ตอนที่ 112-2 ช่วงคั่น ณ เกาะอสูรยักษ์ 3
“ขออภัยท่านผู้นำด้วยแต่ผมมีเรื่องอยากจะกล่าวครับ!”
เมื่อเสียงของคลิมที่กำลังคุกเข่าอยู่ดังขึ้น สายตาที่เฉียบคมจากรอบข้างทั้งหมดก็จ้องมองมายังเขา
อันดับของคลิมในหน่วยธงแห่งผืนป่านั้นอยู่ในอันดับที่ 7 ของธงที่ 7 ดังนั้นคงพูดไม่ผิดนักว่าเขาคือคนที่มีความสามารถแม้อายุจะยังไม่ถึง 20 ปี แต่หากในมุมของเหล่า 4 เสาหลักและหัวหน้ารองหัวหน้าหน่วยของทั้ง 8 ธงแล้วเขาก็เป็นได้เพียงเด็กน้อยคนหนึ่ง
การกระทำแบบนี้คงไม่สามารถหลีกหนีข้อกล่าวหาล่วงเกินผู้นำตระกูลของคลิมได้เป็นแน่
แน่นอนว่าคลิมก็รู้เรื่องดังกล่าวดี แต่เขาไม่อาจจะยอมอยู่เฉยๆ ได้ในสถานการณ์เช่นนี้
「หากนายอยากจะช่วยไคลอา นายก็ต้องสู้เพื่อความต้องการของฉันโดยใช้ชีวิตของนายเข้าแลกสิ ไม่งั้นเดี๋ยวพี่สาวของนายได้ร้องไห้แล้วขอให้เธอตายแทนนายเอานะเออ ทีนี้คงไม่ต้องบอกแล้วสินะว่าทำไมฉันถึงเลือกไคลอามาเป็นตัวประกันแทนนาย? 」
คำพูดของโซระที่สู้กับเขาตอนอยู่ในป่ามันดังเข้ามาในหัวของคลิมอีกครั้ง จนทำให้คลิมต้องกัดฟันแน่น
ก็จริงว่าคลิมไม่อยากจะฟังแล้วทำตามคำพูดของโซระนักหรอก
ในตอนแรกทั้งโกซุและคลิมก็เห็นตรงกันว่าในที่นี้คงไม่มีใครยอมรับเรื่องที่โซระบอกได้หรอก นอกจากนี้พวกเขาจะตั้งกองกำลังขึ้นไปตามล่าและสังหารโซระด้วยซ้ำ
ไม่ว่าโซระจะแข็งแกร่งสักแค่ไหน ไม่ว่าอนิม่าของเขาจะอยู่ในระดับสูงสังเพียงใด เขาก็ไม่อาจเอาชนะสุดยอดนักรบแห่งธงทั้ง 8 ได้แน่ ดังนั้นภาพที่โซระต้องพ่ายแพ้ไปมันคือสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าลูกเต๋าจะทอยออกมาหน้าไหน
แต่สำหรับคลิมแล้ว ตอนนี้เขาจำเป็นต้องช่วยเหลือไคลอาพี่สาวของเขาให้ได้ก่อนที่ทีมไล่ล่าจะถูกส่งไปหาโซระ เพราะหากโซระรู้เข้าว่าทางเกาะปฏิเสธคำร้องของเขาแล้วส่งทีมไล่ล่ามา เขาคงไม่ลังเลที่จะฆ่าไคลอาทิ้งแน่
ทีนี้ปัญหาก็จะมาอยู่ตรงที่นักรบคนอื่นจะคิดแบบเดียวกับคลิมไหม
หากพวกเขาอยากจะจัดการกับโซระจริง แต่ส่งกองกำลังไปช่วยเหลือไคลอาก่อนก็คงไม่ใช่ปัญหาอะไรหรอก แต่การเข้าไปช่วยเหลือตัวประกันโดยต้องเสี่ยงชีวิตตัวเองในฝั่งของศัตรูมันก็ไม่ใช่วิถีของเหล่านักรบแห่งผืนป่าเสียด้วย
