเท่าสมบัติของชาติแล้ว คงไม่ต้องบอกนะว่าสิ่งไหนสำคัญกว่ากัน

แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ นั้นคือในที่สุดเรื่องราวของเกมส์ก็ได้เริ่มต้นขึ้น ฮาโรลด์เองก็จำเป็นต้องเริ่มเคลื่อนไหวบ้างเช่นกัน ตามคำสั่งที่ได้รับมาจากแฮร์ริสัน สถานที่แรกที่เขาต้องไปคือที่บ้านของไลเนอร์ ซึ่งทางเลือกของฮาโรลด์ก็มีไม่มากนอกเสียจากต้องทำตาม

1 วันก่อนวันเริ่มงาน ฮาโรลด์ได้มาร้านที่อาหารแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของตระกูลกิฟเฟลต์ ซึ่งเขาใช้สถานที่แห่งนี้ในการแลกเปลี่ยนข้อมูลกับเอลล์

แม้ว่าภายนอกร้านจะดูทรุดโทรม แต่ภายในกลับดูสะอาดเรียบร้อย และเมื่อฮาโรลด์ได้บอกรหัสตัวเลขที่ได้รับการแจ้งล่วงหน้ากับพนักงานคนหนึ่งของร้าน เขาก็ถูกนำทางไปยังห้องส่วนตัวห้องหนึ่ง

ขณะคิดว่าร้านแห่งนี้ช่างดูคล้ายกับร้านอิซากายะในโลกก่อน หลังจากรออยู่ไม่กี่นาที ประตูก็ถูกเปิดออก และเอลล์ คนที่ฮาโรลด์กำลังรออยู่ก็เดินเข้ามา

ตามปกติแล้ว ตอนนี้เอลล์พักอาศัยอยู่ที่ฐานที่มั่นของกลุ่มทหารฟรีรี่ เธอบอกกับฮาโรลด์ไว้ว่า หากต้องการติดต่อกับเธอ ให้เขามาที่ร้านแห่งนี้ และทำตามที่เธอเคยบอกกับเขาไว้ แล้วเธอจะมาปรากฎตัวตามวันและเวลาที่นัดกันไว้ นั้นทำให้ฮาโรลด์สงสัยว่าเคลื่อข่ายข้อมูลของตระกูลกิฟเฟลต์มีความลับและซับซ้อนขนาดไหนกัน ?

 

[ ไง ขอโทษที่ต้องให้รอนะ ] – เอลล์

[ เร็วๆ แล้วก็นั่งลงซะ ] – ฮาโรลด์

[ เหมือนอย่างเคย เข้าเรื่องทันทีโดยไร้การทักทาย ] – เอลล์

 

เอลล์นั่งลงด้วยท่าทีงอนเล็กน้อย แต่ว่าก่อนหน้าที่จะเข้าหัวข้อหลัก มีบางสิ่งที่ฮาโรลด์จะต้องยืนยันก่อน

 

[ ปลอดภัยแน่นะที่จะพูดคุยกันที่นี่ ? ] – ฮาโรลด์

[ ฉันรับรองได้เลย พวกเราได้เคลียคนโดยรอบออกไปหมดแล้ว และยังส่งคนติดตามคนเหล่านั้นเผื่อไว้ด้วย ถ้ามีอะไรน่าสงสัยทางฝ่ายเราจะแจ้งเข้ามาทันที ] – เอลล์

 

ถ้าเอลล์เอ๋ยปากออกมาเช่นนั้น ก็คงไม่เป็นไรจริงๆ ดังนั้น ฮาโรลด์จึงเริ่มต้นพูดเกี่ยวกับแผนการของเขาในวันถัดไปและในอนาคต

 

[ พรุ่งนี้ ชั้นจะต้องออกจากเมืองหลวงไปทำภารกิจให้กับชายที่ชื่อแฮร์ริสัน เธอรู้จักรึปล่าว? ] – ฮาโรลด์

[ แน่นอน เขาพึ่งขึ้นเป็นรัฐมนตรีกลาโหมของอาณาจักร ] – เอลล์

[ ใช่ที่หมอนั้นได้ขึ้นเป็นรัฐมนตรีเพราะมียูสทัสชักใยอยู่เบื้องหลัง ชั้นไม่แน่ใจว่าตัวของแฮร์ริสันเองจะรู้เรื่องนี้หรือไม่ แต่การที่เราต้องออกจากเมืองหลวงนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของแผนการของยูสทัส ] – ฮาโรลด์

