15 ทัศนศึกษา
*จิบจิ่วจิ้บ*
ผมนอนอยู่ในห้องนอนรวม
ผมหันไปมองวีกับวิว พวกเธอยังไม่ตื่นกัน
พี่วาเนสซ่าเข้ามา
“เอ้าตื่นกันได้แล้ว! เราจะไปดูตลาดตอนเช้ากัน”
ผมลุกไปปลุกวีกับวิว วีลืมตาเอื้อมมือมาแล้วชะงักไป ดีแล้วที่เธอเริ่มห้ามใจได้แล้ว ผมลูบหัวเธอ วิวดีดขึ้นจากเตียง
เราเดินไปรวมกันหน้าพี่วาเนสซ่า
“ตามมา”
เราเดินกันออกห้องนอนไปห้องรวมหน้าประตูที่มีพี่โดโรเธียรอเราอยู่ พี่โดโรเธียเริ่มพูด
“เราจะเดินไปดูงานเช้าของตลาดกันแล้วค่อยกลับมากินข้าว มา ตามมา”
“ว้าวตลาด”
เด็กสาวจุ๊จุ๊พูดขึ้นมา เหล่าเด็กๆมองหน้ากัน ยิ้มร่า
เราพากันเดินเป็นกลุ่มกันออกมาหน้าบ้านแล้วออกถนนไปตามทางเรื่อยๆ
มีคนแปลกหน้าเหน็บดาบอยู่เป็นกลุ่มข้างทางใกล้หน้าบ้านเราพวกเขามองเราโดยไม่ละสายตาแล้วซุบซิบกัน ผมสงสัยว่าพวกเขามาจากไหน แต่ไม่มีใครเอะใจอะไรเราก็เลยเดินทางต่อกันมาเรื่อยๆจนถึงถนนใหญ่
“มองซ้ายขวาก่อนข้ามถนน”
เด็กๆมองซ้ายมองขวาแล้วเดินตามพี่โดโรเธียไป แต่ลางสังหรณ์ของผมลั่นเหมือนกำลังเตือน แต่ผมเมินมัน
มีคนเยอะกำลังเข็นของไปวางตามร้านแผง มันขนเสร็จแล้ว เติมเข้าร้านห้องแถว แม้จะเช้าแล้วคนก็ยังพลุกพล่าน พวกเขาน่าจะมากันตั้งแต่เช้าตรู่
“นี่คืองานคนของกับเปิดร้าน มันเป็นงานเสริมได้ทำแค่ช่วงเช้า ถ้าเธอตื่นเร็วเธอมาทำเอาเงินติดกระเป๋าได้”
“““ครับ”””“““ค่ะ”””
ผมมองพวกเขาเข็นของ มีทั้งผู้ชายและผู้หญิง ร่างกายดูแข็งแรง พอถึงร้านเขาก็ยกของเข้าไปวางหรือวางตามแผงข้างหน้า
“เขาจะรับคนกันตอนเช้าแล้วทำสัญญา เธอจะเข็นของจากตรงแถวนี้เข้าไปเปิดร้าน ถ้าเธอจะทำ เธอต้องตื่นตอนเช้ามืด”
เราดูต่อสักพักใหญ่
“มา กลับบ้าน”
เราพากันกลับบ้านเด็กกำพร้า กลุ่มที่เราเห็นก่อนหน้าหายไปแล้ว
เมื่อมาถึงบ้านเราออกกำลังกายรอบเตียงกันแบบรีบๆแล้วพากันอาบน้ำ
แล้วพากันไปกินข้าวมันเป็นขนมจีบซาลาเปามีน้ำจิ้มเปรี้ยวๆเค็มๆ เรากินมันกันกับข้าว ผมชอบมันค่อนข้างมาก วิวกินเป็นถาด วีก็ดูชอบมันด้วย เด็กคนอื่นๆกินกันอย่างเอร็ดอร่อย
เด็กๆทุกคนพร้อมกันอยู่ที่ห้องรวม จากนั้นเราเดินขบวนออกประตูโดยมีพี่โดโรเธียนำ
จากนั้นเราเจอบารอนจางกำลังถือช่อดอกไม้สีแดงคล้ายกุหลาบอยู่ข้างหน้า
“ว่าไงวาเนสซ่า”