ก็จริงว่าหากเป็นผู้หญิงหรือเด็กที่บริสุทธิ์มันก็จะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ไคลอาเป็นถึงหนึ่งในนักรบแห่งผืนป่าเช่นเดียวกับพวกเขาและกลายเป็นตัวประกันไปก็เพราะพ่ายแพ้ในการต่อสู้ หากมองในมุมของพวกเขานั่นก็ถือเป็นเรื่องที่สมควรแล้วสำหรับผู้ที่อ่อนแอ
คิดง่ายๆ หากเป็นตัวคลิมเองที่เป็นคนนอกไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับตระกูลเบิร์ชและถูกสั่งจากผู้นำให้ไปจัดการกับโซระทันที ตัวเขาจะคิดถึงไคลอาที่ถูกจับเป็นตัวประกันอยู่ไหม
คำตอบมันชัดเจนอยู่แล้วว่าเขาคงไม่ได้สนใจความปลอดภัยของตัวประกันหรอก นอกจากนี้เขาคงทุ่มเทพลังทั้งหมดในการกำจัดเป้าหมาย หากจบเรื่องแล้วช่วยตัวประกันได้ก็ถือว่าโชคดีไป แต่หากไม่สำเร็จก็ถือว่าแล้วกันไปเพราะมันไม่ใช่เรื่องที่เขาต้องกังวลสักหน่อย
พอคิดได้แบบนี้คลิมเลยจำเป็นต้องพูดขอร้องชิกิบุโดยตรง เพื่อให้ไคลอาเป็นหนึ่งในเงื่อนไขของภารกิจในครั้งนี้ด้วย นอกจากนี้ถึงจะรู้ว่าเป็นไปไม่ได้ แต่เขาก็อยากจะเป็นหนึ่งในคนของทีมไล่ล่าที่จะส่งไป
ตามหลักแล้วถึงการกระทำเช่นนี้มันควรจะเป็นหน้าที่ของกิลมอร์ที่เป็นพ่อบุญธรรมของคลิมและไคลอาก็เถอะ
แต่กิลมอร์ชายผู้สนใจเพียงแค่การแผ่ขยายอำนาจของตระกูลเบิร์ช ไม่ว่าจะโน้มน้าวสักแค่ไหน เขาก็คงเห็นคลิมและคนอื่นเป็นเพียงแค่เครื่องมือในการเพิ่มพูนอำนาจของตน แถมพวกตนยังเป็นแค่ลูกบุญธรรมของตระกูลเบิร์ชที่สามารถโยนทิ้งได้ไม่ต่างอะไรกับรองเท้าเก่าๆ
ถึงตนจะเป็นหนึ่งในรุ่นทองทำ แค่สุดท้ายตนก็เป็นเพียงเครื่องมือที่ใช้แล้วทิ้งของพ่อบุญธรรม นับประสาอะไรกับคนยที่พ่ายแพ้แล้วถูกจับไปเป็นตัวประกัน กิลมอร์คงไม่คิดแม้แต่จะเหลือบมอง คนเดียวที่จะช่วยไคลอาได้ในตอนนี้ก็คือเขาที่เป็นน้องชาย ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือการกระทำที่น่าสิ้นหวังของเขาในตอนนี้นั่นเอง
ทว่าสุดท้ายการกระทำของเอาก็ไม่อาจส่งไปถึงผู้นำตระกูลหลักได้แม้สักนิด
เพราะก่อนที่เขาจะเอ่ยอะไรออกมาต่อชิกิบุในท่าคุกเข่า ศีรษะของคลิมก็ถูกกระแทกเข้าไปอย่างรุนแรง
เขาไม่มีเวลาแม้แต่จะโต้ตอบได้ด้วยซ้ำ แถมยังไม่รู้เลยด้วยว่าเกิดอะไรขึ้น พอเขารู้สึกตัวอีกทีหัวของเขาก็กระแทกเข้ากับเสื่อทาทามิแล้ว จากนั้นเสียงที่เยือกเย็นราวกับน้ำแข็งก็ผ่านเข้ามาในหูของเขา
“เจ้าคนเขลา กล้าดีอย่างไรกัน เป็นเพียงแค่สมาชิกหน่วยแท้ๆ กลับหยาบคายต่อท่านผู้นำ”
คนที่พูดในขณะที่เหยียบหัวของคลิมเอาไว้ด้วยเท้าซ้ายอยู่ก็คือ ชายผมสีดำผิวขาวที่นั่งคุ้มกันชิกิบุอยู่ทางฝั่งขวาก่อนหน้านี้
อันดับที่ 1 ของธงที่ 1 ไดรอาท เบิร์ช ชายผู้ที่สามารถเข้ารับตำแหน่งผู้นำของธงทั้ง 8 แห่งผืนป่าได้ในทันทีหากเกิดสถานการณ์ฉุกเฉินขึ้น
เขาคือลูกชายแท้ๆ ของกิลมอร์ที่เป็นหนึ่งในเสาหลักและเป็นพี่ชายของคลิม แต่แน่นอนว่าทั้งคลิมและไคลอาก็ต่างไม่เคยเรียกไดรอาทว่าพี่ชายเลยสักครั้ง
เพราะในตระกูลเบิร์ชนั้น ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาหรืออาหารที่กิน มันก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงระหว่างลูกแท้ๆ กับลูกบุญธรรม แล้วจะนับประสาอะไรกับไดรอาทที่เป็นว่าที่ผู้นำตระกูลคนต่อไปกับหัวหน้าหน่วยของธงแรก ข้อควรปฏิบัติระหว่างเขากับคลิมย่อมห่างกันเหมือนโลกกับสวรรค์
“..ผมขออภั-อึก!?”
คลิมพยายามจะพูดขอโทษแต่เสียงของเขาก็ถูกหยุดไว้ด้วยไดรอาทอีกครั้งด้วยเท้าจนทำให้หน้าของเขาต้องจูบกับเสื่อทาทามิอีกครั้ง
“หุบปากเสีย นายไม่มีสิทธิ์ที่จะพูดในที่แห่งนี้ได้”
รู้จักสูงต่ำเสียบ้าง ไดรอาทพูดออกมาก่อนจะเพิ่มแรงกดที่เท้า ตอนนี้เสื่อทาทามิเริ่มมีเสียงเหมือนเกิดรอยร้าวขึ้นมาราวกับมันทนแรงกดนี้ไม่ไหวแล้ว หรือไม่แน่ว่ามันอาจจะเป็นเสียงร้าวของกะโหลกศีรษะคลิมก็ได้
เมื่อโกซุเห็นภาพแบบนี้เขาก็ตัดสินใจว่าตนคงต้องเข้าไปช่วยหยุดเรื่องพวกนี้
ทว่าทันใดนั้นเองคลิมก็ได้หายไปจากสายตาของโกซุ ทั้งที่คลิมควรจะล้มอยู่ตรงพื้นเสื่อทาทามิแท้ๆ ทว่าเพียงแค่ครู่เดียวที่มีเงาเดาผ่านเข้ามาบริเวณนั้น ร่างของคลิมก็หายไปเสียแล้ว
และพอร่างของคลิมหายไป เท้าของไดรอาทที่กดแรงลงไปเมื่อครู่ก็กระแทกเข้ากับเสื่อทาทามิด้วยเสียงที่ดังลั่น แต่แน่นอนว่าเสื่อนั้นไม่ได้ยุบลงไปแต่อย่างใด
แล้วตอนนี้คลิมหายไปอยู่ไหนกันล่ะ?
“เดี๋ยวสิ นี่มันไม่เล่นกันแรงไปหน่อยหรือไง ท่านหัวหน้าหน่วย?”
คนที่พูดออกมานั้นก็ไม่ใช่ใครเสียนอกจาก ชายผิวสีน้ำตาลผมสีดำเข้มที่นั่งอยู่ทางซ้ายมือของชิกิบุเมื่อครู่
อันดับที่ 2 ของธงที่ 1 ชายผู้นี้มีชื่อว่าชูคุยะ คุมอนรองหัวหน้าหน่วยแห่งธงที่ 1 ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลโดยตรงของผู้นำตระกูลหลัก
ส่วนตรงหน้าของชุคุยะก็มีคลิมที่กำลังนอนส่งเสียงร้องออกมาอยู่ นั่นก็หมายความว่าชูคุยะได้ย้ายร่างของคลิมที่กำลังถูกไดรอาทเหยียบเอาไว้มาได้ในชั่วพริบตา
ไดรอาทตอบกลับชูคุยะไปโดยไม่ขยับแม้กระทั่งคิ้ว
“นี่คือการกระทำที่หยาบคายของคนในตระกูลฉัน ดังนั้นไม่เห็นจำเป็นจะต้องยั้งมือเพื่อลงโทษผู้สร้างความอัปยศให้กับตระกูลเสียหน่อย”
“ก็ไม่ได้ตั้งใจจะไปยุ่งอะไรกับเรื่องของทางตระกูลเบิร์ชหรอกนะ แต่สำหรับตอนนี้ นายไม่ควรจะสร้างเรื่องเพิ่มแล้วรบกวนท่านผู้นำที่กำลังใช้ความคิดอยู่นะ”
ตรงกันข้ามที่ไดรอาทที่แสดงสีหน้าออกมาอย่างนิ่งเฉยราวกับใส่หน้ากาก ชูคุยะนั้นพูดตักเตือนหัวหน่วยของตนด้วยรอยยิ้ม
นอกจากนี้ชูคุยะยังพูดต่อด้วยรอยยิ้มอีกเล็กน้อย
“นอกจากนี้ พี่สาวแท้ๆ ของหมอนี่ก็ถูกจับโดยศัตรูไปนะ นายก็ควรจะมองข้ามการกระทำของเขาสักหน่อยสิ เป็นฉันเองฉันก็คงอยู่เฉยๆ ไม่ได้หรอก นอกจากนี้ศัตรูที่ว่ายังเป็นนายน้-”
พอพูดมาถึงตรงนี้ ชูคุยะก็เหมือนจะสังเกตเห็นอะไรเข้าก่อนจะปิดปากตนไป แล้วมองไปยัง มิตสึรุกิ รากุนะที่นั่งอยู่มุมหนึ่งของที่แห่งนี้ด้วยท่าทางกระอักกระอ่วน
“ฉันขอโทษด้วย ไม่ใช่นายน้อยสิต้องเรียกว่าอดีตนายน้อยมากกว่า แต่พอมาคิดดูแล้วหากนายน้อยคนก่อนได้รับพลังในการสังหารมังกรลงได้จริงตามที่โกซุบอก สถานการณ์ในตอนนี้มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะตัดสินใจเลยนะ เพื่อประโยชน์ของตระกูลเบิร์ชที่คนของตนถูกจับเป็นตัวประกันไปด้วย เราไม่ควรจะทำอะไรแบบหุนหันพลันแล่นเลยนะ”
“ไม่เห็นจะต้องไปคิดอะไรไร้สาระเช่นนั้น ไคลอาตกไปอยู่ในมือของศัตรูก็เพราะความอ่อนแอของเธอเอง หากเรายังลังเลแล้วจะทำตามกฏที่ควรทำลายล้างปีศาจและผนึกเทพมารได้อย่างไรกัน?”