[ ได้กลิ่นความยุ่งยากแหะ แล้วเป้าหมายล่ะ ? ] – เอลล์

[ ไปขโมยดาบที่ถูกเก็บไว้ในบ้านหลังหนึ่ง ] – ฮาโรลด์

[ งานจิปาถะแบบนั้นดูไม่เหมาะที่ต้องให้นายไปจัดการด้วยตัวเองเลยฮาโรลด์ ] – เอลล์

[ อย่าไปสนใจเรื่องพรรค์นั้น พวกเราไม่ได้แสดงใบหน้าที่แท้จริงหรือแม้กระทั้งพูดคุยกับแฮร์ริสัน พวกเราต้องปฎิบัติตามคำสั่งของไอ้หมอนั้นราวกับเป็นตุ๊กตาหุ่นเชิดที่ไม่มีความสามารถในการพูด ] – ฮาโรลด์

[ หรือก็คือ แฮร์ริสันไม่รู้ว่า นายคือ 1 ในตุ๊กตาหุ่นเชิดเหล่านั้นสินะ แล้วใครคือ “พวกเรา” ที่นายพูดถึง? ] – เอลล์

[ มี อีก 2 คน ทั้งคู่ถูกเปลี่ยนเป็นตุ๊กตาโดยฝีมือของยูสทัส พวกเขาเป็นคนจากเผ่าสเตลล่า และอย่างที่ชั้นเคยพูดไปก่อนหน้านี้ พวกเขาไม่มีความสามารถในการพูด และชั้นก็คิดว่าอารมณ์กับความรู้ส่วนใหญ่ของพวกเขาก็ถูกนำออกไปด้วยเช่นกัน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีความกลัว เป็นทหารที่ปฎิบัติตามคำสั่งทุกอย่าง ] – ฮาโรลด์

 

แม้ว่าฮาโรลด์จะอธิบายเรื่องของตุ๊กตาให้เอลล์ฟัง แต่สีหน้าของก็ไม่เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด นั้นหมายถึงเรื่องระดับนี้ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้เอลล์ปั่นป่วนได้ สำหรับฮาโรลด์ นี่แสดงถึงความเข้มแข็งของเอลล์นั้นมีขนาดไหน เธอคงเคยผ่านประสบการณ์ที่ยากลำบากมาแล้ว นี่เป็นสิ่งที่พิสูจน์เขาคิดถูกที่มีเอลล์เป็นพันธมิตร ถ้าไม่มีเอลล์ หลายๆสิ่งต่อจากนี้คงลำบากแน่ เอลล์คือบุคลากรที่ฮาโรลด์ยอมคุกเข่าก้มกราบขอร้องไม่ให้เธอทิ้งเขาไปไหนได้เลย

 

[ มีอะไรที่ฉันต้องระวังเกี่ยวกับ 2 คนนี้มั้ย ? ] – เอลล์

[ ยูสทัสสามารถสั่งการ 2 คนนี้ได้อย่างอิสระ และพวกเขาก็ฟังคำสั่งของฉันด้วยเช่นกัน แต่คำสั่งของยูสทัสมีความสำคัญมากกว่า ส่วนเรื่องนี้พวกเขาไม่มีความสามารถในการพูดนั้นชั้นเองก็ไม่ยังไม่แน่ใจ เพราะไอ้เวรยูสทัสไม่ได้ให้ข้อมูลอะไรกับชั้นเกินจำเป็น ] – ฺฮาโรลด์

[ สรุปสั้นๆคือ นายจะต้องเล่นไปตามบทบาทในขณะที่วางแผนตอบโต้และเอาชนะยูสทัสไปด้วยสินะ ? ] – เอลล์

 

ถูกต้องตามนั้น แต่จะบอกว่าเอาชนะมันก็ทำให้ฮาโรลด์รู้สึกแย่หน่อยๆ แม้ว่าฮาโรลด์จะมีความรู้มาจากเกมส์ แต่การพยายามเอาชนะยูสทัสที่ฉลาดเป็นกรด นี่เหมือนเอาชีวิตตัวเองไปแขวนอยู่บนเส้นด้ายยังไงอย่างงั้น

แล้วไม่ใช่ว่า เรื่องที่เขาปกปิดเอาไว้ยูสทัสเขารู้ทุกๆอย่างตั้งแต่แรกอยู่แล้วหรอกนะ ?

