การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ – ตอนที่ 48 นักบวชวิหารเทพแห่งกฎหมาย

การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~

ตอนที่ 48 นักบวชวิหารเทพแห่งกฎหมาย

 

หมู่บ้านเมลเทเป็นหมู่บ้านที่ราสกับอิเรียจากมา ซึ่งเป็นเขตชนบทที่ตั้งอยู่ปลายสายของแม่น้ำเคล

 

หากเดินทางจากเมืองอิชกะโดยใช้รถม้าจะใช้เวลาประมาณ 7 วัน ที่นั่นเป็นหมู่บ้านที่ติดอยู่ระหว่างพรมแดนของอาณาจักรคานาเรียและนครศักดิ์สิทธิ์

 

พอผมเห็นภาพของหมู่บ้านเมลเทในระยะสายตา ผมก็นึกถึงสิ่งที่ราสบอกเมื่อก่อนขึ้นมา

 

“ฉันออกมาจากหมู่บ้านก็เพราะเบื่อกับวิถีชีวิตที่ยากไร้แล้ว” เหมือนเขาจะบอกไว้แบบนั้นนะ และจากที่ผมเห็นก็น่าจะจริง เพราะหมู่บ้านนี้มีแต่บ้านขนาดเล็ก ประตูและรั้วก็ทรุดโทรม เสื้อผ้าของชาวบ้านที่นั่นก็ดูไม่จืด ขนาดเป็นตัวผมก็พูดไม่ได้จริงๆ ว่ามันเป็นสถานที่ที่ดี สภาพนี้นึกไม่ออกเลยว่าจะมีคนมีอันจะกินอาศัยอยู่

 

 

บรรยากาศของหมู่บ้านตอนนี้เหมือนกับหมู่บ้านร้าง ถ้าให้ดูจากสภาพพวกคนหนุ่มสาวน่าจะหนีออกจากหมู่บ้านนี้กันหมดแล้วมั้ง

 

 

…ไม่ก็อาจจะเป็นเพราะหมู่บ้านถูกโรคระบาดเข้าโจมตี บรรยากาศตอนนี้ก็เลยดูไม่ค่อยดีนัก บางทีหากเป็นช่วงปกติบรรยากาศของหมู่บ้านเมลเทอาจจะดีกว่านี้ก็ได้

 

ผมเดินมาถึงหน้าประตูหมู่บ้านระหว่างคิดอะไรไปเรื่อย

 

ผมให้คราว โซราสซ่อนตัวอยู่ในป่า เพราะถ้าผมพามันมาในหมู่บ้านคนก็คงไม่พ้นต้องเจอความแตกตื่น

 

ส่วนหลังผมตอนนี้ก็มีกระเป๋าใบใหญ่เหมือนกับพ่อค้า และมีดาบสีดำอยู่ตรงเอว ถึงจะไม่มีรถม้ามาด้วยก็เถอะ พอผมไปถึงยามสองคนหน้าหมู่บ้านก็เห็นผมแล้วตั้งท่าระวังตัวเล็กน้อยเมื่อผมเข้าใกล้

 

พวกเขาเป็นเด็กหนุ่มอายุราวๆ 20 ปี กับชายวัยกลางราวๆ 40 ปี และคนที่เปิดปากพูดขึ้นมาก่อนก็คือเด็กหนุ่ม

 

 

 

「หยุดก่อน! ฉันไม่เคยเห็นหน้านายมาก่อนเลยนะ ตั้งใจจะมาทำอะไรที่นี่?!」

 

 

「ฉันได้ยินมาว่าหมู่บ้านนี้เจอโรคระบาดเข้า ก็เลยตั้งใจจะนำผลไม้ที่ช่วยในการแก้พิษมาให้น่ะ」

 

 

ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ทรงพลังพร้อมกับใบหน้าที่เป็นมิตร

 

ก็อย่างที่ผมว่าไป หากจะเดินทางจากเมืองอิชกะด้วยรถม้า ก็น่าจะใช้เวลาราวๆ 7 วัน ก็แปลว่าตอนนี้อิเรียยังเดินทางมาไม่ถึง

 

 

 