พอไดรอาทพูดแบบนี้ออกมาชูคุยะก็หัวเราะเบาๆ เป็นการตอบกลับไป
“เข้าใจแล้วๆ งั้นฉันขอพูดใหม่แล้วกัน ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของตระกูลเบิร์ชแต่เป็นเพื่อประโยชน์ของตระกูลมิตสึรุกิ เราควรจะระวังในเรื่องนี้ให้มาก เพราะคงเป็นเรื่องน่าเสียดายหากเราต้องสูญเสียหนึ่งในรุ่นทองคำที่มีความสามารถไปเพราะเรื่องนี้”
พอพูดจบ ชูคุยะก็หันไปทางชิกิบุที่อยู่ใกล้ๆ เขา แล้วก้มศีรษะลง
“นายท่าน หากท่านไม่ว่าอะไรให้ผมได้รับภารกิจในครั้งนี้ด้วย ผมอยากจะเป็นคนลองเจรจากับอดีตนายน้อยดู นอกจากนี้ก็จะช่วยเหลือตัวประกันและนำเขามาพบท่านด้วย”
หากโซระปฏิเสธเขา เขาก็แค่ใช้กำลังในการพาตัวมา ชูคุยะไม่ได้พูดอะไรมากนักแต่ทุกคนในที่นี้ก็คงเข้าใจดีว่าเขาหมายถึงอะไร และเชื่อว่าหากเป็นเขาแล้วคงจะทำเรื่องนี้ได้สำเร็จจริงๆ
ตั้งแต่แรกแล้ว ชิกิบุก็คงไม่ได้สนใจเรื่องที่เกิดขึ้นนอกเกาะนักหรอก แต่พอหนึ่งในสุดยอดนักรบของเขาเอ่ยปากขอมา ผลลัพธ์ที่ได้ก็คงจะชัดเจนแล้ว ทว่าคำพูดถัดไปของชิกิบุกลับทำให้คนในที่แห่งนั้นคาดไม่ถึง
“ไม่ได้หรอก พักนี้ประตูปีศาจก็ชอบส่งเสียงเอะอะมาด้วยสิ เรื่องไม่ดีคงจะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้ ดังนั้นฉันคงปล่อยชูคุยะไปไม่ได้หรอกนะ”
คำตอบดังกล่าวมันทำให้ชูคุยะตกใจไม่แพ้กัน จนทำให้ดวงตาของเขาเบิกกว้าง
“ประตูปีศาจ…ต้องขออภัยด้วย ผมไม่ทันได้สังเกตเรื่องนั้นจึงได้พูดอะไรออกมาโดยไม่จำเป็น”
“ไม่เป็นไรหรอก สัญญาณที่ว่ายังไม่รุนแรงนัก เรื่องคงไม่เกิดในวันสองวันนี้หรอก แต่มันก็ไม่ได้ยาวนานพอจะปลอดภัยไปจนถึงครึ่งปีหรือหนึ่งปีเสียด้วย ดังนั้นทางเราจึงต้องเตรียมพร้อมสำหรับทุกสถานการณ์ ในฐานะนักรบของธงทั้ง 8 แห่งผืนป่าแล้วก็ไม่ควรละเลยนะ”
“ฺฮ่ะ!”
ไม่ใช่แค่ชูคุยะ แม้กระทั่งไดรอาท เหล่าหัวหน้าหน่วยและรองหัวหน้าหน่วยทุกคนต่างก็เปล่งเสียงขานรับออกมาพร้อมกัน
จากนั้นกิลมอร์ก็กล่าวต่อ
“นายท่าน แล้วท่านจะทำเช่นไรต่อไปกับเรื่องนี้กัน?”