 

[ แล้ว เรื่องนี้กลุ่มทหารฟรีรี่จะมีส่วนเกี่ยวข้องยังไง ? ] – เอลล์

 

เอลล์เข้าประเด็นหลักทันที เห็นได้ชัดว่าเธอได้เข้ามาดูแลกลุ่มทหารฟรีรี่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ถึงตอนนี้ ฮาโรลด์ก็ไม่รู้ว่าเอลล์หาเวลาไปติดต่อกับกลุ่มทหารตอนไหน ทั้งหมดที่ฮาโรลด์รู้คือ หลังจากที่เขากลับมาจากงานฉลองที่ตระกูลเบอร์ริออส เอลล์ก็ไปติดต่อกับกลุ่มทหารฟรีรี่เรียบร้อยไปแล้ว ซึ่งฮาโรลด์นึกภาพไม่ออกว่าเอลล์เล็ดรอดสายตาของยูสทัสไปได้ยังไง เมื่อพิจารณาเวลาและฐานที่ตั้งของกลุ่มทหารฟรีรี่แล้ว จากที่ฮาโรลด์คำนวน ไม่มีทางที่เอลล์จะไปทัน หากไม่เริ่มออกเดินทางตั้งแต่เช้าวันถัดจากที่พวกเขาไปเดทพร้อมกัน 3 คน

อย่างไรก็ตาม ฮาโรลด์ก็รู้ดีว่าเอลล์ไม่ได้ออกเดินทางไปไหนในเวลานั้น แสดงว่า เธอคงใช้พลังของตระกูลกิฟเฟลต์ในการจัดการปัญหานี้ แต่ถึงกระนั้น  ฮาโรลด์ก็ยังคิดว่า “ไอ้ตระกูลนี้มันจะเหนือความคาดหมายไปไหน”

 

[ ชายผมแดงที่ชื่อไลเนอร์ และผู้หญิงผมบลอนที่ชื่อคลอเล็ตจะต้องไล่ตามพวกเราหลังจากที่พวกเราขโมยดาบ ] – ฮาโรลด์

[ นั้นมันค่อนข้างเจาะจงนะ นายรู้จักคนพวกนั้นหรอ ? ] – เอลล์

[ ….. ประมาณนั้น ดังนั้นต่อจากนี้ เธอจะต้องสนับสนุน 2 คนนั้นในฐานะของฟรีรี่ ] – เอลล์

[ หรือก็คือ งานของกลุ่มฟรีรี่ไม่ได้ถูกจำกัดแค่ครั้งนี้ครั้งเดียวใช่มั้ย ? ] – เอลล์

[ ใช่ นอกจากนี้ มันยังเกี่ยวข้องกับความปรารถนาอันแสนยาวนานของตระกูลพวกเธอ ] – ฮาโรลด์

[ ….. เข้าใจแล้ว หากเป็นเช่นนั้นจริง ฉันจะอุทิศตัวเองทำงานอย่างเต็มที่ ] – เอลล์

[ ตามนั้น อ้อใช่ ถ้าเธอได้ไปติดต่อกับ 2 คนนั้น แล้วถูกถามเกี่ยวกับชั้น หรือว่าพวกเราต้องเผชิญหน้ากัน เธอต้องทำเป็นว่าไม่รู้จักชั้น ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับชั้น เข้าใจ ? ] – ฮาโรลด์

[ หืมม สถานการณ์ฟังดูซับซ้อนแหะ ฉันขอให้นายแอบเล่าให้ฟังได้มั้ย ? ] – เอลล์

[ อย่า ] – ฮาโรลด์

[ จ้าๆ ] – เอลล์

 

ยังมีประเด็นหน้าสงสัยอีกมากมายในเรื่องนี้ และเอลล์ก็ดูเหมือนสงสัยในหลายๆส่วน แต่สุดท้ายเธอก็ไม่ได้กดดันคาดคั้นเอาความจริงแต่อย่างใด บางทีเธออาจคิดว่าถึงคาดคั้นไป ก็คงไม่ได้คำตอบอยู่ดี แต่สำหรับฮาโรลด์ เขารู้สึกขอบคุณที่เอลล์ไม่คาดคั้นต่อ เพราะปากของเขาอาจจะออโต้หลุดข้อมูลออกไปเองโดยไม่ได้ตั้งใจหากอารมณ์เสีย

 

[ เดี่ยวนะ นั้นก็หมายความว่า พวกเราจะกลายเป็นศัตรูกัน ใช่มั้ย ? ] – เอลล์

[ ไม่เป็นไร ต่อให้เธอมัดรวมมากับเจ้าพวกนั้น ก็ทำอะไรชั้นไม่ได้หรอก ] – ฮาโรลด์

 