ตอนแรกก็คิดหรอกนะว่าจะไปรับเธอเอากลางทางที่ไหนสักที่ แต่ถ้าทำแบบนั้นแล้วบอกกับเธอว่า “ฉันเจอผลไม้ที่ช่วยในการรักษาคนในหมู่บ้านเธอได้นะ มากับฉันสิ ไปช่วยแม่ของเธอกันเถอะ” สิ่งที่ผมได้รับกลับมาคงไม่เหมือนกับราสแน่ๆ

 

 

 

เพราะเธอจะต้องสงสัยผมและนึกถึงแรงจูงใจในการยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือจากผม

 

 

แถมถ้าผมเข้ามาที่หมู่บ้านพร้อมกับเธอ คนในหมู่บ้านก็จะสงสัยในตัวผมเพิ่มด้วยจากสิ่งที่อิเรียพล่ามให้ฟัง

 

หลายๆ อย่างก็คงจะยากขึ้นกว่าเดิม

 

 

 

ดังนั้นผมก็เลยเลือกที่จะมาที่หมู่บ้านนี้ก่อนที่เธอจะมาเพื่อสร้างความเชื่อใจกับคนที่นี่

 

 

ถ้าผมสร้างความประทับใจกับพวกเขาไว้ได้ พอเธอมาถึงคนในหมู่บ้านก็คงจะไม่เชื่อเรื่องที่เธอพูดง่ายๆ หรอก

 

แถมแม่ของอิเรียก็อาศัยอยู่ในหมู่บ้านนี้ด้วย เคยได้ยินกันใช่ไหมล่ะว่าถ้าอยากจะฆ่าขุนพล ก็ต้องฆ่าม้าขุนพลก่อน

 

 

ยามเฝ้าประตูสองคนยังคงสงสัยในตัวผมอยู่ แต่พอผมพูดบางสิ่งหลังจากนี้ สีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไปทันที

 

 

 

「ลูนามาเรียจากดาบฮายาบูสะขอให้ฉันมาที่นี่ เธอบอกว่าหมู่บ้านนี้เป็นบ้านเกิดของหัวหน้าปาร์ตี้เธออย่างราสแล้วก็นักบวชสายบู้อย่างอิเรียน่ะ พอถูกขอร้องมาแบบนี้ฉันก็เลยรีบมาช่วยให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้เลย」

 

 

 

「ดาบฮายาบูสะ…นี่นายรู้จักราสกับคนอื่นด้วยเหรอเนี่ย? 」

 

「ก็ตามนั้นแหละ พวกเขาคอยดูแลฉันมาตลอดด้วยสิ อ๊ะขอโทษทีนะที่แนะนำตัวช้าไป พวกนายเรียกฉันว่าโซระก็ได้」

 

 

พอผมแนะนำตัวเสร็จ ผมก็สังเกตสีหน้าของทั้งสองคนทันที

 

 

เพราะถ้าคนพวกนี้รู้เรื่องปรสิตหรือเรื่องที่ผมดวลกับราส สีหน้าของพวกเขาก็คงจะแสดงความปรปักษ์ออกมาและปฏิเสธผมแน่

 

 

 

ไม่สิ…ถ้าเรารู้เรื่องดาบควันโลหิตหรืออัศวินมังกรที่เป็นข่าวอยู่พักนี้ใบหน้าของพวกเขาก็น่าจะมีปฏิกิริยาอะไรเหมือนกัน

 

 

แต่สรุปแล้วใบหน้าของพวกเขาก็ไม่ได้มีอะไรแปลกไปนัก

 

หมู่บ้านเมลเทค่อนข้างจะอยู่ไกลจากเมืองหลวงหรือเมืองอิชกะระยะทางที่ต้องเดินทางจากหมู่บ้านไปถึงถนนสายหลักของอาณาจักรคานาเรียก็ไกลด้วย

 

เพราะงั้นข้อมูลจะมาถึงที่นี่ช้าก็ไม่แปลกแถมคุณภาพข้อมูลก็เชื่อถือได้น้อยอีก

 

บางทีครอบครัวของราสกับอิเรียก็น่าจะรู้เรื่องผมบ้างจากจดหมายที่พวกเขาส่งกลับมา แต่ก็นะผมไม่คิดว่าพวกเขาจะเอาเรื่องที่น่าอับอายไปบอกครอบครัวด้วยสิ เช่นเรื่องที่เกิดอะไรขึ้นกับปาร์ตี้ของพวกตน

 

 

 

เอาเถอะ ถึงจะรู้จริงผมก็ไม่สนหรอกเพราะยังไงเดี๋ยวทุกอย่างก็จะถูกเปิดเผยอยู่ดีพออิเรียมาถึง

 

 

ที่ผมต้องทำตอนนี้ก็คือได้รับความเชื่อใจจากคนที่นี่ให้ได้มากที่สุด

 

 

จากนั้นผมก็ได้พูดคุยกับพวกยามอีกนิดหน่อยก่อนที่พวกเขาจะอนุญาตให้ผมเข้าไป

 

ก่อนจะไปพวกเขาขอให้ผมปลดดาบสีดำที่เอวของผมออกก่อนด้วย ตรงนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเพราะพวกเขาคงยอมเชื่อใจและปล่อยคนแปลกหน้าเข้าไปในหมู่บ้านเฉยๆ ไม่ได้หรอก

 

และที่แรกที่เขานำทางผมไปก็คือวิหารตรงใจกลางหมู่บ้าน

 

ผมถูกบอกมาว่าพวกชาวบ้านที่ป่วยจะถูกพาไปรวมกันที่นั่น

 

 

 

 

「นี่ผลไม้พวกนี้จะช่วยรักษาอาการป่วยได้จริงเหรอ? 」

 

 

เด็กหนุ่มที่นำทางผมมาเหมือนจะไม่คลายสงสัยเพราะเขาถามเรื่องนี้ผมมา 4 รอบได้แล้วมั้ง

 

ดูเหมือนหมอนี่กับราสจะเป็นเพื่อนสมัยเด็กที่เคยเล่นด้วยกัน เห็นได้จากที่เขาบอกกับรุ่นพี่ที่เฝ้าประตูด้วยกันว่าอาสาจะนำผมมาที่นี่เองด้วยเสียงที่หนักแน่น หมอนี่ไม่เชื่อผมจริงๆ ด้วยแฮะ

 

 

 

ก็ไม่รู้หรอกนะว่าเป็นบุคลิกส่วนตัวหรือลักษณะของหมู่บ้านที่ไม่ค่อยรับคนภายนอก ที่จริงผมจะบอกว่า “ได้ผลสิ” อีกรอบหมอนี่ก็คงจะไม่ว่าอะไรผมหรอก แต่ถ้าไม่ทำอะไรนอกจากนี้เลยเดี๋ยวก็คงถูกถามอีก

 

 

เอาจริงๆ ผมจะเมินเขาไปเลยก็ได้แหละ แต่เดี๋ยวจะกลายเป็นเรื่องยุ่งยากอีก ผมก่อนเลยจำเป็นต้องซ่อนสีหน้าที่หน่ายใจและตอบกลับเขาไปอีกรอบ

 

 

 

「เดี๋ยวพอนายได้เห็นผลของมันก็รู้เองน่า หรือถ้ากังวลนักว่ามันจะมีพิษหรือเน่าไหม เดี๋ยวฉันกินให้ดูต่อหน้านายเลยก็ได้」

 

 

「ฉันไม่ได้ห่วงตรงนั้น ที่ฉันอยากรู้ก็คือมันจะช่วยรักษาอาการป่วยได้จริงไหมต่างหาก!」

 

 

 

「ขอยืนยันเลยว่าได้ผล ถ้ามันไม่เป็นเหมือนที่ฉันว่านายจะทำอะไรฉันก็เชิญเลย」

 

 

「ได้เลย อย่าลืมที่พูดก็แล้วกัน แล้วก็คุณซาร่าค่อนข้างยุ่ง หากนายไปขวางหรือทำอะไรไม่สุภาพกับเธอ นายเจอดีแน่!」

 

 

 

「ฉันจะจำไว้แล้วกัน」

 

 

ผมตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มถึงแม้ไอ้เด็กนี่มันจะยั่วเท้าผมขนาดไหนก็เถอะ

 

หากผมมาสติหลุดเอาตอนนี้ ผมคงไม่ได้รับความเชื่อใจจากพวกชาวบ้านอีกแน่

 

 

จะว่าไปหมอนี่ก็พูดถึงคนที่ชื่อซาร่าขึ้นมาด้วยสิ

 

นั่นคงเป็นชื่อของหญิงสาวที่ดูแลวิหารนี้อยู่ เธอคงจะใช้เวทรักษาในการช่วยเหลือชาวบ้านอยู่แน่

 

ผมได้ยินมาว่าศาสตร์การต่อสู้และเวทรักษาที่อิเรียเรียนมาก็ได้มาจากแม่ของเธอนี่แหละ แถมผมก็ไม่คิดว่าจะมีคนที่ใช้เวทรักษาในหมู่บ้านนี้ได้เยอะหรอก คนที่หมอนี่พูดถึงก็น่าจะเป็นแม่ของอิเรียนี่แหละ

 

 

เพื่อสร้างความประทับใจแรกพบกับเธอ ผมก็ไม่ควรจะแสดงสีหน้าอะไรผิดปกติบนใบหน้า ถึงแม้หมอนี่จะทำตัวน่ารำคาญขนาดไหน….จริงสิไว้เดี๋ยวหลังจากนี้มาหลอกมันให้กลัวด้วยคราว โซราสดีกว่า

 

 

 

ระหว่างที่ผมคิดแผนอะไรอยู่ในหัว ผมก็เดินทางมาถึงวิหารที่ประตูถูกเปิดกว้างเอาไว้

 

กลิ่นเหม็นรุนแรงได้พัดเข้ามาชนกับหน้าผมจนทำให้ผมคิ้วขมวดในทันที

 

พอผมมองเข้าไปข้างในก็พบว่ามีคนนอนอยู่บนพื้นเป็นจำนวนมาก

 

ซึ่งก็มีทั้งเด็ก คนแก่ และคนช่วงวัยทำงานปะปนกันไป ไม่ใช่แค่5หรือ10คนแต่จำนวนผู้ป่วยนั้นมักมากกว่าที่ผมคิดไว้เยอะเลย

 

 

ที่จริงตอนแรกผมก็ไม่ได้สนใจไอ้โรคระบาดอะไรนี่หรอกเพราะสาเหตุที่เกิดขึ้นและวิธีในการรับมือผมก็รู้หมดแล้ว

 

 

 

สถานการณ์ในเมืองอิชกะก็เกือบจะคลี่คลายโดยสมบูรณ์แล้วด้วย

 

 

แต่ดูเหมือนผมจะคิดผิดไป พอเป็นเขตชนบทแบบนี้โรคระบาดมันลามหนักกว่าที่อิชกะอีกแฮะ

 

 

เหมือนที่ผมว่าไปตอนแรกไม่มีผิดทั้งปริมาณและคุณภาพของข้อมูลที่ถูกส่งมาในที่แบบนี้มันห่วย ก็ไม่น่าแปลกที่ข่าวการรักษาโรคระบาดถูกแก้ไขแล้วจะมาถึงช้า

 

 

ระหว่างที่คิดผมก็มองหาหญิงสาวที่ชื่อซาร่าไปด้วย

 

 

จากนั้นผมก็เจอตัวคนที่ผมมองหา

 

สิ่งที่ผมเห็นก็หญิงสาวคนหนึ่งที่กำลังขับขานบทเพลงราวกับกำลังสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า

 

 

จากนั้นก็เกิดแสงขึ้นที่มือของหญิงสาวก่อนที่มือนั้นจะเข้าไปสัมผัสกับร่างของผู้ป่วยที่กำลังทรมานอยู่ จากนั้นอาการของผู้ป่วยก็สงบลง

 

นั่นมันปาฏิหาริย์ในการล้างพิษหรือเปล่านะ ไม่ก็ฟื้นฟูพลังกาย แต่ไม่ว่าจะอย่างไหนปกติแล้วปาฏิหาริย์มันน่าจะต้องใช้เวลาสักพักในการทำให้เกิดผล

 

 

ดังนั้นผมบอกได้เลยว่าผู้หญิงคนนี้มีความสามารถและมีเลเวลที่สูงด้วย

 

ดังนั้นเธอคนนี้ก็น่าจะเป็นซาร่า…

 

พอเด็กหนุ่มที่นำทางผมมาตะโกนขึ้น มันก็เหมือนเป็นการยืนยันในการคาดเดาของผม

 

 

 

「คุณซาร่า!」

 

 

หญิงสาวที่สวมชุดนักบวชมองมาทางผมราวกับตอบสนองต่อเสียงเรียก

 

ในวินาทีนั้นเอง ดวงตาของพวกเราทั้งสองก็ประสานกัน

 

ดูเหมือนเธอน่าจะอายุราวๆ 30 กว่าปี ผมดำยาว มีดวงตาที่อ่อนโยน ให้บรรยากาศที่สบายๆ เหมือนกับผิวที่ขาวเนียนของเธอ

 

 

ถ้าตัดเอา 「ความเฉียบคม」ของอิเรียออกไปแล้วแทนที่ด้วย 「ความสงบ」สภาพของเธอก็น่าจะไม่ต่างจากแม่เธอ ว่าแต่พอเห็นหน้าตาแบบนี้แล้วก็ทำเอาสงสัยเลยแฮะ ว่าไปทำอะไรมาถึงได้สวยขนาดนี้กัน

 

 

ตอนผมเจอกับอิเรียครั้งแรก ผมคิดว่าเธอดูเหมือนกับอายากะคู่หมั้นเก่าของผมนะ แต่กับเธอคนนี้มันให้ความรู้สึกเหมือนกับแม่ของผมที่ตายไปแล้ว

 

 

 

สีกับความยาวของเส้นที่มาพร้อมกับผมหางม้าที่มัดเอาไว้อยู่ด้านหลังศีรษะช่างเหมือนกับแม่ของผม กระทั่งบรรยากาศรอบตัว

 

 

ทั้งหมดนี้มันทำให้ผมนึกถึงใบหน้าของแม่ผม ขณะที่เธอพาผมไปเดินภายในลานบ้านตอนเด็ก

 

 

 

แต่พอผมมองไปให้ดีๆ ก็จะเห็นว่าสภาพผมของเธอตอนนี้บริเวณหน้าผากรุงรังไปบ้าง ร่องรอยความเหนื่อยล้าก็เห็นได้ชัดบนใบหน้าซึ่งบ่งบอกถึงความพยายามที่เธอทำตลอดเวลาที่ผ่านมา รอยคล้ำใต้ตาและแก้มที่ซูบผอมไปก็ไม่อาจซ่อนจากสายตาผมได้

 

 

 

แต่ของแค่นี้กลับไม่สามารถทำลายเสน่ห์ของเธอลงได้เลย ยิ่งไปกว่านั้นมันทำให้เธอดูเฉยฉายมากขึ้นกว่าเดิมอีก อย่างน้อยนั่นคือสิ่งที่ผมคิด

 

 

 

——–

Note 1 : อิเรียนั่นแม่เธอเหรอ!

Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code

 

การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~

การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~

Status: Ongoing
ตระกูลมิตสึรุกิได้รับความไว้วางใจให้ทำหน้าที่สำคัญในการปกป้องประตูปีศาจจากองค์จักรพรรดิ โซระ มิตสึรุกิ ผู้เกิดมาเป็นลูกชายคนโตของตระกูล กำลังตั้งตารอพิธีตัดสินในปีที่เขาอายุครบ13ปี การทดสอบที่จำเป็นต้องเอาชนะให้ได้เพื่อเรียนรู้วิชาดาบเดียวมายาซึ่งสืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่นภายในตระกูลมิตสึรุกิ พี่น้องของเขาทั้งหมดนั้นต่างก็ผ่านบททดสอบดังกล่าว จะเหลือก็เพียงโซระ บัดนี้พ่อ น้องชาย คู่หมั้น และญาติของเขาก็ต่างจับจ้องไปยังโซระที่จะเริ่มทดสอบกันอย่างเคร่งขรึม

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท