ตอนที่ 170 – การแก้แค้นของสกุลหวัง
ในห้องนั่งเล่นอันมืดมิด ลู่หยวนนั่งบนโซฟารอคอยการสนับสนุนของเพื่อนร่วมทีม เขาอยากเอาตัวเหล่าฉินไปด้วยกระบวนการปกติ
หลายสิบนาทีให้หลัง มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นนอกประตู ลู่หยวนเปิดประตูก็เห็นว่าถึงกับเป็นบอสเจิ้งหย่วนตงมาด้วยตัวเอง “บอสครับ ท่านมาได้ไง”
เจิ้งหย่วนตงมองเหล่าฉินที่ยังสลบอยู่บนพื้น “จับได้คาหนังคาเขา?”
“อืม” ลู่หยวนจิตใจหดหู่อยู่บ้าง “บอสครับ ตอนที่ผมเพิ่งจะเข้าวงการ มีครั้งหนึ่งแก้คดีที่นองเลือดเป็นพิเศษ เหล่าฉินกำลังชันสูตรศพอยู่ข้างใน ผมก็อ้วกอยู่นอกห้องชันสูตร ภายหลังเขาเทน้ำร้อนให้ผม คุยกับผมว่าตอนที่เขาเพิ่งเข้าวงการ อันที่จริงก็เป็นอย่างผมเลย”
ลู่หยวนกล่าวต่อว่า “เขาพูดว่า พวกเราวงการนี้ถึงจะลำบากนิดเหนื่อยหน่อย เงินเดือนก็ต่ำ แต่ในเมื่อเลือกแล้วก็อย่าไปคิดมากขนาดนั้น”
พูดตามตรง ครั้งนี้ที่เขาไล่สืบแหล่งที่มาการรั่วไหล คิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าจะไล่สืบมาถึงตัวเหล่าฉิน
เจิ้งหย่วนตงมองเขาแวบหนึ่ง “เหล่าฉินฝ่าฝืนกฎหมาย ย่อมต้องได้รับโทษตามกฎหมาย แต่คุณกับผมล้วนสามารถเข้าใจได้ว่าคนคนหนึ่งตอนที่เผชิญหน้ากับความเป็นความตายล้วนจะหวาดกลัว ผมไม่โทษเขา คุณก็ไม่ต้องโทษเขา”
ลู่หยวนกล่าวว่า “ลูกสาวของเหล่าฉินยังเรียนอยู่เลย คราวนี้ลูกของเขาก็จะได้รับผลกระทบด้วยปะครับ”
บนโลกนี้ไม่มีใครที่สามารถเป็นดั่งเครื่องจักร ทุกคนล้วนเป็นคนที่มีเลือดมีเนื้อ
แล้วก็จะคุยเรื่องจุดบกพร่องของหัวหน้าครอบครัว แล้วก็จะหัวเราะและสาบส่ง
คนที่มีอุดมคติในจิตใจแรงกล้าอย่างเจิ้งหย่วนตงยังดื่มเหล้ารำลึกวันวานกับเหล่าสหายร่วมรบที่แผงลอยปิ้งย่างข้างถนน
เสี่ยวอิงที่กล้าเสี่ยงชีวิตก็จะคิดถึงความงดงามของการถูกเศรษฐินีเลี้ยงดูเป็นครั้งคราว
ทุก ๆ คนล้วนมีป้ายกำกับของตัวเอง แต่เบื้องหลังป้ายกำกับล้วนเป็นมนุษย์ร้อยพ่อพันแม่
เจิ้งหย่วนตงกล่าวว่า “คุณส่งข้อความแจ้งให้ทุกคนกรอกแบบฟอร์ม คนที่ในบ้านมีผู้ป่วยหนัก คนที่ครอบครัวมีประวัติโรคทางพันธุกรรม ถ้าโลกภายในมียาหรือยาแปลงพันธุกรรมที่สอดคล้อง พวกเราจะคิดหาหนทางเอามาให้พวกเขา”
ลู่หยวนตะลึงงัน “บอสครับ ยาเฉพาะทางกับยาที่ซ่อมแซมยีนพันธุกรรมที่โลกภายในก็ไม่ถูกนะครับ”
ในห้องนั่งเล่น เจิ้งหย่วนตงมองดูเหล่าฉินที่ยังคงสลบไสลเงียบ ๆ จากนั้นตบไหล่ของลู่หยวน “ไม่เป็นไร ผมจะคิดหาหนทาง”
“จริงสิครับบอส” ลู่หยวนกล่าว “ผมทำตามคำแนะนำของคุณ ให้เขาส่งข่าวออกไป ไม่ได้ขัดขวาง”
“อืม” เจิ้งหย่วนตงพยักหน้า
“แต่ว่า ผมคิดไม่ตกนิดหน่อย” ลู่หยวนงุนงง “ผลการทบสอบนี้ก็เป็นสิ่งที่พวกเราได้รับมาอย่างไม่ง่ายดาย ทำไมส่งให้คนอื่นล่ะครับ”
“เพราะผมไม่อยากจะให้คนอื่นจับจ้องนักเรียนมัธยมปลายที่ชื่อชิ่งเฉินคนนี้ด้วย” เจิ้งหย่วนตงตอบ
ถึงแม้ว่าครั้งนี้ยังไม่สามารถหาคนหลังฉาก แต่หาเจอชิ่งเฉินซึ่งเป็นคนที่สามารถปั้นมาเป็นสมาชิกขององค์กรได้อย่างนี้หนึ่งคน เจิ้งหย่วนตงก็รู้สึกว่าไม่ได้กลับมามือเปล่าแล้ว
เขากล่าวกับลู่หยวนว่า “นอกจากนี้ ให้แผนกต่อต้านข่าวกรอง แผนกสอบสวนคดีอาญา แผนกวิเคราะห์พฤติกรรม แผนกเจาะรหัสลับมารวมพลกันให้หมด ให้พวกผู้รับผิดชอบที่ออกไปข้างนอกจองตั๋วเครื่องบินที่เร็วที่สุดบินมาเมืองลั่ว ผมมีลางสังหรณ์ว่าที่นี่จะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น พวกคุณแผนกปฏิบัติการพิเศษก็ต้องระมัดระวังตื่นตัวด้วย เริ่มส่งกำลังพลมาอยู่เมืองลั่วเถอะ”
……
……
คาบติวภาคค่ำ เถียนไห่หลงครูประจำชั้นห้อง 3 มัธยมปลายปีสองมาที่ห้องเรียนเดินวนหนึ่งรอบ
ตอนที่เขาเห็นชิ่งเฉินนั่งอยู่ในห้องเรียน ยังถึงกับอึ้งไปครู่หนึ่ง ท่าทางราวกับเหนือความคาดหมายสุด ๆ……
เถียนไห่หลงรู้สึกว่า ยากนักจะได้เห็นชิ่งเฉินเข้าติวภาคค่ำสักครั้ง ในใจเขายังถึงกับซาบซึ้งอยู่นิดหน่อย
ตอนที่เลิกเรียน ชิ่งเฉินกับหนานเกิงเฉินเดินออกไปข้างนอก
เหล่าลูกหลานล้างผลาญของห้องติดกันโอบไหล่ของหลิวเต๋อจู้ บอกว่าอยากไปไนต์คลับของเมืองลั่วเล่นให้สนุก ผลคือหลิวเต๋อจู้ปฏิเสธการรบเร้าทั้งหมด ขี่จักรยานคนเดียวรีบปั่นกลับบ้าน
เหล่าลูกหลานล้างผลาญผิดหวังอยู่บ้าง แต่ละคนเหยียบคันเร่งอยู่ที่หน้าประตูโรงเรียน
ท่ามกลางเสียงกระหึ่มของรถหรู ชิ่งเฉินถึงขนาดรู้สึกว่านี่สิโลกไซเบอร์……
แต่ชิ่งเฉินตระหนักขึ้นมาในใจว่า เจ้าหลิวเต๋อจู้นี่รีบร้อนกลับบ้าน จะมีข่าวอะไรที่อยากสื่อสารกับตนเองหรือไม่
เป็นไปได้มาก
ชิ่งเฉินมองไปทางหนานเกิงเฉิน “ถัดจากนี้นายมีแผนอะไร ฉันเห็นว่าหลี่อีนั่วดีกับนายมากเลย ท่านอาจารย์ของฉันก็พูดว่าเธอมีรักแท้ต่อนาย”
หนานเกิงเฉินส่ายหน้ากล่าวว่า “เธอดีกับฉันมากจริง ๆ แต่ฉันยังอยากจะศึกษาทักษะการแฮกกว่านี้ ถึงเวลาได้กลับโลกภายใน ฉันก็ถือว่ามีความสามารถจะช่วยนายแล้วจริงไหมล่ะ อีกอย่างทุกคนมักจะพูดว่าชีวิตคือการเรียนรู้ ฉันหวังว่าตัวเองจะสามารถมีประโยชน์สักหน่อยโดยเร็วที่สุด ไม่เป็นตัวถ่วงของนาย…… ฉันก็ไม่สามารถพึ่งพาหลี่อีนั่วไปตลอดใช่ไหมล่ะ”
ชิ่งเฉินรู้สึกทอดถอนอยู่บ้าง “ตำหนักสวรรค์มีทางนายไม่เดิน ทะเลแห่งการเรียนรู้ไร้ขอบเขตจะลำบากไปต่อเรือจริง ๆ เลยนะนาย”
หนานเกิงเฉิน “???”
ณ ขณะนี้ ชิงหันหน้ากลับไปโดยบังเอิญแล้วค้นพบว่าเด็กสาวที่ชื่อยางยางคนนั้นถึงกับตามหลังเขามาอยู่ตลอด
เขาคิดแล้วกล่าวกับหนานเกิงเฉินว่า “ฉันกลับบ้านก่อนนะ เจอกันพรุ่งนี้”
พูดจบ ชิ่งเฉินเดินเข้าไปในฝูงชน
เขาข้ามถนนสิงสู่อย่างไร้เสียง เข้าไปในลานหมายเลข 4
แต่จนกระทั่งขณะนี้ เสียงฝีเท้าอันแผ่วเบาข้างหลังเขายังคงตามมา
ชิ่งเฉินเลี้ยวเข้าถนนเล็ก ๆ ที่มืดมิด จู่ ๆ เขาหันหน้ากลับมามองเด็กสาวที่อยู่ข้างหลัง “ตามฉันทำไม”
ยางยางเงียบไปหลายวินาทีแล้วถามว่า “ขอถามหน่อย ตึกหมายเลข 12 ไปยังไง……”
ชิ่งเฉินขมวดคิ้ว ตึกหมายเลข 12 นี่ไม่ใช่ตึกที่บ้านตัวเองอยู่เหรอ
ชิ่งเฉินถามหยั่งเชิงว่า “เจ้าของใหม่ของห้อง 101 เหรอ”
“อืม” ยางยางหยิบกุญแจออกมา “เมื่อคืนเพิ่งจะย้ายเข้า หาทางไม่เจอนิดหน่อย”
“งั้นเธอตามฉันมา” ชิ่งเฉินพูดจบก็นำทางอยู่ข้างหน้า
“นายก็อยู่ที่นี่เหรอ” ยางยางเอ่ยอย่างอยากรู้
“อืม” ชิ่งเฉินกล่าว “ฉันอยู่ที่นี่หลายปีแล้วล่ะ”
“งั้นดีเลย วันหลังฉันตามนายก็ได้” ยางยางกล่าว
ตอนที่ได้ยินประโยคนี้ ชิ่งเฉินงงอยู่บ้าง: อะไรคือบอกว่าวันหลังตามตนเองก็ได้?
หรือว่าตัวเองไม่รู้จักประตูบ้านเหรอ
ตอนกลางวัน หูเสี่ยวหนิวและจางเทียนเจินล้วนอวยยางยางไปถึงฟากฟ้า ทั้งใช้อาวุธปืน ทั้งข้ามมหาสมุทรอินเดียตัวคนเดียว คนประเภทนี้จะหาประตูบ้านไม่เจอได้อย่างไรล่ะ
นี่ไม่สมเหตุสมผลเลย
ชิ่งเฉินรู้สึกไม่ถูกต้องอยู่บ้าง เขาถามหยั่งเชิงอีกครั้ง “พวกหลงทิศ?”
ครั้งนี้ยางนางเงียบงันไปนานยิ่งกว่า “อืม”
ในใจชิ่งเฉินจู่ ๆ เกิดคลื่นใหญ่ถาโถม สาวน้อยผู้มีพรสวรรค์อย่างนี้ถึงกับเป็นคนหลงทิศด้วย?
ตอนเช้า เขาจำได้ว่าหูเสี่ยวหนิวพูดว่าอีกฝ่ายเดิมทีเล่นเรือยอช์ตอยู่แถบชายฝั่ง จากนั้นเกิดนึกครึ้มไปข้ามมหาสมุทรอินเดีย
อีกฝ่ายอยู่บนทะเล ก่อนอื่นขับไล่โจรสลัด ต่อด้วยสูญเสียเส้นทางเดินเรือบนทะเล สุดท้ายร่อนเร่อยู่นานมากจึงไปขึ้นฝั่งปากีสถาน
ชั่วขณะหนึ่งตอนที่ชิ่งเฉินนึกย้อนถึงเบาะแสที่เกี่ยวข้องกับสาวน้อยช่วงนี้ ก็อดเดาขึ้นมาไม่ได้ว่า นึกครึ้มไปข้ามมหาสมุทรอินเดียที่ว่ากันนี่……
เกรงว่าไม่ใช่หลงทางอยู่บนทะเลปะ?!
จากนั้นสร้างตำนานอย่างจับต้นชนปลายไม่ถูก?!
ชิ่งเฉินจู่ ๆ รู้สึกว่า การคาดเดานี้ของตนเองเหมือนกับจะน่าเชื่อถือขึ้นอีกนิดหนึ่ง
ตอนที่ถึงหน้าประตูบ้าน ชิ่งเฉินมองดูยางยางล้วงกุญแจออกมาไขเปิดประตูบ้าน จากนั้นบอกขอบคุณกับตนเอง
เขามองไปในห้อง เครื่องเรือนข้างในถึงจะเปลี่ยนใหม่หมด แต่ว่าผนังที่ลอกล่อนยังอยู่ ดูท่าอีกฝ่ายก็ไม่มีแผนจะรีโนเวทใหม่
ชิ่งเฉินอดถามไม่ได้ว่า “เธอเพิ่งจะย้ายมาที่นี่ ไม่ต้องรีโนเวทใหม่เหรอ “
ยางยางส่ายหน้า “ฉันไม่แคร์เรื่องพวกนี้ อยู่ได้ก็พอ”
“งั้นด้วยบุคลิกอย่างเธอเนี่ยไปอยู่โรงแรมตรง ๆ เลยจะดีมาก ไหงมาพักที่นี่ล่ะ” ชิ่งเฉินถามอีก
ยางยางมองเขาแวบหนึ่ง “โรงแรมอยู่ห่างโรงเรียนไกลเกินไป”
ชิ่งเฉินเข้าใจความหมายของอีกฝ่ายแล้ว เพราะว่าโรงแรมอยู่ไกล ดังนั้นหลงทางง่ายกว่า
ส่วนที่นี่อยู่ห่างจากโรงเรียนเพียงเดินเท้า 5 นาที เดินหลายรอบหน่อยยังไงก็จำได้
ก่อนหน้านี้เขายังนึกว่าผู้อยู่อาศัยใหม่คนนี้พุ่งเป้ามาที่เขา, เจียงเสวี่ย, หูเสี่ยวหนิว, จางเทียนเจิน ตอนนี้ดูไปแล้ว เหตุผลที่อีกฝ่ายพักอาศัยที่นี้เรียบง่ายและบริสุทธิ์ยิ่งกว่า: เป็นเพราะอยู่ใกล้โรงเรียน
ทันใดนั้น อุปกรณ์สื่อสารในกระเป๋าชิ่งเฉินสั่นขึ้นมา เขาบอกลากับยางยางแล้วกลับไปในบ้านของตัวเอง
บนโต๊ะมีอาหารที่เตรียมเอาไว้แล้ว ยังมีโน้ตที่เจียงเสวี่ยทิ้งไว้ว่าเธอพาหลี่ถงอวิ๋นกลับไปอยู่บ้านแล้ว สองวันนี้ตายายของหลี่ถงอวิ๋นจะมาจากเมืองเจิ้ง เธอต้องไปปัดกวาดให้สะอาด
ชิ่งเฉินนั่งที่โต๊ะกินข้าวหยิบอุปกรณ์สื่อสารออกมา เป็นหลิวเต๋อจู้ส่งข้อความว่า “บอส มีจดหมายใหม่ อีกฝ่ายเขียนในจดหมาย: วันนี้หาคุณไม่เจอ ผิดหวังจัง ฮี่ฮี่”
เขาแอบขมวดคิ้วกับตัวเอง ผู้ครอบครองแสตมป์มารร้ายคนนี้ทำไมอย่างกับผีที่ไม่ไปผุดไปเกิดสักที ในเวลาที่เร็วขนาดนี้ก็รู้ผลการตรวจเลือดของตนเองในวันนี้แล้วเหรอ
สรุปว่าอีกฝ่ายทำได้อย่างไร
แต่ข่าวดีคือ ข้อมูลไฟร์วอลล์ที่ตนเองวางลงไปดูท่าจะทำให้คนไม่น้อยหลงทิศได้จริง ๆ
นี่ทำให้ชิ่งเฉินผ่อนคลายลงเล็กน้อย เขาไม่ถือสาที่คนอื่นจะทำเหมือนเขาเป็นตัวหมาก ยิ่งดูแคลนเขากลับจะยิ่งดี
เวลานี้ หลิวเต๋อจู้ส่งข้อความว่า “บอส จดหมายฉบับนี้ปรากฏขึ้นข้างหมอนของผมตอนเย็น ๆ ตอนนั้นผมยังไม่ได้เลิกติวภาคค่ำ ดังนั้นถูกพ่อของผมเห็นเข้าแล้ว……ไม่เป็นไรนะครับ?”