บารอนจางไม่ทักทายใครเลย พูดถึงพี่วาเนสซ่าคนเดียว เขาแต่งตัวแสดงถึงความมั่งคั่งอย่างเต็มที่วันนี้ เสื้อเป็นเสื้อขุนนางซ้อนทับกันสามชั้น การเกงดำรัดทรงแม้ว่ามันยังคงหลวมเพราะขาเขาเล็ก ผมลงแว็กซ์หรืออะไรประมาณนั้น? พาทั้งหัววิ่งไปข้างหลังทางเดียวกันหมดแบบเงาสะท้อนแสง
กลิ่นน้ำหอมลอยฉุนจมูกแม้ผมอยู่ด้านหลัง วีหน้ายู่กระแทกลมหายใจออกมาหลายครั้ง วีเอานิ้วอุดจมูก อยากหอมนั้นไม่ผิดแต่มันมากเกินไปเยอะๆเหมือนใช้ไม่เป็น มันเหม็น
“วาเนสซ่า ฮ่าฮ่าฮ่า ฟังนี่สิ ฉันเพิ่งได้เป็นวิสเคานต์เมื่อสามวันก่อนนี้เอง ฉันฉลองที่บ้าน และวันนี้ ฉัน”
เขาเว้นระยะสักพัก หน้าแดงเขิน
“ฉันจะพาเธอไปเดท ว่าเนสซ่า เราจะไปกินร้านหรูที่สุดของศิโรกัน”
จากนั้นเขานำช่อดอกไม้ยื่นมาข้างหน้าให้พี่วาเนสซ่า
พี่วาเนสซ่าทำหน้ายู่และอึดอัด คิ้วขมวด เธอดูไม่อยากไปอย่างมาก
“ดิฉันไปไม่ได้หรอกค่ะ วันนี้ต้องพาเด็กๆไปทัศนศึกษา”
จากนั้นบารอนจาง ไม่สิ เขาเป็นวิสเคานต์แล้ว จากนั้นวิสเคานต์จางลดดอกไม้ลง เอียงหัว
“กับเด็กกระจอกไร้พ่อแม่อย่างนี้น่ะนะ”
“ใช่ค่ะ หนูไปกับเด็กไร้โชคเหล่านี้ดีกว่า”
สถานการณ์มันเริ่มอันตรายขึ้น
“ดีกว่าอะไร”
บารอนจางเริ่มหน้าโกรธหนัก
“ดีกว่าอะไรวาเนสซ่า ดีกว่าฉัน? วิสเคานต์ลูกน้องเป็นร้อยๆเนี่ยนะ แค่ฉันสั่งคำเดียว ที่นี่โดนถล่มเป็นบ้านร้างได้ง่ายๆ”
“บารอนจางคะ”
“วิสเคานต์จาง!”
พี่โดโรเธียยื่นมือเข้ามา แต่มันก็ดูไม่ดีขึ้น
“วิสเคานต์คะ โอกาสมันแค่ไม่พอดีเท่านั้น วันนี้เราจะไม่อยู่กันทั้งบ้าน วาเนสซ่าไม่ได้รังเกียจท่านขนาดนั้นหรอกนะคะ มันแค่ผิดเวลา”
“จึ”
พี่วาเนสซ่าจึปาก บารอนจางดูเหมือนจะได้ยิน เขาเริ่มพึมพำเงียบๆ
“อีนี่ เล่นตัวฉิบหาย”
ลูกน้องเขาเริ่มเดินมา
“อย่างน้อยรับดอกไม้ฉัน แล้วฉันจะมาวันหลัง”
พี่วาเนสซ่ายังคงนิ่ง ไม่ตอบรับ
ลูกน้องบารอนจางเข้ามาใกล้ขึ้น ผมเดินไปข้างหน้าพวกเด็กๆ วีกับวิวก็มาด้วยและหมายเลขหกมนุษย์เพศชาย, หมายเลขเจ็ด สต้าร์คเพศหญิง, และหมายเลขเก้า เอิ้กเอิ้กเพศชายก็มาด้วย ผมไม่คิดว่าพวกเขาจะมากัน คู่ต่อสู้เป็นผู้ใหญ่มีดาบ
แม้เราสู้เป็นการสู้กับคนตัวใหญ่กว่าซ้ำร้ายยังถือดาบอีกนั้นอันตรายอย่างมาก จริงๆแล้วเราควรอยู่นิ่งๆข้างหลัง แต่ผมทำอย่างนั้นไม่ได้ คนที่โดนรุกรานทางใจและใช้กายขู่คือคนรู้จักของผม หนักกว่านั้นเหล่าพี่เลี้ยงมีกันแต่ผู้หญิง ถ้าไม่มีใครทำอะไร เราไม่มีน้ำหนักไปเป็นคานงัดในการเจรจาว่า ‘เราก็มีกำลังสู้’