หากเกิดการเคลื่อนไหวขึ้นของประตูปีศาจ ไม่เพียงแค่ยอดฝีมือทั้งสองเท่านั้น กระทั่งหัวหน้าและรองหัวหน้าหน่วยอื่นก็ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ นั่นก็หมายความว่าเหลือเพียงแค่นักรบธรรมดาที่สามารถส่งตัวออกไปได้ แต่ผลลัพธ์ก็คงไม่ต่างอะไรกับที่โกซุและคนของเขาโดนก่อนหน้า
การจะเมินเฉยต่อคำร้องของฝ่ายตรงข้ามและทำให้ฝ่ายนั้นร้อนใจเมื่อรู้ว่าตัวประกันไม่ได้มีผลอะไรกับทางเกาะเลยก็เป็นอีกกลยุทธ์หนึ่งเช่นเดียวกัน น่าอาจจะพอช่วยให้หาหนทางในการต่อรองเพิ่มได้ด้วย
แต่จากที่โกซุรายงานมาแล้วความพ่ายแพ้ในครั้งนี้หากจะแก้ไขด้วยวิธีการดังกล่าวมันคงจะเป็นการสร้างชื่อเสียให้กับตระกูลมากกว่า เพราะมันไม่ต่างอะไรกับการปล่อยให้ความอัปยศค้างคาเอาไว้
ในขณะที่ทุกคนคิดว่าจะทำเช่นไรกันถึงจะดีที่สุด ชิกิบุก็ตอบกลับด้วยความเยือกเย็น
“ไปบอกกับโซระว่าให้มาที่เกาะ หากเขาสามารถจัดการกับมังกรได้จริง ก็ไม่เป็นปัญหาอะไรหรอกหากจะปล่อยให้คิจินอยู่กับเขาสักตนสองตน”
พอได้ยินแบบนั้นโกซุก็เงยหน้าขึ้นด้วยรอยยิ้ม
เขายินดีเป็นอย่างมากที่ชิกิบุไม่เลือกจะต่อสู้กับโซระ ไม่ว่าเหตุผลเบื้องหลังนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม
“นายท่าน งั้นเดี๋ยวข้าจะเดินทางไปยังอาณาจักรคานาเรียอีกครั้งเพื่อเกลี้ยกล่อมท่านโซระ-”
“เรื่องนั้นไม่จำเป็นหรอก”
“…หือ?”
โกซุกระพริบตาปริบๆ ด้วยความสับสน เมื่อคำพูดของชิกิบุดูแปลกไป
จากนั้นชิกิบุก็พูดต่อราวกับไม่มีอะไรผิดแปลก
“ไม่มีเหตุผลให้นายต้องไปที่นั่นเลยชิบะ ทางเราส่งจดหมายไปก็เพียงพอแล้ว”
“แต่ว่า…นายท่าน หากเป็นแบบนั้นท่านโซระจะยอมมาที่เกาะจริงๆ หรือ”
เขายังจำสายตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังของโซระได้เป็นอย่างที่จากตอนที่เขาเผชิญหน้ากันที่อาณาจักรคานาเรีย นอกจากนี้หากเขาส่งจดหมายว่าจะวางใจให้โซระดูแลซูซูเมะต่อไปได้ก็ต่อเมื่อเขามาแสดงพลังของตนให้เห็นที่เกาะ โซระอาจจะไม่จำเป็นต้องมาที่เกาะเลยก็ได้
ตรงกันข้าม หลังจากโซระได้รับจดหมายนี้แล้ว เขาคงตัดสินใจว่าเกาะไม่สนใจเรื่องที่เขาพูดและฆ่าไคลอาซึ่งเป็นตัวประกันทิ้ง
จากนั้นชิกิบุก็ตอบกลับความกังวลของโกซุราวกับคิดไว้แล้ว
“ไม่สำคัญหรอก เอาเป็นว่าส่งจดหมายแล้วก็ระบุวันตามที่เห็นว่าเหมาะสมเลยก็แล้วกัน”
“วันที่เหมาะสมเหรอครับ?”
“ตามที่ว่า”
พอเขาได้ยินคำพูดของชิกิบุ โกซุก็เหมือนรับรู้ถึงความตั้งใจของเจ้านายตนได้ก่อนจะเบิกตากว้างอีกครั้ง
แน่นอนว่าเขาไม่ใช่คนเดียวที่มีฏิกิริยาแบบนั้น อีกหลายคนก็สังเกตได้ถึงเป้าหมายของชิกิบุเช่นเดียวกันและแสดงความประหลาดใจออกมา
สุดท้ายวันที่ถูกกำหนดเอาไว้ก็คือ 1 เดือนนับจากวันนี้ไป ช่วงสิ้นสุดของฤดูร้อนก่อนเข้าช่วงฤดูใบไม้ร่วง
มันคือวันครบรอบการเสียชีวิตของมิตสึรุกิ ชิซึยะแม่ของโซระนั่นเอง
——–
Note 1 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code