จริงๆก็ไม่ใช่แบบนั้น ตามเนื้อเรื่องของเกมส์ กลุ่มฟรีรี่ไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงของการต่อสู้กันระหว่างฮาโรลด์กับกลุ่มของไลเนอร์ ซึ่งตามปกติแล้ว ในเกมส์ คนที่ช่วยเหลือกลุ่มของไลเนอร์ส่วนใหญ่จะเป็นเอลล์ ที่ทำหน้าที่NPCคอยให้ข้อมูลเมื่อจำเป็น ทำให้ทีมของไลเนอร์ดำเนินเรื่องราวในเกมส์ไปในทิศทางที่ควรจะเป็น และในความเป็นจริง มันก็มีไม่กี่ฉากที่ต้องการพลังของกลุ่มทหารรับจ้างฟรีรี่ในการผ่านด่าน อย่างไรก็ตาม มีความเป็นไปได้ที่ฮาโรลด์จะถูกรุกฆาตหากกองทหารฟรีรี่ไม่ถูกก่อตั้งขึ้น ดังนั้นเขาจึงจำเป็นต้องเป็นคนก่อตั้งกลุ่มหทารฟรีรี่ด้วยตนเอง

อย่างไรก็ตาม กลุ่มทหารรับจ้างนี้ก็ถือว่าเป็นไพ่เด็ดของเขาเช่นกัน เนื่องจากกองทหารที่เขาสร้างขึ้นมามีพลังรบมากพอที่จะสามารถนำไปใช้งานได้หากเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน ดังนั้นแม้ว่าอาจจะเรื่องที่ฮาโรลด์กังวลเกินเหตุเกี่ยวกับกลุ่มฟรีรี่หากไม่ถูกก่อตั้งขึ้น แต่การก่อตั้งกลุ่มขึ้นมาก็ไม่ใช่เรื่องเสียเวลาหากคำนึงถึงเหตุฉุกเฉินที่อาจจะมาถึง

หลังจากนัดแนะ เวลาและสถานที่ที่พวกเขาจะต้องมาพบกันในครั้งถัดไป พวกเราก็แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตนเอง

และในวันรุ่งขึ้น ฮาโรลด์ก็ออกจากเมืองหลวงพร้อมกับ 2 ตุ๊กตา พวกเขาเดินทางโดยเรือเป็นเวลาครึ่งวัน จากนั้นก็นั่งรถม้าสาธารณะ จากนั้นก็เปลี่ยนไปนั่งรถม้าสาธารณะอีกสาย รวมระยะเวลาเดินทางทั้งสิ้น 3 วัน ในที่สุด พวกเขาก็เดินทางมาถึงเมืองที่อยู่ถัดจากหมู่บ้านบร๊อชที่เป็นหมู่บ้านที่ไลเนอร์อาศัยอยู่

โดยเขาจะปักหลักอยู่เมืองนี้เป็นระยะเวลา 1 คืนโดยอ้างว่าให้เหล่าตุ๊กตาฟื้นฟูความเหนื่อยล้าจากการเดินทาง และซื้อเวลาให้เอลล์และคนของเธอเดินทางมาสมทบ

ดังนั้นเมื่อมาถึงเมือง เขาจึงไปที่โรงแรม และจองห้องไว้ทั้งหมด 3 ห้อง ให้เพียงพอกับทุกคน

ถึงแม้ว่า ทั้ง 2 คนจะเป็นตุ๊กตา ไม่มีแม้กระทั้งชื่อ หรือแม้กระทั้งอารมณ์ความรู้สึก แต่พวกเขาทั้งคู่ก็เคยเป็นมนุษย์มาก่อน หากพวกเขาไม่ได้กินหรือนอน พวกเขาก็จะเหนื่อยล้าเช่นเดียวกับคนทั่วๆไป ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีฉากภายในเกมส์ที่ดูเหมือนว่าตุ๊กตาเหล่านี้สามารถฟื้นคืนอารมณ์และความรู้สึกได้ด้วย