แต่เมื่อวิสเคานต์จางเห็นเราเดินขึ้นมาปกป้องเขาทำแค่หัวเราะใส่แล้วมองข้ามเราอย่างสมบูรณ์ ลูกน้องเขายิ้มๆ มือจับดาบ
“โดโรเธีย สั่งวาเนสซ่า ฉันให้ 10 ทอง”
“ฉันไม่เอาเงินจากคุณหรอกค่ะ แต่เพื่อเด็กๆ ฉันจะคุยกับเธอให้”
พี่โดโรเธียหันหาพี่วาเนสซ่า แต่ก่อนพูดเธอหันไปพูดกับวิสเคานต์จาง
“แต่อย่าเข้าใจผิด มันไม่ใช่เพื่อคุณ”
“เออ อะไรก็ช่าง ให้ไวเหอะ”
พี่โดโรเธียถอนหายใจ ผมบอกวีกับวิว
“เท้าประจำตำแหน่ง ยังไม่ยกแขน”
พวกเธอวางเท้าตำแหน่งสู้พร้อมในพริบตา รวมถึงตัวผมเองด้วย หมายเลข หก, เจ็ด, และเก้ายังคงยืนธรรมดา
“วาเนสซ่า รับๆไปก่อน ค่อยเอาไปไว้ไหนก็ได้ จะได้ไม่มีปัญหา เด็กๆอยู่เยอะ เดี๋ยวมันเป็นเรื่องใหญ่โตไป แล้ว แล้วบางทีเราอาจเจ็บตัว รับเถอะนะ พี่ขอ”
พี่วาเนสซ่าไม่พูดอะไร กัดฟันจากนั้นเดินไปตบดอกไม้ออกจากมือวิสเคานต์จาง
“เอิ่ม วันไหนว่างจ้ะ”
“ไม่มี”
จากนั้นพี่วาเนสซ่าเดินกลับเข้ามาในกลุ่มเรา เรารอดูปฏิกิริยาตอบสนองจากวิสเคานต์จาง เด็กๆดูกลัว พี่อลิสพูด ‘ทำไงดีล่ะเนี่ย’ เบาๆคนเดียว
เขาทำอะไรไม่ถูกสักพัก หน้าตาดูโมโหเอาเป็นเอาตาย เขาหันกลับอย่างฉุนเฉียวเดินผ่านลูกน้องไป
ลูกน้องเขาที่หุ่นน่าจะมีกล้ามคนอยู่หน้า น่าจะเป็นหัวหน้าเหล่าลูกน้อง ผู้มีแผลเป็นแนวนอนใต้ตาซ้ายมองผมยิ้มมุมปากจากนั้นเดินตามวิสเคานต์จางไป
พี่วาเนสซ่าเอาดอกไม้ไปวางข้างๆหน้าประตูบ้าน
“ฟู่ว”
ผมถอนหายใจโล่งใจ แต่ก่อนหน้าวิสเคานต์จางจะพ้นประตูหน้าไป
“จำไว้เลย”
เขาหันมาช้าๆ ชี้หน้าพี่วาเนสซ่า
“แก และที่นี่ จะกลายเป็นซากถ้าเลือกผิด”
จากนั้นเขาเดินไป
เด็กๆมองหน้ากัน ผู้ใหญ่มองหน้ากัน เมื่อผ่านไปสักพักหนึ่ง
“อืม ป่ะ ไปทัศนศึกษากัน”
พี่โดโรเธียพูดเบาๆ
จริงๆแล้วมันดีที่ความแค้นเขาชัดเจนขึ้น ความเป็นไปได้ว่าเขาจะสร้างอันตรายนั้นจะกลายเป็นเห็นชัด ที่เราต้องทำคือการเตรียมพร้อม แต่เด็กๆจะทำอย่างไร ผมยังไม่มีความคิดจะเปลี่ยนพวกเขาให้เป็นนักสู้ แต่เมื่อเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น
บางทีเราไม่มีทางเลือกนอกจากสู้
จากนั้นเราพากันเดินไปที่ตลาดอีกครั้ง
“โห”
“ว้าว”
“คนเยอะจังเลย ของก็เต็มไปหมดเลย”
พวกเด็กๆตื่นเต้นกัน นาดูเฉยๆ แม้เพิ่งเกิดเหตุการณ์มา เมื่อเด็กเจอสิ่งกระตุ้นใหม่ๆพวกเขาก็ลืมเรื่องที่ทำให้กลัวและเรื่องที่ทำให้เศร้า
“เราจะไปดูพ่อค้าแม่ค่า ถ้าเธอไม่ได้ทำงานให้ใคร เธอก็ไปหาของราคาถูกแล้วมาขายแพงขึ้นเอากำไร คนจะเยอะตอนเช้าเพราะเขามาซื้อของไปทำกับข้าวเช้า”
พี่วาเนสซ่าบอก
เราเดินดูตามร้านแผงแล้วเข้าไปดูร้านดาบ
“ส่วนนี่ก็เป็นลูกจ้างตามร้านห้องแถว”
เธอไม่ได้คุยกับเจ้าของร้านดาบแล้วเข้าร้านหนังสือผมคำนับเจ้าของร้าน เจ้าของร้านพยักหน้าแล้วคำนับให้พี่โดโรเธีย
“และนี่ก็ร้านหนังสือ”
พี่โดโรเธียหันมาหาเรา
“ถ้าเธอไม่รู้ว่าอยากทำอะไร หรืองานไหนเป็นแบบไหน ทำงาน แล้วเมื่อมีเงิน ซื้อหนังสือหาความรู้ จากนั้นโลกเธอจะเปิดกว้าง แล้วโอกาสเปลี่ยนแปลงก็จะมาถึง”
เด็กๆพยักหน้าตอบ
เหล่าพี่เลี้ยงพากันออกนอกร้าน แล้วเราเดินต่อมาร้านเสื้อผ้า
“และนี่คืองานตัดเย็บเสื้อผ้า ขอพาเด็กๆมาดูหน่อยนะคะ”
“ได้เลยค่า”
เจ้าของร้านตอบกลับมา เด็กๆรีบไปดูเสื้อผ้ากันจับเสื้อจับกางเกง
ผมเดินไปทักทายเจ้าของร้าน
“ถ้าวันหนึ่งเธอมีเงิน เธอซื้อเสื้อผ้าดีๆกันได้ เมื่ออายุถึงแล้วก็ตั้งใจทำงานกันล่ะ”
“““ครับ””” “““ค่ะ”””
เมื่อดูไปสักพักก็พากันไปดูพี่เจ้าของร้านตัดเสื้อผ้าเย็บเสื้อผ้า หมายเลขสี่ เอลฟ์ขาวดูสนใจ
พี่เจ้าของร้านให้หมายเลขสี่เย็บผ้าสองผืนเล็กๆเข้าหากัน เขาทำไปฟังการสอนไป ระหว่างเขากำลังทำ ผมเดินไปหาเขา
“สนใจเหรอ หมายเลขสี่?”
“อืม มันแปลกดี ดูสิ จากผ้าสองผืนมาเป็นผืนเดียวมันทำให้ผ้าใหญ่ขึ้น ถ้าทำต่อไปเรื่อยๆ มันปิดได้ทั้งตัวเลย”
“มันเป็นงานสร้างสรรค์ที่ดี”
ผมยิ้มเล็กๆให้เขา เขายิ้มมุมปากกลับมา จากนั้นเจ้าของร้านเสื้อผ้าเอาผ้ากำหนึ่งกับอุปกรณ์เย็บใส่ถุงแล้วยื่นให้เขา
“ขอบคุณครับ”
เขาตอบและพี่อลิสเรียก
“อ่ะ ไปกัน”
เราพากันออกมา ดูร้านขายของชำ, ร้านข้าว, และร้านค้าอื่นๆทั่วตลาด แล้วเราก็มาถึงร้านพี่ช่างเหล็ก พี่อูลเค็น
เด็กดวอร์ฟหมายเลยสิบเอ็ดเดินแซงเหล่าพี่เลี้ยงไป
“ระ–รับลูกศิษย์ไหมครับ”
ผมคำนับพี่อูลเค็น พี่อูลเค็นพยักหน้าให้ผมแล้วมองเด็กดวอร์ฟหัวจรดเท้า”
“เอ็งเนี่ยนะ มีแรงเหรอ? ทำอะไรเป็น?”
“ผมเหวี่ยงค้อนเป็น”
จากนั้นพี่อูลเค็นเดินไปหยีบที่คีบเหล็กด้ามยาว จากนั้นมองเหมือนหาอะไรสักอย่าง เขาเดินไปหยิบแร่เหล็กก้อนเต็มมือมาก้อนหนึ่ง ถือมามือเดียวแล้ววางบนโต๊ะ
*ตึ่ง*
“อ่ะ คีบนี่ แล้วก็”
จากนั้นเขาหยิบเบ้าหลอมไปวางหน้าทั่งเหล็กหน้าไฟ
“คีบมาใส่นี่ แล้วคีบทั้งสองอย่างใส่ไฟ”
เด็กดวอร์ฟกลืนน้ำลาย
เขามองที่คีบด้ามยาวสักพัก หายใจลึกๆแล้วหยิบมันขึ้น ง้างออกแล้วเดินเข้าไปหาแร่เหล็ก คีบหลุดสองสามครั้ง จนสุดท้ายคีบได้แน่นอย่างยากลำบาก แต่
“ฮึบ ฮึบ ฮื้บบบบ”
เขายกไม่ขึ้น
เขาวางคีม เช็ดมือกับเสื้อตัวเองสะบัดแขนแล้วเอียงคอซ้ายขวา หายใจลึกๆแล้วคีบใหม่ แร่เหล็กดิบลอยขึ้น เขาค่อยๆเดินเป็นคลานไปหาเบ้าหลอม พี่อูลเค็นมาหาผม
“นิสัยเขาเป็นยังไง”
“เอิ่ม เขาดื้อ แต่”
ผมคิดถึงข้อดีเขา แม้เขาจะไม่ได้ทำตัวดีกับผมมากมาย แต่เขาเป็นเด็กที่มีไฟรักอะไรสักอย่าง
“เขารักงานนี้ ถ้าเขาได้เป็น เขาจะมีไฟทำไม่หยุด ไม่ทิ้งงาน และบวกกับความภาคภูมิใจในตัวเขาสูง เมื่อเขาภูมิใจตัวเองสูง มันก็น่ามีผลกระทบกับงานที่เขาทำ เขาจะทำงานที่ตัวเองภูมิใจ ผมว่า”
“โฮ่ อย่างนั้นเหรอ ว่าแต่ ถ้าเป็นนาย นายยกได้ง่ายๆใช่มั้ย?”
“ไม่รู้สิครับ แต่ผมก็มั่นใจในแรงผมอยู่”
“ฮ่าฮ่าฮ่า แน่นอน”
เด็กดวอร์ฟเสียสมาธิหันมาฟังเสียงหัวเราะ เมื่อเขาเห็นพี่อูลเค็นอยู่กับผมเขาเปิดตากว้างเล็กน้อยและเขาหยุด
*แก๊ง*
แร่เหล็กดิบหล่นลงพื้น
“ยังไม่ผ่าน ถ้าเป็นเบ้าหลอมตอนเหล็กหลอมแล้วเอ็งบอกลาขาเอ็งได้เลย ไปหัดมาใหม่”
“มันหนักเกินไป นี่มันไม่ยุติธรรม!”
เด็กดวอร์ฟตัดพ้อ
“นี่เรอะที่ว่าภาคภูมิใจในตัวเอง อืม แบบนี้นี่เอง”
พี่อูลเค็นมองดูผมหัวจรดเท้าแล้วจากนั้นมองวีหัวจรดเท้า
“ฉันจะให้เอ็งเห็น เด็กสาวยังทำได้เลย วารียืมเพื่อนหน่อยนะ”
“แล้วแต่เธอเลยครับพี่”
พี่อูลเค็นเดินไปหน้าวี
“หนูๆ พี่วานคีบเหล็กแบบที่พี่จะให้เขาทำหน่อยได้ไหม ช่วยพิสูจน์ให้เขาเห็น”
วีมองผม ผมพยักหน้า จากนั้นวีมองวิว วิวพยักหน้า วีเดินไปแบมือหน้าเด็กดวอร์ฟ
“ไม่มีทางหรอก เธอเนี่ยนะ หนักจะตาย”
เขาบ่นไปยื่นที่คีบด้ามยาวไป วีง้างที่คีบ
“ฟู่ว”
*เก๊ง กึก ตุ้บ*
วีหนีบยกอย่างง่ายๆ วางง่ายๆ หนีบเบ้าไปวางในไฟง่ายๆ
“เห็นรึยัง เอ็งน่ะ ไม่ใช่ว่ามันหนัก เอ็งไม่ได้ใส่ใจหาความแข็งแรงที่งานนี้มันต้องใช้”
เขาจับมือเด็กดวอร์ฟมาหาผม เด็กดวอร์ฟน่าจะสัมผัสได้ว่ามือเขาด้านแค่ไหน จากนั้นเขาพาเด็กดวอร์ฟมาหน้าผม
เด็กดวอร์ฟเหงื่อตก
พี่อูลเค็นมาตีไหล่ผมเบาๆสองครั้ง
“เมื่อไม่มี ก็ต้องหา คนนี้เขามี เอ็งต้องเข้าหาเขา ถามแล้วฝึก เอ็งมีเวลา วารี ฝากเจ้านี่หน่อย เท่าที่นายว่ามาฉันสนใจเขา”
“เอ๋”
“เอ๋”
ผมและเด็กดวอร์ฟพูดร้อมกัน
“เอิ่ม ได้ครับ มั้งนะ? แล้วแต่สุดท้ายเขาแหละ”
“ตอบครึ่งๆกลางๆนั่นมันอะไรกัน คนนี้ไม่ไหวมั้งลุง”
เด็กดวอร์ฟว่าผม
“เอ๊ะ เอ็งอยากจะทำหรือไม่อยากจะทำกันแน่ คิดดีๆ”
เด็กดวอร์ฟฟังแล้วหน้าตาดูตกใจ เขามองผมแสดงความไม่อยากอยู่ใกล้ จากนั้นมองทั่งแล้วเขาก้มหน้าคิด
“คิดดีๆ”
พี่อูลเค็นตีไหล่เด็กดวอร์ฟเบาๆสองครั้ง
“ไปกัน มาๆ”
พี่โดโรเธียมาเรียกพวกเรา
เราเดินดูให้ครบทุกร้าน แต่ร้านที่อยู่หลังๆตลาดส่วนใหญ่ซ้ำกับด้านหน้า ผมเคยซื้ออาหารพวกเขาชิมเพื่อเทียบความอร่อยมันเทียบกันกับด้านหน้าไม่ได้เป็นบางร้าน
แต่จริงๆไม่ได้ขึ้นอยู่กับคุณภาพ พวกเขาเพียงแค่มาเปิดสายกว่า
พี่โดโรเธียเรียกเรารวมหลังตลาด
“ตอนี้เราจะไปแหล่งโรงงาน คอยดูเพื่อนข้างๆไว้แล้วเดินไปพร้อมๆกันจะได้ไม่หลง”
เราพากันเดินมาสักพักก็ถึงโรงงานต่างๆ ผมไม่เคยมาแถวนี้เลย มันมีโรงงานไม้, โรงงานยา, โรงงานตุ๊กตา เราเยี่ยมชมแต่ละโรงงาน พักกินขนมจีบซาลาเปา แล้วเยี่ยมชมต่อจนเป็นประมาณบ่าย
จากนั้นเรารวมพลกันอีกครั้ง
“เราจะไปลองหาของป่ากัน มา ฉันจะพาไปสมาคม”
เราเดินต่อไปสักพักก็มาถึงสมาคม ด้านหน้ามีรถเกวียนไม่มีหลังคาอยู่สองคัน รถม้ามีหลังคาคันหนึ่ง แต่ละคันมีม้าสองตัว โอ้ นั่นนกฟาเนิค
มันคล้ายกับนกกระจอกเทศแต่ตัวใหญ่กว่าและหัวโตกว่าจะงอยปากมันใหญ่ ตัวที่เห็นนี้สีน้ำตาลมีลายขาวที่นั่นที่นี่ มันน่ารักแต่มีความเท่และน่าเกรงขามอยู่ในตัวมันเอง
แล้วพี่พี่วาเนสซ่าก็พูดขึ้นมา
“เอาล่ะ เห็นว่าต้องเดินทางไปกลับสองชั่วโมง และมันเริ่มบ่ายแล้ว คนที่อยากเรียนรู้งานจะลองงานนี้ได้อย่างเดียวแล้วรอพวกพี่มารับ เราจะไปนาไปสวนกันหลังจากนี้ ดังนั้นใครอยากลองหาของป่าตัดสินใจไว้ก่อน ฉันจะให้พวกเธอยกมือเมื่อฟังคำอธิบายเสร็จแล้ว”
เราเดินเข้าไปอาคารไม้ มีโต๊ะสี่เหลี่ยมยาวพร้อมร้านอาหารขายพร้อมน้ำเล็กๆ มีคนนั่งกินอาหารอยู่ประมาณหนึ่ง หรือบางคนก็นั่งคุยกัน
“หืม เด็กเหรอ?”
ลุงหลังโต๊ะต้อนรับเลิกคิ้วข้างหนึ่งดูสงสัย พี่โดโรเธียเดินไปคุย
“เอิ่มคุณคะ ดิฉันพากันมาจากบ้านเด็กกำพร้าหลังที่ 4-”
“ที่นี่ไม่บริจากครับ ขอโทษ-”
“ว้าย เราไม่ได้มาเพราะเรื่องนั้นค่ะ อย่าเข้าใจผิด เราพาเด็กๆมาทัศนศึกษาว่าแต่ละงานเป็นอย่างไร ถ้าไม่หนักหนาอะไร ช่วยอธิบายให้เด็กๆรู้จักงานนี้ได้ไหม แล้วถ้าเป็นไปได้ พาเขาไปทำ ดิฉันในฐานะผู้บริหารบ้านไม่มีอะไรตอบแทน แต่เราจะซาบซึ้งใจมากที่เด็กๆจะได้เหลียวเห็นงานในอนาคตตัวเองก่อนตัดสินใจเลือกงาน ได้โปรดเถอะนะคะ”
“เอิ่ม ฉันต้องรับหน้าที่ตรงนี้ ดังนั้นฉันพาไปป่าไม่ได้หรอก แต่ฉันจะหาคนกับพรานอยากออกรอบสองให้นะ”
เขาเดินอ้อมโต๊ะกั้นมาข้างหน้าจากนั้นเริ่มพูด
“เมื่อเธอทำงานนี้ ฉันจะพาพวกเธอขึ้นรถเกวียนข้างหน้าไปกับพราน พรานจะไม่ถืออะไรนอกจากดาบ ที่ต้องมีพรานเพราะเอาไว้กันหลงทางและกันสัตว์ป่าอันตราย แต่ที่เราจะไปเป็นป่าสงวนไว้แค่หาของป่า ดังนั้นมันปลอดภัย”
เขามองเราทั้งหมดแล้วเกาหัว
“จากนั้นเมื่อเธอเก็บกันเสร็จ เราจะรับซื้อ เธอตัดสินใจได้ว่าจะจ่าย 1 เงินหรือแบ่งรายได้ โดยเราจะเก็บ 10 เปอร์เซ็นต์ เอิ่ม นั่นทั้งหมด ไม่มีอะไรแล้ว”
“เอาล่ะใครจะไปมั่ง”
เด็กมนุษย์หมายเลขหกยกมือถาม
“พรานจะนำเราหาเหรอครับ พี่โดโรเธีย”
พี่โดโรเธียหันไปมองพนักงานต้อนรับ
“อืม ใช่ เธอจะไม่หลง”
เขาพูดอย่างนั้นแล้วพี่โดโรเธียหันมาถาม
“อืมแบบนั้นแหละใครอยากไปมั่ง”
หมายเลขสี่ เอลฟ์ขาวยกมืออย่างรวดเร็ว เด็กมนุษย์หมายเลขหกลังเลสักพักแล้วก็ยกมือขึ้นด้วย
พนักงานต้อนรับพยักหน้า
“ให้พาเด็กไปเลยมั้ยครับคุณ”
“ไปเลยค่ะ เชิญๆ”
เขาเดินไปหาโต๊ะสี่เหลี่ยมยาวซึ่งมีคนอยู่จำนวนหนึ่ง
“พวกนาย เด็กๆอยากดูงาน ใครจะไปรอบสองมาช่วยหน่อย ไม่ต้องเก็บของที่นั่น”
พวกเขามองหน้ากันจากนั้นมีสองคนลุกขึ้น จากนั้นพนักงานต้อนรับนำคนทั้งหมดไปด้านหน้า
เรากวาดตามองภายในสมาคมกันจากนั้นเปิดประตูออกไป
วันที่ยาวนานนี้ยังไมจบ