ชิ่งเฉินตอบข้อความว่า “ไม่เป็นไร ให้ตอบจดหมายคนคนนั้นว่า: คุณหาผมไม่เจอ แต่ผมจวนจะหาคุณเจอแล้ว”
หลิวเต๋อจู้อ่านข้อความนี้แล้วอึ้งไป “บอสร้ายกาจจัง ผมจะตอบเขาเลย!”
เขาคิดในใจว่า รอบอสหาหมอนี่เจอ ตนเองจะไม่ต้องเสียเลือดแล้วใช่หรือไม่
แต่หลิวเต๋อจู้คิดเรื่องนี้งดงามเกินไปแล้ว
อันที่จริงชิ่งเฉินไม่มีเบาแสสักนิด เขาแค่รู้สึกว่า อีกฝ่ายก่อกวนตนเองมาหลายครั้งแล้ว ไม่ขู่อีกฝ่ายสักหน่อยจะได้อย่างไร ไม่สามารถปล่อยให้อีกฝ่ายขู่ตัวเองตลอดสิ!
ถึงอย่างไร อีกฝ่ายไม่รู้เลยว่าตนเองสรุปแล้วเป็นใคร ก็ไม่มีทางยืนยันว่าตนเองมีเบาะแสจริง ๆ ใช่หรือไม่
ประโยคเดียวก็สามารถทำให้ศัตรูตกอยู่ในความตื่นตระหนก แล้วยังให้อีกฝ่ายเสียเวลาตรวจสอบว่าบนตัวเองมีช่องโหว่หรือไม่ ทำไมจะไม่ทำล่ะ
หลิวเต๋อจู้ส่งข้อความมาว่า “บอสครับ เขาเขียนจดหมายมาอีกฉบับแล้ว: ผมรู้สึกว่าชิ่งเฉินคนนี้เหมือนจะแกร่งกว่าหลิวเต๋อจู้มาก ไม่รู้ว่าเขามีความสนใจจะทำงานให้ผมรึเปล่า ฮี่ฮี่”
อีกฝ่ายไม่ได้ตอบจดหมาย “หาเจอเบาะแสของอีกฝ่ายเจอ” ของตนเองฉบับนั้น นี่กลับอธิบายว่า: ผู้ครอบครองแสตมป์มารร้ายคนนี้ไม่เต็มใจจะถกเรื่องนี้ต่อ กังวลว่าพูดมากจะพลาดมาก
แต่ว่า อีกฝ่ายอยู่ต่อหน้าชิ่งเฉินแล้ววางแผนจะขุดชิ่งเฉินไปจากข้างกายชิ่งเฉิน ช่างน่าตกตะลึงพรึงเพริดโดยแท้
แน่นอนว่า ผู้ที่ได้รับความตกตะลึงที่สุดยังคงเป็นหลิวเต๋อจู้
วิธีการถูกคนดูหมิ่นซึ่งหน้าประเภทนี้ เขายังเพิ่งพบเห็นเป็นครั้งแรก……
หรืออีกฝ่ายจะลืมไปแล้วว่าตนเองเป็นคนที่ถ่ายทอดข้อความ เปรียบเทียบกันต่อหน้าตนเองอย่างนี้มันดีจริงเหรอ?!
แต่ว่า หลิวเต๋อจู้ก็ได้ให้ความสนใจกับชื่อชิ่งเฉินนี้เป็นครั้งแรก หรือว่านี่เป็นลูกน้องอีกคนของบอสใหญ่?
ฟังดูคุ้นหูนิดหน่อยนะ!
เวลานี้ ชิ่งเฉินส่งข้อความว่า “ตอบเขา: อยากขุดชิ่งเฉินเกรงว่าจะไม่ง่ายขนาดนั้น”
แต่ทว่ายังไม่ทันที่เขาจะเริ่มกินข้าว หลิวเต๋อจู้ส่งข้อความมาอีกว่า “บอส เขาส่งจดหมายมาอีกแล้ว: อย่ามั่นใจในตัวเองขนาดนั้น คุณเหมือนจะไม่รู้เลยว่าผมเคยเขียนจดหมายให้ชิ่งเฉินนะ ดูท่าเขาก็ไม่ได้เชื่อฟังคำพูดของคุณขนาดนั้น ฮี่ฮี่”
ชิ่งเฉินเงยหน้าขึ้นอย่างตะลึงงัน จดหมายให้ตัวเอง? ตนเองทำไมไม่ได้รับล่ะ!
ชิบหาย
ชิ่งเฉินจู่ ๆ ตระหนักถึงปัญหาข้อหนึ่ง หลินเสี่ยวเสี้ยวบอกว่าแสตมป์มารร้ายส่งจดหมายต้องการที่อยู่
ดังนั้น หลังจากที่ผู้ครอบครองคนนี้จับจ้องตนเองก็จะสืบหาที่อยู่ของตนเองไปตามครรลอง เขียนจดหมายให้ตนเอง
แต่ว่า ตนเองย้ายบ้านแล้วน่ะสิ!
อีกฝ่ายสามารถสืบหาที่อยู่อันนั้น ผู้อยู่อาศัยในตอนนี้ไม่ใช่เขา ทว่าเป็นยางยาง!
ดังนั้นจดหมายฉบับนั้นที่อีกฝ่ายพูด ตอนนี้คาดว่าวางอยู่ข้างหมอนของยางยางแล้ว!
ชิ่งเฉินถึงขนาดสามารถจินตนาการได้ถึงสีหน้าที่เต็มไปด้วยความงุนงงตอนที่ยางยางเห็นจดหมายฉบับนั้น
เขาขบคิดว่า ตอนนี้ตนเองต้องไปเอาจดหมายฉบับนั้นกลับมาไหม ควรจะอธิบายกับยางยางอย่างไรล่ะ
การพลาดนี้ก็วุ่นวายใหญ่โตเกินไปแล้ว……
ตอนที่ชิ่งเฉินกำลังพะว้าพะวัง เสียงเคาะประตูดังขึ้นนอกประตู ชิ่งเฉินเปิดประตูดูถึงกับเป็นยางยาง
เด็กสาวยกมือโชว์จดหมายในมือ “น่าจะให้นาย”
พูดจบเธอก็วางจดหมายในมือชิ่งเฉินแล้วหันหลังกลับบ้านตัวเอง ไม่ได้ไต่ถาม ถึงขนาดไม่มีความสงสัย นี่หลีกเลี่ยงความอิหลักอิเหลื่อของชิ่งเฉินได้มาก
ตอนที่ยางยางกำลังจะปิดประตู จู่ ๆ ก็หันหน้ากลับมากล่าวกับชิ่งเฉินว่า “จริงสิ ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง นายจำหวังอวิ๋นได้ปะ”
ชิ่งเฉินอึ้งไป “จำได้”
“เธออยู่ที่โลกภายในถูกหลี่ตงเจ๋อชมรมเหิงฆ่าตาย วิธีตายอเนจอนาถเป็นพิเศษ” ยางยางกล่าว “เธอยังมีพี่ชายที่เอ็นดูเธอมากอยู่คน ดังนั้นเรื่องนี้สกุลหวังจะไม่ยอมจบเรื่อง หลังไป๋หว่านเอ๋อร์กลับไปถึงเมืองไห่ก็ผลักเรื่องทั้งหมดไปบนตัวหลิวเต๋อจู้, หูเสี่ยวหนิว, จางเทียนเจิน”
ชิ่งเฉินถามว่า “ทำไมบอกเรื่องนี้กับฉัน”
“อิทธิพลของสกุลหวังที่โลกภายในมีน้อยนิด ดังนั้นตอนนี้พวกเขาไม่อาจจะไปหาหลี่ตงเจ๋อ, หลี่ซูถงมาล้างแค้น หูเสี่ยวหนิวและจางเทียนเจินอย่างมากที่สุดนับว่ามีความรับผิดชอบรองลงมา พวกเขาก็จะไม่เปิดศึกกับสกุลหู, สกุลจางเพราะเหตุนี้” ยางยางอธิบาย “ดังนั้นคนที่พวกเขาสามารถหาได้ในตอนนี้ก็คือหลิวเต๋อจู้คนนั้น อย่าลืมล่ะ ที่นี่เป็นโลกภายนอก เป็นถิ่นของสกุลหวัง พวกเขากำลังจะมาล้างแค้นแล้ว”
ชิ่งเฉินขมวดคิ้ว ยางยางพูดกับตนเองเพราะอะไร
ชิ่งเฉินถามว่า “หวังอวิ๋นไม่ได้เป็นคนในแวดวงของพวกเธอเหรอ ทำไมเธอไม่ช่วยสกุลหวังล่ะ”
เด็กสาวเอ่ยอย่างสงบนิ่งว่า “ในแวดวงของฉัน ไม่มีที่ให้ชาเขียว”
เวลานี้ ชิ่งเฉินถามว่า “อันที่จริงฉันอยากรู้มากว่าทำไมเธอมาเมืองลั่ว แถมย้ายมาห้อง 3 ม.ปลายปีสอง เป้าหมายของเธอคืออะไรกันล่ะ”
“นายไม่พูดความจริง ฉันก็ย่อมจะไม่สามารถพูดความจริง” ยางยางกล่าว “รอตอนที่นายอยากพูดความจริงสามารถมาถามฉันใหม่”
พูดจบ เด็กสาวปิดประตู
จนกระทั่งถึงเวลานี้ ชิ่งเฉินจึงมีเวลาว่างอ่านเนื้อหาบนจดหมาย: สิ่งที่คุณต้องการ ผมมีหมด ฮี่ฮี่
ชิ่งเฉินถอนหายใจ คำโฆษณานี่ไม่มีแรงดึงดูดสักนิด คุณไม่ได้บอกเลยด้วยซ้ำว่าคุณมีอะไร!
ไม่อาจไม่พูดว่า ไฟร์วอลล์ชั้นที่สองอันนี้ของชิ่งเฉินปล่อยออกมาได้ทันท่วงทีมาก
อีกฝ่ายเห็นได้ชัดว่าจับจ้องศักดิ์ฐานะ “ชิ่งเฉิน” อันนี้แล้ว ถ้าไม่ได้ปล่อยข้อมูลหลงทิศออกมา อย่างนั้นอีกฝ่ายจะดำเนินการแผนการร้ายที่เล็งใส่ตนเองได้อย่างรวดเร็วมาก
ทว่าตอนนี้ ตนเองกลายเป็นบุคคลตัวเล็ก ๆ กลายเป็นตัวหมากหนึ่งเม็ด
เกมนี้ เป็นเขาชนะแล้ว
ชิ่งเฉินไม่ได้ตั้งใจจะใช้ศักดิ์ฐานะ “ชิ่งเฉิน” ไปตอบอะไร
ถึงอย่างไรถ้าเขาตอบข้อความจริง ๆ งั้นก็ต้องกรีดนิ้วให้เลือดออก
ตอนนี้ ปล่อยให้หลิวเต๋อจู้เลือดออกก็เหมาะสมแล้ว
เวลานี้ อีกฝ่ายส่งจดหมายมาให้หลิวเต๋อจู้อีก “ผมอยากรู้มากเลย ทำไมคุณซ่อนตัวได้ดีขนาดนี้ล่ะ”
หลิวเต๋อจู้ถามว่า “บอส ตอบเขายังไงครับ”
ชิ่งเฉินขบคิดชั่วขณะ “ฮี่ฮี่”
ในมุมหนึ่งของเมืองหนึ่ง ร่างผอมร่างหนึ่งนั่งอยู่หน้าหน้าต่างพื้นจรดเพดานขนาดใหญ่ยักษ์ มองดูจดหมายในมือรวมทั้งฮี่ฮี่สองคำ จมอยู่ในห้วงคิด……
ผู้ครอบครองของแสตมป์มารร้ายถูกฮี่ฮี่กลับทีหนึ่ง อารมณ์ทั้งหมดไม่ปะติดปะต่อนิดหน่อย……
ชิ่งเฉินไม่ได้สนใจผู้ครอบครองของแสตมป์มารร้ายคนนี้อีก ทว่าเริ่มการฝึกฝนที่เขาขาดช่วงไปนาน
ตามที่หลี่ซูถงบอกมา ถึงแม้เขาจะเปิดยีนล็อคแล้ว แต่ศักยภาพทางกายของร่างกายเขาไม่ได้ถูกพัฒนาไปถึงขีดสุดเลย ดังนั้นการฝึกฝนยังคงมีประสิทธิภาพ
ถึงแม้ว่าพัฒนาการเล็กน้อยนี้เมื่อเทียบกับพลังเหนือมนุษย์แล้วไม่นับเป็นอะไร แต่ชิ่งเฉินชอบ “ขีดสุด” มาโดยตลอด
แถมเขาเชื่อมั่นเสมอมาว่า
ความมีวินัยในตนเองคืออิสรภาพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษย์
……
……
นับถอยหลัง 137:00:00
7 โมงเช้าของสุดสัปดาห์ ไม่มีเรียน
หลิวเต๋อจู้ลุกขึ้นจากเตียงไปอาบน้ำแต่เช้าตรู่ คุณพ่อหลิวโหย่วไฉของเขามองดูลูกชาย ในใจเต็มไปด้วยความปลื้มปิติ
ถ้าเป็นก่อนที่เหตุการณ์ทะลุมิติเกิดขึ้น คืนก่อนสุดสัปดาห์ทุกคืน หลิวเต๋อจู้จะเล่นเกมยันเช้า หรือไม่ก็ดูภาพยนตร์ดูซีรีย์ จากนั้นวันรุ่งขึ้นนอนไม่รู้วันรู้คืน ไร้วินัยในตนเองอย่างสิ้นเชิง
แต่ว่าตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว เมื่อคืนวานหลิวเต๋อจู้เข้านอนแต่หัวค่ำ วันนี้ยังลุกขึ้นมาแต่เช้า
หลิวโหย่วไฉมีความรู้สึกชนิดหนึ่งในพริบตา: ลูกชายตนเองเติบโตแล้ว!
แรกเริ่มเขารู้สึกว่าการทะลุมิติอาจจะเป็นเรื่องร้าย ถึงอย่างไรลูกชายยังเจอกับการลักพาตัวด้วย
แต่ตอนนี้ดูไปแล้ว เรื่องร้ายกลับกลายเป็นเรื่องดีแล้ว ลูกชายไม่เพียงกลายเป็นหนึ่งในนักท่องเวลาที่มีชื่อเสียงที่สุด ยังมีนิสัยดีด้วย……
นี่ทำให้หลิวโหย่วไฉผู้เป็นบิดายิ่งรู้สึกว่าตนเองควรจะพยายามไปทำความเข้าใจ “โอกาส” และ “อาชีพ” ของลูกชาย
เพียงแต่ หลิวโหย่วไฉจู่ ๆ รู้สึกว่า สีหน้าของลูกชายเขาคล้ายจะขาวซีดไปมาก
บนตัวก็มีกลิ่นคาวหวาน ๆ ชนิดหนึ่ง
“ลูกจู่ ลูกตื่นเช้าขนาดนี้จะออกไปข้างนอกเหรอ พ่อทำอาหารให้ลูกแล้ว กินเสร็จค่อยออกไปนะ” หลิวโหย่วไฉผูกผ้ากันเปื้อนกล่าวขึ้นมา
“ไม่กินครับ” หลิวเต๋อจู้กล่าว “พ่อหลังทำอาหารเสร็จวางไว้บนโต๊ะก็พอ เดี๋ยวผมกลับมากิน”
พูดจบ หลิวเต๋อจู้พันผ้าพันคอให้ตัวเองแล้วสวมหมวก ถึงขนาดยังขุดแว่นกันแดดที่เขาซื้อมาใช้เท่ ๆ เมื่อนานมาแล้วออกมาด้วย
ลักษณะที่ติดอาวุธครบมือตั้งแต่ศีรษะจรดเท้านี้ทำเอาหลิวโหย่วไฉเห็นแล้วอึ้งไปเลย
นี่ถ้าเจอกันข้างนอก เขายังไม่แน่ว่าจะสามารถจดจำลูกชายตัวเองออก!
หลิวโหย่วไฉลังเลชั่วครู่แล้วถามว่า “ลูกนี่……”
“พ่อ อย่าถามเลย ความลับ” หลิวเต๋อจู้พูดจบก็หันร่างออกจากประตู
รอจนลูกชายออกไป
หลิวโหย่วไฉรีบไปหาภรรยาของตนเองหวังชูเฟินพึมพำว่า “ที่รัก เธอรู้สึกรึเปล่าว่าลูกชายเราพิลึกสักหน่อย”
ณ ขณะนี้ หลิวเต๋อจู้กำลังเข้าใกล้สถานีรับบริจาคเลือดแห่งหนึ่ง สำรวจมองรอบด้านอย่างไร้สุ้มเสียง
สิ่งที่ประหลาดนิดหน่อยคือ เขารู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่ามีคู่รักที่สวมเทรนช์โค้ตยาวสีดำคู่หนึ่งกำลังแอบสังเกตดูตนเอง
แต่ตอนนี้หันหน้าไปมองกลับค้นพบว่าคู่รักนั่นไม่ได้มองตนเองเลย ทว่ากำลังคุยกันกระหนุงกระหนิง
น่าจะกระวนกระวายมากไปแล้วสินะ
หลิวเต๋อจู้สังเกตอยู่พักใหญ่ แล้วจึงเดินไปที่สถานีเงียบ ๆ “สวัสดีครับ ผมซื้อเลือดได้ไหมครับ”
คุณผู้หญิงพยาบาลตกตะลึง เธอเพิ่งจะเคยเห็นคนที่มาซื้อเลือดที่จุดบริจาคเลือดเป็นครั้งแรก “ที่นี้เป็นที่บริจาคเลือด ไม่ขายเลือดค่ะ!”
หลิวเต๋อจู้คิด ๆ “งั้นถุงเก็บเลือดกับอุปกรณ์ถ่ายเลือดของพวกคุณขายให้ผมสักชุดได้ไหมครับ”
คุณผู้หญิงจนใจ “อันนี้ก็ไม่ขายค่ะ!”
“งั้นผมบริจาคเลือด” หลิวเต๋อจู้กล่าว
คุณผู้หญิงพยาบาลบนรถบริจาคเลือดมองเขาอย่างประหลาดใจ “โอเค ฉันจะตรวจให้คุณก่อนนะคะ”
ว่าแล้วก็หยิบกระดาษทดสอบไปตรวจกลุ่มเลือดของหลิวเต๋อจู้ รวมทั้งฮีโมโกลบิน, แอนติเจนพื้นผิวตับอักเสบบี แล้วหยิบอุปกรณ์มาให้เขาทดสอบอัตราการเต้นของหัวใจ, ความดันโลหิต……
หลังยืนยันว่าไม่มีปัญหา คุณผู้หญิงพยาบาลจึงฆ่าเชื้อที่แขนของหลิวเต๋อจู้แล้วแทงเข็มเข้าไป
หลิวเต๋อจู้มองดูเลือดของตัวเองไหลเข้าไปในถุงเลือด รอคอยเงียบ ๆ
ในระหว่างที่รอคอยนี้ คู่รักคู่นั้นที่ลอบสังเกตหลิวเต๋อจู้เมื่อครู่นี้สบตากัน เริ่มเคลื่อนเข้าใกล้รถบริจาคเลือดอย่างไม่กระโตกกระตาก
มือขวาที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อของพวกเขายื่นเข้าไปในเทรนช์โค้ตสีดำ สัมผัสด้ามปืนที่อยู่ใต้วงแขน อาวุธปืนติดอุปกรณ์เก็บเสียงไว้แล้วด้วย
แต่ทว่ายังไม่ทันที่พวกเขาจะเข้าใกล้สำเร็จ
ทันทีที่คุณผู้หญิงพยาบาลถ่ายเต็ม 300 CC แล้วถอนเข็ม จู่ ๆ เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้น
กลับเห็นหลิวเต๋อจู้ถึงกับลุกขึ้นฉวยถุงเลือดแล้ววิ่ง พริบตาเดียวก็วิ่งไปไกลแล้ว
คู่รักที่กำลังเคลื่อนมาด้านนอกรถมองหน้ากันตาปริบ ๆ ล้วนถูกการเปลี่ยนแปลงที่มาอย่างกะทันหันนี้ตีรวนแผนการ เกมนี้เป็นเขาชนะแล้ว
พวกเธอเพิ่งเคยเห็นคนที่มาขโมยเลือดที่สถานีบริจาคเลือดเป็นครั้งแรก ประเด็นคือ ที่อีกฝ่ายขโมยไปยังเป็นเลือดของตัวเองด้วยนะ!
เหตุการณ์อะไรกันเนี่ย
เวลานี้ คุณผู้หญิงพยาบาลมองดูคู่รักที่น่าสงสัยคู่นั้นตรงประตูรถอย่างระแวง “พวกคุณ……มาบริจาคเลือดหรือไงคะ”
คู่รักคู่นี้มองแววตาที่ระแวงของอีกฝ่าย แล้วสบตากัน “อืม พวกเรามาบริจาคเลือด”
“มาค่ะ รีบเข้ามาเถอะ” คุณผู้หญิงพยาบาลกล่าว
คู่รักคู่นี้มองดูแผ่นหลังของหลิวเต๋อจู้อย่างลึกล้ำ……
คนฆ่าไม่สำเร็จก็ช่างเถอะ ถึงกับยังต้องบริจาคเลือดคนละ 300 CC……
แต่ทว่าสิ่งที่พวกเขาไม่รู้คือ ในใจหลิวเต๋อจู้ก็ขมขื่นนะ การขโมยเลือดยิ่งเป็นเหตุอันจนใจ ตัวเขาเองถ่ายเลือดไม่ได้!
ตั้งแต่เมื่อคืนวานนี้ เขาค้นพบปัญหาข้อหนึ่ง: ผู้ครอบครองแสตมป์มารร้ายคนนั้นเหมือนจะเสพติดการคุยกับบอสเขาแล้ว!
และการคุยกันของสองคนนี้ยังจำเป็นต้องใช้เลือดของเขามาเป็นวิธีส่งต่อข้อความ
หลิวเต๋อจู้เคยแอบลองใช้เลือดหมู, เลือดเป็ด, เลือดไก่ ทั้งหมดล้วนใช้ไม่ได้
ผลคือเขาค้นพบด้วยความเจ็บปวดถึงสิบส่วนว่าตราประทับไปรษณีย์นี่จำเป็นต้องใช้เลือดคนถึงจะได้จริง ๆ ไม่แน่ว่ายังต้องใช้เลือดของผู้รับด้วย
จะใช้เลือดคนก็ช่างเถอะ ประเด็นคือบาดแผลของเขาจะหายดีทุก ๆ วันนะ
นี่หมายความว่า ตอนที่บอสคุยกับผู้ครอบครองคนนั้นทุก ๆ ครั้ง เขาล้วนต้องกรีดเปิดแผลใหม่!
หลังจากที่ถูกบอสกับผู้ครอบครองแสตมป์มารร้ายทรมานอยู่หลายครั้ง เขาเรียนรู้จากประสบการณ์อันเจ็บปวดและตัดสินใจค้นหาวิธีการใหม่ ถ้าหากไม่อาจใช้เลือดคนอื่น งั้นเขาก็จะถ่ายเลือดออกมามาก ๆ ในครั้งเดียว จากนั้นแช่ในตู้เย็นแล้วใช้ช้า ๆ
อย่างน้อยที่สุดแบบนี้เขาจะไม่ต้องเพิ่มบาดแผลใหม่ทุก ๆ วัน
ครึ่งชั่วโมงต่อมา เขาถือถุงเลือดย่องกลับบ้าน จากนั้นฉวยตอนที่พ่อแม่ล้วนอยู่ในห้องนอนค่อย ๆ ซ่อนถุงเลือดเอาไว้ที่ชั้นล่างสุดของตู้เย็น
จนกระทั่งถึงตอนนี้ เขาจึงวางใจแล้วกลับไปที่ห้องนอนตัวเองได้ในที่สุด หยิบอุปกรณ์สื่อสารออกมาส่งข้อความให้ชิ่งเฉินว่า “บอส ผมสงสัยว่ามีคนคิดจะฆ่าผม!”
สิ่งที่หลิวเต๋อจู้ไม่รู้คือ ทันทีที่เขาปิดประตูห้อง พ่อแม่ของเขาก็ออกมาจากห้องนอนเงียบ ๆ แล้วเปิดตู้เย็น
หลิวโหย่วไฉมองดูถุงเลือดที่ลูกชายซ่อนไว้ดิบดี ยืนนิ่งอยู่นาน
เขากล่าวด้วยสีหน้าแฝงความเจ็บปวดใจว่า “ที่รัก ดูท่าพวกเราคาดการณ์ไม่ผิด”
หวังชูเฟินเอ่ยเสียงเบาว่า “จะเก็บเครื่องเงินในบ้านให้หมดเลยไหม ยังมีเจ้าแม่กวนอิมที่ทางเข้า?”
หลิวโหย่วไฉลังเลครู่หนึ่ง “ผีดูดเลือดน่าจะไม่อยู่ในการควบคุมของเจ้าแม่กวนอิมนะ?”
ตอนเที่ยงวัน หลิวเต๋อจู้หลังจากตื่นขึ้นมาก็รู้สึกท้องร้องโครกคราก
ตอนที่เขาเปิดตู้เย็นอยากจะดูว่ามีของกินอะไร ผลคือกลับเห็นว่าที่ที่ตัวเองซ่อนถุงเลือด ถึงกับมีเพิ่มมาอีกสองถุง……
……………………………..
คุณพ่อแม่หลิวน่ารักมากเลย
ผิดกับพ่อ ๆ ของตัวละครอื่น 555
ตอนที่ 171 – ราตรีฝนพรำ, โลหิต, มือสังหาร