พวกเขายังคงเป็นมนุษย์ แม้แต่ยูสทัสที่เป็นผู้สร้างพวกเขาขึ้นมายังบอกเอาไว้ว่าอารมณ์และความรู้สึกของตุ๊กตาเหล่านี้เพียงแค่ถูกกดเอาไว้เท่านั้น แม้ว่าจะไม่มีอะไรมากไปกว่าความหวังลมๆแล้งๆของฮาโรลด์ แต่ฮาโรลด์เชื่อว่า ถ้าหากพวกเขาสามารถรอดชีวิตไปได้จนจบเรื่องราว มันก็มีโอกาสที่จะทำให้พวกเขาสามารถกลับคืนสู่ตัวตนเดิมที่พวกเขาเคยเป็น ดังนั้นฮาโรลด์จึงไม่ได้มองว่าพวกเขาเหล่านี้เป็นเพียวตุ๊กตาหรือเครื่องมือแต่อย่างใด

บางที อาจจะเป็นเพียงความรู้สึกผิดของเขา เพราะคนเหล่านี้ถูกจับตัวมาทดลองในระหว่างที่เกิดการต่อสู้ขึ้นในป่าเบลติส บางที ถ้าเขาสามารถจัดการเรื่องราวในตอนนั้นได้ดีกว่านี้ คนเหล่านี้คงไม่ต้องตกมาอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้

แน่นอนว่าหากจะพูดแบบนั้น มันเป็นเพียงคำพูดที่ออกมาจากการใช้อารมณ์ เพราะหากคิดวิเคราะห์ดูดีๆ มันเป็นไปไม่ได้ที่จะบอกว่านี่คือความผิดของฮาโรลด์ เพราะคนที่ต้องรับชอบจริงๆ คือแฮร์ริสันและยูสทัส

ดังนั้นถ้าเขาโทษตัวเองว่าตนเป็นคนผิด เขาก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนผิดจริงๆ มันเป็นความรู้สึกที่เขาไม่สามารถสลัดมันออกไปได้จากภายในหัว

อย่างไรก็ตาม หากเขามัวแต่คิดถึงแต่เรื่องแบบนี้ คงไม่ต้องเป็นอันทำอะไรกันพอดี ดังนั้นตอนนี้ ฮาโรลด์จึงตั้งจุดยืนของตัวเองขึ้นมาเพื่อย้ำเตือนว่า 2 คนนี้เป็นมนุษย์ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ด้วยเหตุนี้ ฮาโรลด์จึงสั่งให้ทั้ง 2 เข้าไปในห้องของแต่ละคนก่อน และสั่งให้พักผ่อนเพื่อนฟื้นคืนความเหนื่อยล้าที่สะสมมาตลอดการเดินทาง เพราะถ้าเขาไม่ทำเช่นนั้น 2 คนนี้คงนั่งอยู่ในห้องเฉยๆ โดยไม่ทำอะไรจนถึงเช้า แม้ว่าพวกเขาจะทำตามคำสั่งอย่างเคร่งคัด แต่มันก็ค่อนข้างน่ารำราญที่เจ้าพวกนี้ไม่ทำอะไรเลยนอกจากที่ได้รับคำสั่งมา

ในขณะที่คิดว่าหากเจอเจ้าพวกนี้ในครั้งต่อไป จะสั่งพวกเขาว่าอย่างไรดีให้พวกเขาสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้โดยไม่ต้องสั่งอะไรเพิ่มเติม ฮาโรลด์ก็เดินชมภายในเมืองที่เขาได้มาเยือนเป็นครั้งแรก

ตอนนี้เขาอยู่ในชุดคลุมสีดำที่เขามักจะสวมเป็นปกติ แต่สิ่งที่แตกต่างอย่างเห็นได้ชัดคือดาบสองเล่มที่มักจะห้อยอยู่ที่เอวของเขาเป็นปกตินั้นตอนนี้กลับเหลือเพียงดาบคาตานะธรรมดาเพียงเล่มเดียว

นั้นเพราะถ้าหากเขาใช้อาวุธที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์เช่นเดียวกับไลเนอร์ ในภายหลังอาจมีคนจำเขาได้ว่าฮาโรลด์นั้นคือชายชุดดำ

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เขาไม่ได้สวมอยู่ในชุดสีดำที่เป็นเครื่องแบบที่พวกเขาทั้ง 3 คนได้รับมา นั้นเพราะหากพวกเขาเดินไปรอบๆเมืองพร้อมกับแต่งตัวแบบนั้น มันอาจจะสะดุดตาจนเกินไป และอาจถูกทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นคนน่าสงสัย และอาจมีคนจำพวกเขาได้ว่า ไอ้ 3คนนี้แหละที่ไปปล้นบ้านคนอื่นมา ดังนั้นฮาโรลด์จึงพยายามลดความเสี่ยงให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อลดโอกาสที่จะโดนคนอื่นไล่ตามนอกเสียจากไลเนอร์

อย่างไรก็ตาม จะให้เดินไปรอบๆเมืองโดยเปิดเผยใบหน้าจริงนั้นก็ทำให้เขากังวลอยู่ไม่น้อย นั้นเพราะด้วยชื่อเสียงที่แย่มากของเขาอาจมีคนจำเขาได้ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะกังวลไปเองเพราะสถานที่แห่งนี้เป็นเพียงเมืองในชนบทเท่านั้น และก็ไม่มีใครที่ชี้นิ้วมาทางเขาเลยสักคน ดูเหมือนว่ายิ่งห่างไกลจากเมืองหลวงเท่าใด เชื่อเสียงแย่ๆของฮาโรลด์ก็เป็นที่รู้จักน้อยลงเท่านั้น

ด้วยเหตุนี้ฮาโรลด์จึงสามารถออกไปเที่ยวชมเมืองได้ แต่จะพูดว่าไปเที่ยวชมเมืองก็ไม่ถูก มันไม่ได้มีอะไรน่าสนุกขนาดนั้น เขาเพียงกำลังตรวจสอบเพื่อหาสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับนัดพบกับเอลล์ และตรวจสอบเส้นทางหลบหนีหากเกิดเหตุฉุกเฉินจริงๆ

ระหว่างการเดินชมเมืองอยู่นั้น ฮาโรลด์ก็เกิดปิ้งไอเดียบางอย่าง ซึ่งเขาคิดว่าจะกลับไปถามเกี่ยวกับชื่อจริงๆของ 2 คนนั้นที่มาจากเผ่าสเตลล่า แต่ถ้ามันไม่ได้เรื่อง ฮาโรลด์ก็คิดว่าจะตั้งชื่อให้กับพวกเขาทั้ง 2 มันคงสะดวกกว่าหากใช้เรื่องนี้ในการสร้างความผูกพันธ์ระหว่างพวกเขากับฮาโรลด์ นั้นเพราะแม้ว่าเขาจะสูญเสียความสามารถในการพูด แต่พวกเขาก็ไม่ได้สูญเสียความสามารถในการคิดและหรือสติปัญญาแต่อย่างใด พวกเขาคงยังสามารถสื่อสารด้วยการเขียนได้ เว้นแต่พวกเขาจะถูกลบความทรงจำออกไปด้วย

แม้เขาจะรู้สึกภูมิใจที่ตัวเองก็มีความคิดดีๆเป็นเหมือนกัน แต่หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ตระหนักได้ว่าเรื่องที่เขาคิดนั้นมันธรรมดาขนาดไหน เนื่องจากเขาต้องใช้เวลาตั้งหลายวันกว่าจะคิดเรื่องนี้ออก ถ้าเป็นเอลล์หรือยูสตัสตกอยู่สถานการณ์เช่นเดียวกันกับเขาคงคิดเรื่องนี้ได้ทันทีที่ได้รับการอธิบายเกี่ยวกับตุ๊กตาที่ถูกสร้างจากเผ่าสเตลล่า

และทุกๆครั้งที่เขานึกถึงเรื่องทำนองนี้ มันทำให้เขารู้ตัวดีว่าตนเองนั้นห่างชั้นจากทั้งเอลล์และยูสทัสขนาดไหน แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังคงเชื่อว่าไอเดียที่เขาคิดขึ้นมาได้ต้องสามารถใช้การได้อย่างแน่นอน

My Death Flags Show No Sign of Ending

My Death Flags Show No Sign of Ending

Status: Ongoing
เมื่อรู้สึกตัวอีกที เด็กหนุ่มมหาลัยธรรมดาๆอย่าง ฮิราซาวะ คาซุกิ ก็ดันมาอยู่ในร่างของตัวละครในเกมส์ ยิ่งกว่านั้น เขาดันมาอยู่ในร่างของ ” ฮาโรลด์ สโตร์ก” สุดยอดตัวร้ายที่มีคนเกลียดมากที่สุดในเกมส์ เจ้าของฉายา [ ราชาสวะ ] สำหรับเขาตอนนี้ มองไปทางไหนก็เจอแต่ธงตายอยู่รายล้อมเต็มไปหมด! คาซูกิจะหาทางหลบเลี่ยงธงตายเหล่านั้นได้หรือไม่

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท